"บ้านเขาเหล็ก" มิตรภาพ ความสุขที๋สงบและสวยงาม


"หมู่บ้านเขาเหล็ก" ผมเชื่อว่าน้อยคนมากที่จะรู้จัก เพราะนอกจากจะไม้ใช่แหล่งท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นสถานที่ที่ห่างไกล สันโดดอยู่บนหุบเขา ณ ตำบลเขาโจด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี หลายคนรู้จัก ศรีสวัสดิ์ เพราะมีรีสอร์ทริมเขื่อนดังๆหลายแห่ง ผู้คนมากมายต่างพากันมาอย่างไม่ขาดสาย พอบอกเขาเหล็ก ที่ไหนอ้ะ ไปทำไม มีอะไรให้เที่ยว คำตอบคือ ไม่มีอะไรให้เที่ยว แต่มีสิ่งที่ที่อื่นไม่มี ธรรมชาติที่สวยงาม วิถีชีวิตชุมชนที่สงบ และที่สำคัญคือ อากาศที่ดีตลอดทั้งปีอย่างไม่น่าเชื่อ หยุดยาม วัน  25- 28 กรกฏาคม 2563 ที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าหลายคนตั้งทริปเที่ยวอย่างมีความสุข ผมก็เช่นกัน  หลังจากเคลียงานเสร็จเรียบร้อยก็วางแผน แบบไม่มีแผนว่า จะไปกาเต็นท์ที่ไหนสักแห่งในจังหวัดกาญจนบุรี ค้นหาข้อมูลมากมาย ก็เจอแต่ที่กางเต็นท์ยอดนิยมที่ใครๆก็มุ่งหน้าไป ป้อมปี่ เขาแหลม สังขละ หุบต่างๆ เนินช้างศึก โอ้ย เมืองกาญบ้านเรานี่ที่เที่ยวเยอะจริงๆ แต่ที่บอกมาทั้งหมด ไม่ใช่ที่ที่เราอยากไปเลย เพราะแน่นอนว่าจะต้องพบเจอกับคลื่นมนุษย์มากมายหลายแสนคน(เยอะไปไหม) แย่งกันใช้อากาศ แย่งถนน แย่งอาหาร มากมายไปหมด นั่งคิดอยู่ 1 คืน ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นึกถึงสถานที่แห่งนึงที่เราเคยไปเยือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนมาทำงานเป็นอาจารย์ใหม่ๆ นักศึกษาพากันไปทาสีโรงเรียน ที่นั่นคือ หมู่บ้านเขาเหล็ก ต.เขาโจด คิดขึ้นได้ก็ลองค้นข้อมูลดูสรุปว่า ไม่ค่อยเจออะไรเลย อย่างแรกเลยจะนอนที่ไหน ข้อมูลบอกว่ามี โฮมสเตย์นะ แห่งเดียว แต่เบอร์โทรศัพท์ที่อยู่ในข้อมูลนั้นโทรไม่ติด มันจะติดได้ไงอะครับ ก็ที่นั่นไม่มีสัญญานโทรศัพท์ และที่เจ๋งสุดๆไปเลยคือ ไฟฟ้าก็ไม่มี เอาหวะ ถึงไหนถึงกันไปถึงที่นั่นแล้วค่อยว่ากัน หลังจากนั้น เช้าวันที่ 26 ก็เตรียมของ เต็นท์ ผ้าใบ เชือก จัดของสำหรับนอน 1 คืน และแล้วหลังจากเตรียมเสร็จเดินทาง เที่ยง ก็ได้ฤก 11.45 น ล้อหมุน กระเป๋าเป้ใบเก่งที่เคยพากันเดินทางมาแล้วหลายๆประเทศ ก็ได้ออกสนามอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เครื่องบิน ไม่ใช่รถไฟ แต่เป็น มอเตอร์ไซค์ Triump T100 ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนได้เวลาออกศึกแล้วลูก เชือกผูกท้ายกระเป๋า 1 ใบ จัดไปแบบลูกทุ่งๆ เช็ค GPS แล้วระยะทางไม่ไกลมาก 115 กิโลเมตร จาก ตัวเมืองกาญจนบุรี ถ้าเลือกเส้นทางจากบ่อพลอย