
ปี 19xx โลก...ตกอยู่ในกลียุค ผู้คนมากมายต่อสู้ดิ้นรนให้รอดพ้นจากความป่าเถื่อน มีเพียงชายผู้สืบทอดหมัดอุดรเทวะ...

ยย นั่นมันเคนชิโร่ ที่ผมเกริ่นมาแบบนี้ ไม่ได้เอาฮาอย่างเดียว เพราะจากกระแสของ Train To Busan เวอร์ชั่นพี่ กงยู นั้นทำได้ค่อนข้างดีและเป็นการสร้างกระแส ซอมบี้เกาหลีฟีเวอร์ ขึ้นมาในโลกของ K Movie ซึ่งความคาดหวังของเรื่องราวที่เข้มข้นจากภาคที่แล้วจะต้องถูกส่งต่อมาที่ภาคนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นไม่แปลกที่กระแสการรอคอยภาคต่อ Peninsula จะมีมากขนาดนี้

เรื่องราวเหตุการณ์ 4 ปีหลังจาก Train To Busan เมื่อคาบสมุทรเกาหลีเต็มไปด้วยฝูงซอมบี้ ฮยองซอก ชายผู้หนึ่งที่รอดจากหายนะครั้งนั้น จำเป็นต้องถูกส่งตัวกลับไปที่ Peninsula เพื่อทำภารกิจเสี่ยงตาย พร้อมกับต้องเผชิญกับฝูงซอมบี้ และกลุ่มกองพัน 631 ที่เป็นตั้งตัวเป็นผู้ล่าอยู่ที่นั่น ความหวังสุดท้ายที่จะพาผู้รอดชีวิตที่หลงเหลืออยู่หนีตายจากดินแดนร้างที่เต็มไปด้วยซอมบี้คลั่งนี้ เขาจะรอดออกมาได้หรือไม่

เรื่องราวถูกปูทางมาด้วยการพยายามหนีเอาตัวรอดจากสถานการณ์ในช่วงเวลาเดียวกับในภาคแรก แต่เล่าผ่านตัวละครตัวใหม่ ซึ่งเป็นการปูทางให้หนังเดินต่อไปได้ แต่ผมกลับเสียดายตัวละครเก่าที่รอดตายมาได้ ถ้าเอามาใช้ต่อมันน่าจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนดูกับหนังได้เป็นอย่างดี แต่พอหนังสร้างตัวละครใหม่ขึ้นมา หนังกลับสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างตัวละครตัวนี้กับคนดูได้ไม่ดีเอาซะเลย ทำให้พอเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา มันไม่ได้ทำให้อินไปกับตัวละครเท่ากับในภาคแรกที่ตอนจบถึงขั้นมีน้ำตาแตก เพราะหนังทำให้คนดูรักตัวละครตัวนั้นได้อย่างเต็มใจ

ในส่วนของเนื้อเรื่อง ก็เป็นอีกจุดที่ผมรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ถ้าเราเคยดูหนังซอมยี้กลืนเมืองของฝรั่งมาเยอะแล้ว เราจะไม่ได้รู้สึกว้าวอะไรกับ Peninsula เลย ช่วงแรกๆ จะเหมือนเรากำลังดู The Walking Dead ใน season หลังๆ อยู่ ซึ่งเนื้อหาหลักๆ มันคือการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ “มนุษย์” เป็นตัวปัญหาหลักของเรื่องราวมากกว่าปัญหาที่เกิดจาก “ซอมบี้” เหมือนเรากำลังตกอยู่ในโลกที่มันป่าเถื่อนแบบหนังที่มีเรื่องราวหลังโลกแตกหรือหลังสงครามโลกซึ่งผู้คนต้องปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอด ซึ่งตรงนี้แหละที่ผมนึกถึงคำพูดเปดตัวของการ์ตูน “หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ”

