ขออิสระจากแฟนบ้าง บางครั้งผิดมากไหม?

เหมือนเป็นการระบายดีๆเลยค่ะ เนื่องจากเราไม่มีเพื่อนและไม่ค่อยมีใครที่จะคอยรับฟังเรื่องพวกนี้ เราได้แต่เก็บมาตลอด จะมีที่สนิทและพูดคุยได้บ้างก็พี่สาวของแฟนแต่ก็บอกและระบายได้ไม่ทั้งหมดเพราะยังไงก็น้องชายเขา แฟนเราเขาดีมากขยันทำมาหากิน ทำเป็นหมดทุกอย่าง พร้อมจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา พูดง่ายๆภาษาหยาบๆก็ขี้ยิ้มทุกอย่างแหล่ะค่ะ ตามใจเราแทบจะทุกครั้ง อะไรก็ได้ ง่ายๆเย็นๆ แต่ข้อเสียของเขาคือขี้หึง หึงเบอแรง หึงเว่อร์วัง หึงไม่ฟังเหตุผล นอกนั้นเขาเอาใจใส่เราดีหมด
      
       เรากับแฟนอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้สิริรวม 13 ปีแล้ว เขาให้เราทำอะไรเรายอมทุกอย่างเพราะเรารักเขา เขาเป็นคนขี้หึงมากถึงมากที่สุด เราเข้าใจ แต่ตัวตนของเรา เราเป็นคนเฮฮาไปเรื่อย รักสนุก ถึงไหนถึงกัน เพราะก่อนจะรู้จักเขาเราเพื่อนเยอะมาก คบกับเพื่อนสนิททุกคนทั้งชายหญิงไม่มีแบ่งแยก เราเคยไปไหนมมาคนเดียวชิวๆ จนมาคบกับเขาเราเปลี่ยนหลายอย่างมาก ไม่ให้เราไปเจอเพื่อน เราก็ยอม ไม่ให้เราไปไหนคนเดียว...ก็โอเคเราไม่ไป ออกนอกบ้านกลางคืนดึกๆ...ไม่ได้ ไปปาร์ตี้กับเพื่อน....ไม่ได้ เลิกงานไปไหนต่อ...ไม่ได้ จะไปไหนต้องบอกต้องรายงานตลอด...ก็ให้ด๊ายย ถึงจะอึดอัดนิดๆ แต่ก็เรายังไปกันได้เพราะตอนนั้นยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่มันมีประเด็นตอนที่ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน วันนั้นเราเลิกงาน (ทำงานห้าง) ออกกะ 2 ทุ่มก็ไปเดินตลาดนัด(แวะทางผ่านจะกลับบ้าน) แล้วเราโทรศัพท์เราใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายแล้วตลาดนัดเสียงไม่ใช่เบาๆ เราก็ไม่ได้ยินเสียง ซื้อของเสร็จก็กลับมากำลังจะเดินถึงบ้านหยิบโทรศัพท์มาดูเพื่อจะโทรบอกเขาว่าเราจะถึงบ้านละนะ miss call 20+ เปิดประตูเข้าบ้านเจอเขานั่งรออยู่ที่ครัว ก็ทะเลาะกันใหญ่โตเลยแล้วเขาไม่ฟังอะไรด้วย เรายอมง้อเค้าทั้งที่เราไม่ผิด ทะเลาะจนเขายืนคำขาดมาว่าให้ไปลาออกจากงานนั่นสะไม่งั้นก็เลิกกะเขาไป ไม่ต้องสืบ...เราเลือกเขาแล้วลาออกจากงานห้าง

       ผ่านไป 2 ปี เขาให้ที่บ้านมาขมาผูกข้อไม้ข้อมือและได้มาอยู่ด้วยกัน ทุกวันก็คล้ายเดิมเลยอันนู้นไม่ได้ อันนี้ไม่ได้ ไปไหนตัวติดยิ่งกว่าทาบกาวตาช้างไว้ เราลงไปเซเว่นห่างบ้านไม่เกิน 200-300 เมตร ลงไปยังไม่ถึง 5 นาทีโทรตาม เราไปไหนกับพี่สาวเขาโทรหาทุก 15-30 นาที ไม่รับสายมีเรื่อง จนพี่สาวเขายังออกปากบ่น ว่าเกินไปไหม๊ และทำให้เรารู้สึกไม่อยากไปไหนเลยอยู่พักนึง ช่วงแรกๆเราเฉยๆ เฉยมาตลอด จนเรากลายเป็นคนไม่มีเพื่อนไมม่มีฝูง ไม่มีสังคม เพื่อนที่เคยโทรมาชวนไปนู่นไปนี่ เราปฏิเสธมันจนมันเลิกโทรมา เราทะเลาะกะเพื่อนทุกคนเพราะเขาไม่เคยชอบเพื่อนคนไหนของเราเลย ไม่ว่าจะเพื่อนเก่าสมัยเรียนหรือเพื่อนใหม่ที่ทำงาน ตอนมาอยู่กับเขาเราทำงานร้านอาหารเพราะความหึงหวงของเขาเราก็ตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อตัดปัญหา ย้ายไปทำร้านเค้กที่มีหลายสาขาแล้วเราเป็นงานหัวเร็วทางออดิทเลยให้เราไปช่วยตามสาขาที่ขาดคนหรือให้ไปช่วยสอนงานเด็กที่เข้ามาทำใหม่ ไม่ว่าเราจะโดนโยกไปทำที่ไหน ไกลยังไงเขาก็ไปรับไปส่งเรา ตรงนี้เรายอมรับว่าเขาห่วงเรามากเพราะบางทีเราต้องอยู่ปิดร้านตามเวลาห้างปิดคือ 4-5 ทุ่ม บางทีเราไปประจำอยู่ปิ่นเกล้าบ้านอยู่คลองเตยงี้เขาก็มารับเพราะเขาห่วง เราก็รู้สึกดีนะ แต่ก็จบเหมือนเดิมคือความหึงขึ้นหน้าแล้วเราลาออกจ้าา แล้วก็มีเรื่องทะเลาะกะแม่เขาด้วย แม่เขาเป็นคนไม่เอาอะไรเลยทางด้านความเห็นความคิด แต่งานบ้านท่านทำให้ไม่เคยอิดออด จะเชื่อแต่ความคิดท่าน ใครพูดอะไรก็เฉยฉันไม่สนซะอย่างเราพูดอีกอย่างท่านก็จะเข้าใจอีกอย่าง ขนาดลูกชายท่านยังยอมรับว่าแม่เขาอยู่กับคนอื่นไม่ได้หรอก ก็มีเรื่องให้ผิดใจกับแม่เขาตลอดเราก็เลือกที่จะเงียบเพราะเป็นเด็กกว่า เขาเองก็เข้าใจเลยบอกให้เราต่างคนต่างอยู่ เราก็โอเค เวลาที่แม่เขาบ่นอะไรมาพูดอะไรมาไม่ว่าจะถูกหรือไม่ถูก จริงบ้างไม่จริงบ้าง เราก็เฉย เงียบ ไม่เถียง และทนมาตลอด จนเราและเขามีลูกสาวด้วยกัน 1 คน จนถึงตอนนี้เราแทบจะไม่ใช่คนเดิมที่เคยเฮฮา มีแต่ความเครียด เงียบ นิ่ง และสุขุม บางทีเราเงียบจนลูกสาวทักว่าไม่ชอบที่เราเป็นแบบนี้ นางบอกว่าเราเงียบจนรังสีอมหิตแพร่กระจายออกมาเลย 555555