หนองปรือ แต่เรามันสายลุย อยากขี่เที่ยวกินบรรยากาศ จึงเลือกที่จะไปลุย น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นก่อน เพราะชอบบรรยากาศสองข้างทางและการข้ามแพขนานยนต์ น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นนั้นจะมี 2 เส้นทางอยู่ด้วยกันคือ เส้นทางลาดยางอย่างดีซึ่งขับต่อจากน้ำตกเอราวัณ มุ่งหน้าไปทางบ้านต้นมะพร้าว อีกประมาณ 30 กว่าๆกิโลก็ถึง น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ซึ่งที่นั่นก็มีลานกางเต็นท์ที่สามารถชมบรรยากาศยามเช้า เป็นวิวของบรรยากาศเหนือเขื่อนศรีนครินทร์ได้เป็นอย่างดี ผมขับผ่านน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นมาเลยเพราะไม่ได้เป็นจุดหมายแต่แรกอยู่แล้ว เพราะตั้งใจจะไปข้ามแพขนานยนต์ข้ามเขื่อน ซึ่งต้องขับต่อไปอีกกว่า สิบกิโล ซึ่งเป็นทางที่รวมกันทั้ง ลาดยาง ลูกรัง ทางดิน ถ้าฝนตกนี่บอกเลยมันพะยะค่ะ วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส เพราะฝนตกก่อนหน้าเราไปแล้วประมาณ 1 ชม. รอดมาได้ไง และแล้วก็ถึงแพขนานยนต์ที่ผทชอบบรรยากาศของการนั่งแพข้ามไปฝั่งศรัสวัสดิ์แบบชิวๆ 

หลังจากนั่งมองบรรยากาศและรอแพที่กำลังลอยเข้ามาแบบช้าๆชิวๆ เราก็ไปต่อกันแบบมันๆด้วยการข้ามแพขนานยนต์ ช่วงที่ยาวที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี ประมาณ 30 นาที ลอยกินบรรยากาศ เล่นเอาผมหลับไป 1 ตื่นกันเลยทีเดียว  



เส้นทางไปเขาเหล็กอย่างแท้จริงก็เติ่มต้นหลังจากที่เราลงจากแพขนานยนต์ เมื่อเช็คระยะทางแล้ว ปรากฏว่าหากเราเดินทางต่อจากตรงนั้น ต้องขี่ต่อไปอีก 76 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง หลายคนคงแอบบแปลกใจว่าทำไมมันนานจัง ปรกติเราขับรถ 76 กิโลก็คงไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่ที่นี่คือจังหวัดกาญจนบุรี หนทางนั้นคือเส้นทางป่าเขา สลับกับทางลูกรัง ทางดิน ผมดูนาฬิกาข้อมือตอนนั้นประมาณ 15.00 น. เอาหละ พอมีเวลาได้ถึงที่หมายก่อน มืดแน่นอน ลุ้นว่าอย่าให้ฝนตกกลางทางเสียก่อนไมางั้นมีนอนข้างทางแน่ๆ ผมมุ่งหน้าไปแบบเรื่อยๆไม่รีบมากนัก ด้วยถนนหนทางคดเตียง ร้อยโค้งก็ว่าได้ และเน้นปลอดภัยไว้ก่อน ผมขี่ไปเรื่อยๆด้วยจิตใจที่ปรอดโปร่งเหลือเกิน ใันเป็นช่วงที่มีความสุขมาก บรรยากาศสองข้างทางชั่งสรรสร้างให้คนชอบควป่าเขา บวกกับลมเย็นๆที่ปะทะหน้า ปะทะตัว เย็นเข้าไปถึงหัวใจ สดชื่นๆๆๆๆๆๆๆ อากาศยามนี้ไม่ร้อนเลยสักนิด ผมขี่ไปเรื่อยๆก็ได้เก็บบรรยากาศสองข้างทางสวยๆมาตลอด โอ้ยฟิน 

                    แวะกินน้ำบ้าง กินขนทข้างทางตามวิถีของชาวบ้านสนุกอะไรขนาดนี้ ผ่านจุดชมวิวเล็กๆที่เฮ้ย ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้เลยนะว่าตรงนั้นมันคือจุดชมวิว ใครผ่านทางนั้นแล้วไม่ได้แวะถ่ายรูปหรือดูวิวตรงนั้นบอกเลย เจ้ามาไม่ถึงศรีสวัสดิ์ ตรงนั้นคือ จุดชมวิว  ปลายนาสวน เล็กๆ แต่แบบ เฮ้ยมันใช่เลยอ้ะ มันสวยติดตาเลยจะบอกให้ 

                    สวย สงบ บริสุทธิ์ คือดีมากๆ ผมหยุดจอดเพื่อพักรถและคนไปพร้อมๆกัน ก็รีบเดินทางต่อไปอีก เพราะอีกไกลกว่าจะถึงตรงนั้น ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี บรรยากาศเย็นลงจนรู้สึกว่าเวลางวดเข้ามาทุกที เมฆฝนก่อตัวแล้ว เอาแล้วววววว สองข้างทางก็มีแต่เขากับป่า ถ้าตกละก็ได้เรื่อง แต่คงทำบุญมาดี ฝนไม่เทตอนนั้น เรามุ่งหน้าไปเรื่อยจนในที่สุดก็เข้าไปถึงหมู่บ้าน "เขาเหล็ก" ตำบลเขาโจด อำเภอศรีสวัสดิ์ และแน่นอนที่สุด สิ่งหนึ่งที่หายไปแบบไร้ร่องรอยคือ สัญญานโทรศัพท์ ผมเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งเลือนจากความทรงจำไปมากแล้ว ถามชาวบ้านว่ามีโฮมสเตย์ใช่ไหม ชาวบ้านบอกมีที่เดียวชี้หนทางให้เข้าไป และแล้วผมก็ถึง หน้บ้านที่มีป้ายเขียนว่า ยินดีต้อนรับ แต่ โอมสเตย์ปิดบริการ............เอ้าาาาาาาาาาา ทำไง
ผมจอดหน้าบ้านอยู่ปแบนึงก็มีคุณลุง ซึ่งรู้ต่อมาว่าเป็นเจ้าของบ้าน ผมกจึงถามไปว่าที่นี่มีโฮมสเตย์ใช่ไหมครับ คำตอบคือมีแต่ปิด เพราะไม่ได้เปิดบริการมาตั้งแต่โควิด-19 ระบาด ตอนนั้นในใจตื่นเต้นเล็กน้อย คิดว่า คืนนี้จะนอนที่ไหนละเนี่ย ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อ ฝนเจ้ากรรม ก็เทลงมา อื้อหือ ลุงจึงบอกให้เอารถเข้ามาจอดใต้ถุนบ้านก่อน และก็เลยได้พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ลุงก็บอกว่า ถ้ามีที่พักต้องเดินทางไปต่อที่บ้านต้นลำใย อีกประมาณ 20 กว่ากิโล โอ้โห ผมนี่คิดในใจสงัสยคงไปไม่ถึง เพราะทางเข้ามาก็ลำบากแล้วถ้าบุกออกไปอีกบวกกับเวลาตอนนั้นมืดค่ำคงแย่แน่ๆ จึงบอกลึงว่าจะขอกางเต็นท์แถวๆนี้ได้ไหมครับ เพราะออกไปก็คงมืดเสียก่อน ด้วยน้ำใจของคนชนบท จึงบอกว่า เดี๋ยวจะให้ลูกชายไปดูที่พักก่อนว่าพอจะนอนได้ไหม เพราะไม่ได้ทำความสะอาดมาเกือบ 4 เดือน ระหว่างนั้นเองก็ได้พบกับบุคลสำคัญอีกคนนึงซึ่งมีน้ำใจไมตรีเหลือล้น คือลูกสาวของลุงชือว่า พี่ปีโป้ พี่ปีโป้ ออกมาถามไถ่ คุยไปคุยมาก็ได้ความว่า พี่ปีโป้ เป็นคุณครูที่โรงเรียนในหมู่บ้าน และเป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีที่ผมสอนอยู่ และที่สำคัญ สามีของพี่ปีโป้นั้นบ้านพ่อของเขาอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านที่ผมอยู่ และรู้จักปู่ ของผมเป็นอย่างดี โลกช่างกลมเหลือเกิน พี่ปีโป้ก็เลยชวนผมไปนอนที่บ้าน  โอ้โห เหมือนนางฟ้ามาโปรด ผมก็รีบขอบคุณพี่เขาทันที ผมจึงได้ไปพักที่บ้านพี่ปีโป้ ซึ่งเป็นบ้านเรือนสไตล์คนกระเหรี่ยงแบบสบายๆ ยกพื้นมีนอกชาน โอ้ยๆๆๆๆๆๆฟิน ฝนตกไปเรื่อยผมก็มาถึงบเานพี่ปีโป้ซึ่งไม่ไกลจากบ้านของคุณลุงที่เป็นพ่อของพี่ปีโป้สักเท่าไหร่ พอมาถึงบ้านนอกจากจะสบายใจว่าวันนี้มีที่พักแบ้ว ยังทำให้หัวใจพองโตมากเพราะเจอกับพี่ตี๋ ซึ่งเป็นเสมือนญาติของผมอีกคนเลย บ้านพี่ตี๋และพี่ปีโป้ สะอาดรียบร้อย และสวยมาก ชีวิตเราไม่ได้ต้องการอไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว สงบ สบาย ได้อยู่กับครอบครัว ไม่ว่าคุณจะมีเงินมากมายขนาดไหนก็ไใาอาจซื้อ อากาศแบบบนี้ได้ ถ้าไม่มาอยู่เอง 
                           คืนนั้นผมขอพี่ปีโป้และพี่ตี๋กางเต็นท์นอนนอกชานหน้าบ้าน เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในปีนี้ของผมเลยทีเดียว บรรยากาศมันดีมาก มากจนผมอยากจะนอนสักสองคืน ฝนตกยามเย็นๆ อากาศเย็นสบายเหมือนเปิดแอร์ 24 องศา อยู่ตลอดเวลา กลางคืนนี่มีสั่นบอกเลย หลังจากนั่งคุยกันกับพี่ตี๋ พี่ปีโป้ก็ยกข้าวออกมาให้กินกันแบบชาวๆบ้าน ห่อหมก ไข่เจียว และแกงที่ไม่สามารถบอกได้ว่าแกงอะไร กินเป็นครั้งแรกแต่อร่อยมาก ปรกติผมไม่กินอาหารป่า 
                       พี่เขาคงคิดว่าอาจจะกินแกงไม่อร่อยเลยจัดไข่ดาวมาให้ด้วย และแน่นอนว่ากินเกลี้ยงไม่เหลือ  หลังจากกินอิ่มหนำสำราญก็นั่งคุยกันไปหลายเรื่องมากมาย พี่ตี๋เป็นคนเก่งมาก เขาบอกว่าตั้งแต่มาใช้ชีวิตที่นี่ก็ไม่อยากลงไปสู่ความวุ่นวายอีกเลย ซึ่งหมู่บ้านนี้ไม่มีไฟฟ้า พี่ตี๋ก็ทำโซล่าเซลล์ เพื่อใช้เป็นพลังงานแทน พี่ตี๋บอกว่า อย่าให้เทคโนโบลีมากำหนดชีวิตเรา เราต้องเป็นคนใช้มัน ที่นี่จะเปิดปิดไฟตามเวลา และการไม่มีสัญยานโทรศัพท์ทำให้ความวุ่นวายใจนั้นออกจากตัวเราไปอย่างสิ้นเชิง เป็นครั้งแรกใรรอบหลายปีที่ สามารถวางโทรศัพพ์ทิ้งไว้โดยไม่จับเลยถึง 12 ชั่วโมง ได้นั่งคุยกัน ได้สนทนา แนวคิดการใช้ชีวิตมากมายกับพี่ทั่งสองคน  ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนแห่งความสุข ความสงบ เป็นพลังงานอย่างดีที่ทำให้เราได้กลับลงมาสู่ต่อ สักครั้งในชีวิต ถ้าใครก็ตามที่ได้ทีโอกาสมาถึงที่นี่ บ้านเขาเหล็ก คุณจะหลงรักไปตลอดชีวิต เหมือนกับที่ผมเป็น 
             แลนี่คือ พี่ตี๋ เจ้าของบ้านที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี......พี่ชายที่แสนดี 
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่