เคยได้ยินมาว่า สมัยก่อนประเทศไทยเลือกที่จะเป็นกลาง แต่พอมา ww1 ก็ดันไปเลือกข้างประกาศสงคราม เฮโลตามพวกยุโรปไปเรื่อย ทำเป็นอยากได้หน้าได้ความสนใจ ทั้งๆที่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย และความเป็นกลางก็สิ้นสุดลงทันที นับจากนั้น
มา ww2 อันนี้พอเข้าใจได้ว่าเราไม่แกร่งพอที่จะต้านญี่ปุ่น การที่มีทหารชาติอื่นมาเดินผ่านใน อาณาเขตประเทศก็มีผลต่อความเป็นกลาง แต่ดันโดนไอ้ยุ่นต้มว่าถ้าชนะ จะเอาดินแดนที่โดนฝรั่งเอาไป มาคืนให้ รัฐบาลไทยตอนนั้นทำตาโต อยากได้ดินแดนคืน เลยเข้าร่วมฝ่ายอักษะ แล้วทำเป็นชูคอว่า ประเทศตัวเองมีสถานะอันยิ่งใหญ่เทียบเท่าจักรวรรดิญี่ปุ่น นาซี หรือ อิตาลี แต่พอแพ้มาก็เป็นหมา กลับไปเป็นประเทศจนๆ ที่ไม่เหลือปากเสียงบนเวทีโลกในยุคปัจจุบัน
มายุค สงครามเย็น สงครามเวียดนาม ไทยเลือกข้างอเมริกาแบบเต็มตัว ซึ่งการเลือกฝ่ายครั้งนี้ถือ ว่าเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดและเกิดเป็นแผลเป็นมาจนถึงปัจจุบัน โดยอเมริกาได้ทำการแทรกแซงการเมืองไทย โดย ปั้นเผด็จการทหาร รุ่นแรกขึ้นมา เพื่อใช้กันคอมมิวนิตส์ มีการเข่นฆ่าและละเมิดสิทธิมนุษยชนนับไม่ถ้วน ไอ้กันซึ่งอ้างตัวว่าเป็นชาติแห่งเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ก็มิได้นำพาซึ่งความสนใจใยดีใดๆทั้งสิ้น และนำฐานทัพมาตั้งในในไทย เป็นการกระทำที่ย่ำยีต่อความเป็นกลางและอธิปไตยของประเทศเป็นอย่างยิ่ง ไหนจะปัญหาสังคมที่เกิดจากการเข้ามาของทหารอเมริกาเช่น โสเภณี เมียเช่า ลูกครึ่ง ลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งส่งผลให้เห็นได้ชัดมาจนปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ไทยแลกกับการได้ถนนโง่ๆ มา เส้นสองเส้น และสนามบินกากๆที่ไม่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจใดๆ อีกหนึ่งที่
มายุคหลังสงครามเย็น ญี่ปุ่นพยายามกลับมาตีซี้กับไทยอีกครั้ง หวังจะใช้ไทยเป็นที่ตั้งโรงงาน แรงงานราคาถูก เป็นที่ทิ้งขยะทิ้งมลพิษ และและเป็นที่ระบายสินค้าตก QC จากบ้านมัน ซึ่ง ไทยก็หาได้เข็ดไม่ ทำเป็นกระดิกให้ญี่ปุ่นมาลูบหัว คนไทยก็โง่เง่า มโนว่าญี่ปุ่นเป็นมหามิตรอย่างนู้นอย่างนี้ ความเป็นจริงคือมันมองไทยยิ่งกว่าเป็นขยะหรือตัวตลกอะไรเสียอีก พอเราขึ้นค่าแรงหรืออยากให้ผู้ใช้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง ก็ย้ายหนีทันที ตรงนี้ขอให้ทางการไทยทำการตอบโต้โดยการขึ้นภาษีนำเข้ากับบริษัทที่ย้ายฐานหนี สัก 50 % เพื่อไม่ให้เราเสียประโยชน์ไปมากกว่านี้ ไหนจะเรื่องการวางยาไทย ไม่ให้เกิดการสร้างเทคโนโลยีหรือสินค้าของตัวเองขึ้นมาได้