        ตอนนี้เราทำงานบริษัทผลิตสื่อออนไลน์ ทำได้จะเข้าปีที่ 5 แรกๆเขาถาม นั่งใกล้ผู้ชายไหม๊ เราตอบ ใช่ แต่ก็เพื่อนกัน ทำงานอยู่ทีมเดียวกันเลยนั่งใกล้กันและมาสมัครพร้อมกันก็เลยสนิท แค่นั้นไม่มีอะไร เขาก็ถามจำเป็นต้องนั่งใกล้หรอ เรากั้นใจไม่ให้โมโหและตอบไปว่า...หัวหน้าจัดให้ เราไม่มีสิทธิ์เลือก พอเป็นงานเราเริ่มได้รับผิดชอบงานมากขึ้น ได้ทำงานในหลายๆส่วนมากขึ้น ทางหัวหน้าเสนองานใหม่มาให้จากที่เข้าตี 5 ภาระมาตามหน้าที่ เราต้องเขยิบมาเข้างานตี 4 เราเห็นว่ามันได้เงินมากขึ้นต่อเดือนตก 2000-3000 แค่เลื่อนเวลาขึ้นมาอีก 1 ชั่วโมงเองโอกาสมาเรารีบคว้าตอบตกลงโดยไม่ลังเล เพราะเราเป็นคนชอบทำงานนอกบ้าน มันเป็นช่วงเวลาเดียวที่เรามีอิสระขึ้นมานิดนึงได้ทำงานไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำอะไรไม่ต้องกังวลว่าเขาจะโอเคกะเราไหม๊ แต่ก็ต้องคอยดูคอยรับโทรศัพท์เขาเหมือนเดิมไม่รับแม้แต่สายเดียวมีเรื่อง ถึงเวลาบริษัทมีจัดไปเที่ยวเราไปแบบไม่คิดเลย ไปเราได้อิสระแต่ก็ต้องพ้วงโทรศัพท์หอยคอสเตปเดิมไม่รับมีเรื่อง แต่แล้วก็มีเรื่องจนได้ เขามารับเราเลิกงานตอนเที่ยงแล้วเห็นเราเดินกับพี่ผู้ชายที่สอนงานให้เรา แค่เดินเฉยๆ เพราะพี่เขากำลังจะไปกินข้าวก็ลงลิฟท์มาด้วยกันตามภาษาเพื่อนร่วมงาน แล้วทั้งต่อหน้าและรับหลังไม่มีอะไรในกอไผ่เลย แต่เรื่องก็เกิดจนเราได้ย้ายกลับมาทำงานที่บ้าน (บริษัทมีนโยบายให้พนักงานทำงานจากที่พักได้ในกรณีที่ไม่สะดวกเดินทางหรือบ้านอยู่ไกล) 

       มาจนถึงตอนนี้ความเครียดเริ่มสะสมมากขึ้น เข้างานตี 2 เลิกงาน 9 โมงเช้าเรานอน ตื่นมาก็อยู่แต่บ้านทำงานบ้านนู่นนี่นั่นเย็นมาไปรับลูก ซื้อกับข้าว รอเขาเลิกงาน กินข้าวพร้อมเขา นั่งเล่นพักนึง อาบน้ำ และนอน วนๆอยู่แบบนี้ทุกวัน ถึงวันหยุดเราก็นอน ตื่นมาสายๆก็ทำงานบ้าน กินข้าว นั่งเล่น แล้วก็นอน รอลูก รอแฟน กินข้าว อาบน้ำ นอน ก็ยังวนๆอยู่กับห้องสี่เหลี่ยมๆ เหมือนเดิมทุกวัน แล้วบางครั้งเขาอยากไปนู่นนี่นั่นเราต้องตามเขาไปด้วยซึ่งเวลาเขาเวลาเราไม่เหมือนกัน เขาเข้างานเช้า 8-9 โมง เราเข้างานตี 2 ถึงจะอยู่บ้านก็เถอะ อย่างไปเรียบด่วนกลับดึกๆ 4-5 ทุ่ม เราได้นอนแปบเดียวถึงเวลางานเราก็เพลียก็ง่วงไม่อยากตื่น หยุดบ้าง เข้าสายบ้างจนหัวหน้างานเตือน เราก็เงียบไม่อยากบอกเขา เพราะอย่างน้อยถึงจะไปกลับดึกๆเราก็ยังได้ออกไปข้างนอกบ้านบ้าง

      จนไม่นานมานี้เราไม่รู้ว่าแม่เขาคิดอะไร วันนั้นเราไปประชุมที่บริษัทหลังจากเลิกงาน แฟนเราไปรับกลับมาเย็น แม่เขาก็พูดว่าลูกสาวเรา บอกว่าลูกเรากลับมาจากโรงเรียนไม่ยกมือไหว้ ไม่เห็นหัว ปากดี ย่าพูดอะไรก็ไม่ฟัง ซึ่งเรามาเหนื่อยๆแล้วเหมือนเราเฉยๆไม่ไหวแล้วเพราะสิ่งที่แม่เขาพูดมามันไม่จริงเลยสักนิด ทุกวันเราอยู่บ้าน เราเห็นลูกเราไหว้ท่านทั้งก่อนไปและหลังกลับจากโรงเรียนทุกครั้ง บางครั้งลูกเราพูดแล้วท่านไม่ได้ยิน พอลูกเราพูดให้เสียงดังขึ้นท่านก็จะตวาดใส่ลูกเราว่าขึ้นเสียงกับท่าน แล้วท่านก็จะเอาไปฟ้องลูกชายว่าลูกเราเป็นแบบนี้ๆ แฟนเราก็จะมาว่าลูกเราทุกครั้งไป เราสงสารลูกวันนั้นเราเลยทนให้ท่านว่าลูกเราไม่ได้ เราก็เลยเถียงกลับไป ท่านก็พูดขึ้น นี่ไงแม่มันเข้าข้างแต่ลูกตัวเอง ให้ท้ายตลอด สอนแต่สิ่งไม่ดี เคยด่าเคยว่าอะไรลูกมันบ้างไหม จบคำนั้นเราน้ำตาไหลไม่พูดอะไรต่อ พอถึงตอนนอนแม่เขาก็เดินออกมาจากห้องร้องห่มร้องไห้ แล้วก็พูดอะไรบางอย่างแต่นาทีนั้นเราบอกตรงๆเลยว่าเราไม่สนใจ เพราะก่อนหน้านี้เราทะเลาะกับแฟนเราที่เราไปเถียงแม่เขา เราบอกเราทนไม่ไหวแล้วเราอยู่บ้านทุกวันเราเห็นอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่ลูกถูกลูกผิดเราก็ว่าลูกเราถูกทุกอย่างไม่ใช่แบบนั้น ถ้าเราจะปกป้องลูก เข้าข้างลูกมันผิดก็ช่างเราไม่สนใจ เรายื่นคำไปว่าเราจะขอกลับไปอยู่บ้านของเรา เขาก็นิ่งอึ้งไปพักนึง ไม่พูดอะไรต่อ หลังจากวันนั้นมาเรากับแฟนก็พูดกันน้อยลง เจอกันน้อยลงทั้งที่อยู่บ้านเดียวกัน เพราะเช้าเขาตื่นไปส่งลูกแล้วก็ไปทำงานเลยกลับบ้านมาอีกทีก็ 3 ทุ่มซึ่งเราหลับแล้ว แต่เขาก็ยังทักมาถามในเฟสว่าเราทำอะไรเป็นไงนู่นนี่นั่น

     จากคนที่เคยอิสระในทุกๆอย่าง เพราะรักเขาเราเลือกเขามาตลอด กับทุกๆอย่างไม่ว่าจะเพื่อนหรือครอบครัวเรา เราเลือกเขา จนเมื่อวานเขามาถามเราว่า จะไปอยู่บ้านจะทิ้งเขาแล้วใช่ไหม๊ สิ้นคำถามเขาเราน้ำตาไหล ถามกลับไปว่า "จะให้ทำยังไง ทนมาตลอด เงียบมาตลอด พอพูดทีไรก็เป็นแบบนี้ เราไม่รู้จะทนได้อีกนานแค่ไหน เราขอกลับไปอยู่บ้านสักพักนะไปดูแลยาย ดูแลบ้าน แล้วเราจะมาหาทุกวันหยุดของเรา ห่างๆกันเผื่อแม่จะสบายใจ คุณเองจะได้สบายใจไม่ต้องคอยฟังแม่ที ฟังแฟนที ฟังลูกที เพราะทุกคนต่างก็พูดคนละแบบ คนกลางอย่างคุณคงเหนื่อยใจแย่ เผื่ออะไรๆมันจะดีขึ้นบ้าง ถ้าทุกอย่างดีขึ้นเราจะกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม" เขาก็ยอมรับแล้วก็พูดมาว่า "คงต้องตามนั้น" 

    สิ่งที่เราทำผิดมากไหมคะ เราหาทางออกไม่เจอ เคยคิดถึงขนาดไม่มีเราเลยจะดีกว่าไหม๊  เราไม่มีใครให้คุยด้วยแล้วจริงๆ ไม่กล้าคุยกับทางบ้านเราด้วยกลัวพวกเขาจะเป็นห่วง ที่กล่าวมาซะยาวเหยียดมันคือเหตุผลที่เราอยากจะขออิสระจากเขา เราควรจะยังอยู่กับเขาแล้วขออิสระบ้างบางวัน ออกไปเที่ยวเล่นคนเดียวตามใจเราอยากบ้าง หรือเราควรจะกลับไปอยู่บ้านเพื่อตั้งหลักให้ตัวเองรู้สึกดีสักพักแล้วกลับมาอยู่กับเขาเหมือนเดิมดีค่ะ น้อมรับทุกความเห็นค่ะ  

      ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่