หลังจากนั้นก็กลายเป็นหนังทีมทหารรับจ้างทำภารกิจลับ บุกเข้าบ้านศัตรูเพื่อเอาอะไรบางอย่างออกมา ก่อนที่ตอนท้ายเรื่อง จะกลายเป็นหนัง Mad Max Fury Road ไปซะอย่างงั้น ซึ่งว่ากันตามตรงถึงความมันส์สะใจ หนังใส่เข้ามาเต็มเอี้ยด เรียกว่าดูกันลุ้นระทึกไปกับการไล่ล่าของทั้งสองฝ่าย โดยมี “ซอมบี้” เป็นเหมือนสิ่งกีดขวางเกะกะอยู่บนถนนหนทาง ซึ่งไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรกับสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย ถ้าดูกันเอามันส์สะใจ เรื่องนี้ให้ความมันส์เต็ม 10

แต่ถ้ามองในเรื่องของเนื้อหาหนัง ส่วนตัวผมว่ามันค่อนข้างหลุดโลกไปพอสมควร จาก Train To Busan ที่เรื่องราวทุกอย่างสร้างสถานการณ์อยู่บนรถไฟจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง มันยังมีแกนหลักให้เราตั้งอยู่บนจุดๆ หนึ่งอยู่ตลอดเส้นเรื่อง แต่พอมาเป็นภาคนี้มันเหมือนกับหนังมันไม่ได้โฟกัสเรื่องราวอะไรสักอย่าง แต่เอาความมันส์อัดใส่เข้าไปให้สาแก่ใจทั้งผู้กำกับและคนดู ซึ่งไม่ได้แย่ ถือว่าดีเลย เพียงแต่เส้นเรื่องมันไม่ชัดเจนและไม่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง

สุดท้ายท้ายสุด หนังไม่ใช่ไม่ดีนะครับ หนังดีเลย มันส์ สนุก ภาพสวย CG เยี่ยม เพียงแต่ที่ติดใจผมอยู่อย่างนึงคือเรื่องของเนื้อเรื่องนี่แหละ ที่มันค่อนข้างสะเปะสะปะไปหน่อย ดูตอนแรกเป็น The Walking Dead ดูไปเรื่อยๆ เป็น Dead Race ตอนจบเป็น Mad Max ไปซะงั้น ซึ่งถ้ามีภาคต่อ ผมก็อยากให้กลับไปโฟกัสสถานการณ์ไวรัสซอมบี้มากกว่า