ซึ่งเอาจริงๆญี่ปุ่นนี่เขี้ยวและหน้าเลือดยิ่งกว่าจีนอีก เพียงแต่ภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นในสายตาคนไทยยังดีกว่าจีนมาก เลยไม่ค่อยรู้สึกอะไร
ทำไมประเทศไทยไม่เป็นกลาง
มา ww2 อันนี้พอเข้าใจได้ว่าเราไม่แกร่งพอที่จะต้านญี่ปุ่น การที่มีทหารชาติอื่นมาเดินผ่านใน อาณาเขตประเทศก็มีผลต่อความเป็นกลาง แต่ดันโดนไอ้ยุ่นต้มว่าถ้าชนะ จะเอาดินแดนที่โดนฝรั่งเอาไป มาคืนให้ รัฐบาลไทยตอนนั้นทำตาโต อยากได้ดินแดนคืน เลยเข้าร่วมฝ่ายอักษะ แล้วทำเป็นชูคอว่า ประเทศตัวเองมีสถานะอันยิ่งใหญ่เทียบเท่าจักรวรรดิญี่ปุ่น นาซี หรือ อิตาลี แต่พอแพ้มาก็เป็นหมา กลับไปเป็นประเทศจนๆ ที่ไม่เหลือปากเสียงบนเวทีโลกในยุคปัจจุบัน
มายุค สงครามเย็น สงครามเวียดนาม ไทยเลือกข้างอเมริกาแบบเต็มตัว ซึ่งการเลือกฝ่ายครั้งนี้ถือ ว่าเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดและเกิดเป็นแผลเป็นมาจนถึงปัจจุบัน โดยอเมริกาได้ทำการแทรกแซงการเมืองไทย โดย ปั้นเผด็จการทหาร รุ่นแรกขึ้นมา เพื่อใช้กันคอมมิวนิตส์ มีการเข่นฆ่าและละเมิดสิทธิมนุษยชนนับไม่ถ้วน ไอ้กันซึ่งอ้างตัวว่าเป็นชาติแห่งเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ก็มิได้นำพาซึ่งความสนใจใยดีใดๆทั้งสิ้น และนำฐานทัพมาตั้งในในไทย เป็นการกระทำที่ย่ำยีต่อความเป็นกลางและอธิปไตยของประเทศเป็นอย่างยิ่ง ไหนจะปัญหาสังคมที่เกิดจากการเข้ามาของทหารอเมริกาเช่น โสเภณี เมียเช่า ลูกครึ่ง ลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งส่งผลให้เห็นได้ชัดมาจนปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ไทยแลกกับการได้ถนนโง่ๆ มา เส้นสองเส้น และสนามบินกากๆที่ไม่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจใดๆ อีกหนึ่งที่
มายุคหลังสงครามเย็น ญี่ปุ่นพยายามกลับมาตีซี้กับไทยอีกครั้ง หวังจะใช้ไทยเป็นที่ตั้งโรงงาน แรงงานราคาถูก เป็นที่ทิ้งขยะทิ้งมลพิษ และและเป็นที่ระบายสินค้าตก QC จากบ้านมัน ซึ่ง ไทยก็หาได้เข็ดไม่ ทำเป็นกระดิกให้ญี่ปุ่นมาลูบหัว คนไทยก็โง่เง่า มโนว่าญี่ปุ่นเป็นมหามิตรอย่างนู้นอย่างนี้ ความเป็นจริงคือมันมองไทยยิ่งกว่าเป็นขยะหรือตัวตลกอะไรเสียอีก พอเราขึ้นค่าแรงหรืออยากให้ผู้ใช้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง ก็ย้ายหนีทันที ตรงนี้ขอให้ทางการไทยทำการตอบโต้โดยการขึ้นภาษีนำเข้ากับบริษัทที่ย้ายฐานหนี สัก 50 % เพื่อไม่ให้เราเสียประโยชน์ไปมากกว่านี้ ไหนจะเรื่องการวางยาไทย ไม่ให้เกิดการสร้างเทคโนโลยีหรือสินค้าของตัวเองขึ้นมาได้
ซึ่งเอาจริงๆญี่ปุ่นนี่เขี้ยวและหน้าเลือดยิ่งกว่าจีนอีก เพียงแต่ภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นในสายตาคนไทยยังดีกว่าจีนมาก เลยไม่ค่อยรู้สึกอะไร