ขอขอบคุณรอบสื่อมวลชนจาก สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล Sahamongkolfilm International ด้วยครับ
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>>
https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
[SR] [#Review] Train To Busan Peninsula ฝ่านรกซอมบี้คลั่ง - ภาคต่อที่หลุดโลกไปสู่ยุคของ Mad Max
ปี 19xx โลก...ตกอยู่ในกลียุค ผู้คนมากมายต่อสู้ดิ้นรนให้รอดพ้นจากความป่าเถื่อน มีเพียงชายผู้สืบทอดหมัดอุดรเทวะ...
เรื่องราวเหตุการณ์ 4 ปีหลังจาก Train To Busan เมื่อคาบสมุทรเกาหลีเต็มไปด้วยฝูงซอมบี้ ฮยองซอก ชายผู้หนึ่งที่รอดจากหายนะครั้งนั้น จำเป็นต้องถูกส่งตัวกลับไปที่ Peninsula เพื่อทำภารกิจเสี่ยงตาย พร้อมกับต้องเผชิญกับฝูงซอมบี้ และกลุ่มกองพัน 631 ที่เป็นตั้งตัวเป็นผู้ล่าอยู่ที่นั่น ความหวังสุดท้ายที่จะพาผู้รอดชีวิตที่หลงเหลืออยู่หนีตายจากดินแดนร้างที่เต็มไปด้วยซอมบี้คลั่งนี้ เขาจะรอดออกมาได้หรือไม่
เรื่องราวถูกปูทางมาด้วยการพยายามหนีเอาตัวรอดจากสถานการณ์ในช่วงเวลาเดียวกับในภาคแรก แต่เล่าผ่านตัวละครตัวใหม่ ซึ่งเป็นการปูทางให้หนังเดินต่อไปได้ แต่ผมกลับเสียดายตัวละครเก่าที่รอดตายมาได้ ถ้าเอามาใช้ต่อมันน่าจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนดูกับหนังได้เป็นอย่างดี แต่พอหนังสร้างตัวละครใหม่ขึ้นมา หนังกลับสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างตัวละครตัวนี้กับคนดูได้ไม่ดีเอาซะเลย ทำให้พอเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา มันไม่ได้ทำให้อินไปกับตัวละครเท่ากับในภาคแรกที่ตอนจบถึงขั้นมีน้ำตาแตก เพราะหนังทำให้คนดูรักตัวละครตัวนั้นได้อย่างเต็มใจ
ในส่วนของเนื้อเรื่อง ก็เป็นอีกจุดที่ผมรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ถ้าเราเคยดูหนังซอมยี้กลืนเมืองของฝรั่งมาเยอะแล้ว เราจะไม่ได้รู้สึกว้าวอะไรกับ Peninsula เลย ช่วงแรกๆ จะเหมือนเรากำลังดู The Walking Dead ใน season หลังๆ อยู่ ซึ่งเนื้อหาหลักๆ มันคือการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ “มนุษย์” เป็นตัวปัญหาหลักของเรื่องราวมากกว่าปัญหาที่เกิดจาก “ซอมบี้” เหมือนเรากำลังตกอยู่ในโลกที่มันป่าเถื่อนแบบหนังที่มีเรื่องราวหลังโลกแตกหรือหลังสงครามโลกซึ่งผู้คนต้องปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอด ซึ่งตรงนี้แหละที่ผมนึกถึงคำพูดเปดตัวของการ์ตูน “หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ”
หลังจากนั้นก็กลายเป็นหนังทีมทหารรับจ้างทำภารกิจลับ บุกเข้าบ้านศัตรูเพื่อเอาอะไรบางอย่างออกมา ก่อนที่ตอนท้ายเรื่อง จะกลายเป็นหนัง Mad Max Fury Road ไปซะอย่างงั้น ซึ่งว่ากันตามตรงถึงความมันส์สะใจ หนังใส่เข้ามาเต็มเอี้ยด เรียกว่าดูกันลุ้นระทึกไปกับการไล่ล่าของทั้งสองฝ่าย โดยมี “ซอมบี้” เป็นเหมือนสิ่งกีดขวางเกะกะอยู่บนถนนหนทาง ซึ่งไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรกับสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย ถ้าดูกันเอามันส์สะใจ เรื่องนี้ให้ความมันส์เต็ม 10
แต่ถ้ามองในเรื่องของเนื้อหาหนัง ส่วนตัวผมว่ามันค่อนข้างหลุดโลกไปพอสมควร จาก Train To Busan ที่เรื่องราวทุกอย่างสร้างสถานการณ์อยู่บนรถไฟจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง มันยังมีแกนหลักให้เราตั้งอยู่บนจุดๆ หนึ่งอยู่ตลอดเส้นเรื่อง แต่พอมาเป็นภาคนี้มันเหมือนกับหนังมันไม่ได้โฟกัสเรื่องราวอะไรสักอย่าง แต่เอาความมันส์อัดใส่เข้าไปให้สาแก่ใจทั้งผู้กำกับและคนดู ซึ่งไม่ได้แย่ ถือว่าดีเลย เพียงแต่เส้นเรื่องมันไม่ชัดเจนและไม่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง
สุดท้ายท้ายสุด หนังไม่ใช่ไม่ดีนะครับ หนังดีเลย มันส์ สนุก ภาพสวย CG เยี่ยม เพียงแต่ที่ติดใจผมอยู่อย่างนึงคือเรื่องของเนื้อเรื่องนี่แหละ ที่มันค่อนข้างสะเปะสะปะไปหน่อย ดูตอนแรกเป็น The Walking Dead ดูไปเรื่อยๆ เป็น Dead Race ตอนจบเป็น Mad Max ไปซะงั้น ซึ่งถ้ามีภาคต่อ ผมก็อยากให้กลับไปโฟกัสสถานการณ์ไวรัสซอมบี้มากกว่า
ขอขอบคุณรอบสื่อมวลชนจาก สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล Sahamongkolfilm International ด้วยครับ
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>> https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม