รักที่เก็บไว้

กระทู้คำถาม
เราอยากเขียนเรื่องราวของเราที่เกิดขึ้น เพื่อเตือนตัวเอง และเก็บไว้เป็นความทรงจำ มันเป็นเรื่องที่เราเก็บไว้ ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ไม่เคยบอกใครมาเกือบ 10 ปี มันอึดอัด บอกใครก็ไม่ได้ กลับไปแก้ไขอะไรก็ไม่ได้ เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง แต่อาจจะจำรายละเอียดไม่ได้หมด มันเป็นเรื่องราวที่ผ่านมานาน จะเรียกว่า แต่งขึ้นอิงจากเรื่องจริง ก็ได้ อยากขอความเห็นด้วยว่า เราจะทำยังไงต่อไป เรื่องอาจจะยาวซักหน่อย

ตอนนั้นเราอายุประมาณ 16 อยู่ประมาณ ม.4 เราไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลย ก่อนหน้านั้นเราอ้วนมาก สนใจแต่เรื่องเรียนเราเคยได้เกรดสูงสุดของโรงเรียนตอน ม.ต้น แล้วเราก็ได้เข้าไปอยู่ห้องที่เก่งที่สุด ของชั้นม.ปลาย แต่พอขึ้นม.ปลายเราได้ไปค่ายติวที่มหาลัย แล้วได้เจอรุ่นพี่มหาลัย เราก็เลยเริ่มคิดว่า เราจะเรียนไปเพื่ออะไร จริงๆแล้วมีหลายอย่างในชีวิตที่เราต้องเรียนรู้ ขอแค่ไม่แย่จนเกินไป และแค่มีโอกาศเข้ามหาลัยได้ก็โอเค เราจึงเริ่มออกไปเตะบอลกับเพื่อน ทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้างนอกจากเรียนกับเล่นเกม (จริงๆแล้วติดเกมด้วย) จนเราเริ่มผอมลง แล้วดูดีขึ้น แล้วก็เริ่มมีรุ่นน้องมาขอเบอร์

ยุคนั้นทุกคนต้องเล่น Msn พอกลับมาบ้าน หรือ เสาร์อาทิตย์ เราก็ออนเอ็ม ทิ้งไว้
มีวันนึงเราคุยกับเพื่อนคนนึงอยู่ แล้วอยู่ๆเพื่อนเราก็ดึงเธอคนนั้นเข้ามาในกลุ่มแชต แล้วเราก็เริ่มคุยกัน เธอคนนั้นเป็นรุ่นน้องเราสองปี เธอชื่อแอม เค้ามีแฟนอยู่แล้ว เป็นรุ่นพี่ของเรา เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าคุยกันเป็นเพื่อน ซึ่งก็ยอมรับว่าเราก็คุยกับหลายคนแต่ไม่ได้คบใครจริงจัง ทั้งคนที่โทรมาทุกวัน คนที่คุยใน Msn ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าคุยเป็นเพื่อน ไม่ได้มีเจตนาจะคบกับใคร แล้วก็ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน

และแล้วก็มีเหตุการณ์ ให้เรามาเจอกับ แอม วันนั้นโรงเรียนมีงานเทศกาล ทำให้เราได้ทำงานร่วมกัน เราต้องแสดงเป็นแฟนกัน แต่ไม่มีบทพูด ผู้จัดงานเลือกเรา กับแอม มาคู่กัน ต้องแสดงด้วยกัน ทำให้เรา ที่เคยคุยกันบ้าง เริ่มคุยกันมากขึ้น

ผ่านไปซักระยะ เค้าร้องไห้โทรมาหา แล้วบอกว่า เลิกกับแฟน เราก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เราก็คิดว่าเป็นเพราะเราหรือป่าวเราก็ขอโทดเค้าไป ถ้าเราทำให้เค้ามีปัญหา แต่เค้าก็บอกว่าไม่ใช่เพราะเรา หลังจากนั้น เราก็คุยกันปกติมาเรื่อยๆ แต่ก็มีงานโรงเรียน ที่ทำให้เราได้เจอกันเรื่อยๆ เค้าไปเล่นบทอื่นบ้าง เป็นนางรำ เราก็เป็นแค่คนถือของประกอบฉาก แต่มันเป็นส่วนที่ทำให้เจอกันบ่อยขึ้นอีก เพราะหลังจากเลิกเรียนก็ต้องมาซ้อมด้วยกัน และ งานแสดงบนเวที เป็นงานครบรอบ50ปี ของโรงเรียน เลยเลิกดึก เราเลยขับรถไปส่งเค้าที่บ้าน บ้างบางครั้ง

จนวันปีใหม่เราคุยกันมาเกือบปีได้ ไม่แน่ใจ เราก็ขอเค้าเป็นแฟน ขอผ่านทางโทรศัพ หลังจาก count down ขึ้นปีใหม่

เค้าก็ตกลงคบกับเราเป็นแฟน

ตอนแรก เราคิดว่าเค้าไม่ใช่ สเปคเราเลย แต่จิงๆแล้วเค้าน่ารักมาก มีคนชอบแอมเยอะ

ชีวิต ม ปลาย ตอนนั้นมีความสุขมากๆ เคยคิดว่าจะแต่งงานกับเค้า ริมทะเล เพราะเค้าเคยเล่าความฝันของเค้าให้ฟังว่าอยากให้เป็นแบบนั้น

แต่แล้วเราเริ่มเกรดตก ตอนที่เกริ่นมาตอนแรก ก่อนที่เราจะคบกับเค้า เราก็คิดอยู่แล้วว่า เราจะเรียนพอให้ผ่าน แค่เข้ามหาลัยให้ได้ เราไม่อยากได้เกรดดีๆแล้ว เราเริ่มทำหลายๆอย่างที่ไม่เคยทำ มีแฟน ไปเตะบอลกับเพื่อนทุกเย็น พอเตะบอลเสร็จ เราก็จะมาส่งเค้าขึ้นรถกลับบ้านทุกวัน บางทีเค้าก็สอนการบ้านเรา เพราะเค้าก็เรียนอยู่ห้องเก่งที่สุดของระดับชั้นเหมือนกัน

จำได้ว่า ตอนนั้น มีเพื่อนที่ดี คอยช่วยเหลือเราตลอด เพราะตอนเด็กๆ มีแต่คนคอยให้เราช่วยเหลือ แต่พอถึงตอนที่เราตกต่ำ เราเรียนไม่รู้เรื่อง เราไม่สนใจ ก็มีเพื่อนกับแอม คอยช่วย
เรา เวลาทำกิจกรรมกีฬาสีด้วยกัน เรากับแอมก็อยู่สีเดียวกัน เราก็ช่วยกัน คอยให้คำปรึกษากัน จนตอนนั้น เราได้ถ้วยรางวัล เกือบทุกอย่าง ไม่ใช่เพราะเรากับแอมนะ แต่เพราะมีเพื่อนๆ และทุกคนช่วยกัน
แล้วก็มีกิจกรรมอีกหลายอย่างที่เราได้ทำด้วยกัน
เพื่อนเราเป็นนักดนตรี เล่นคอนเสิร์ตของโรงเรียน เราก็จับมือแอมแล้ววิ่งไปโดดอยู่หน้าเวที เพื่อเชียร์ เพื่อนของเรา ซึ่งแอมก็รู้จักแล้วก็สนิทกับเพื่อนของเรา มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก

ด้วยความที่แอมเป็นแฟนคนแรกของเรา

บางครั้ง เราก็ทำตัวไม่ถูก ไม่ดี หลายครั้ง แต่แอมก็ให้อภัย มีหลายครั้งที่ยังมีผู้หญิง โทรมาหา เราก็ยังคุยเล่น เพราะตอนนั้นเราไม่เข้าใจ ว่าเรามีเพื่อนผู้หญิงไม่ได้แล้วหรอ ก็ทำให้เราทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อย

เรารักแอมมากนะ ไม่เคยจะคิดทิ้งเค้าไป
แต่เราเองก็คุยกับคนที่เข้ามา เพราะคิดว่าสนุก ไม่ได้จะไปคบคนอื่นจริงจัง

ตอนนั้นเราคบกันมาเกือบสองปี
จนวันที่เราเข้ามหาลัยได้ เราต้องย้ายจากต่างจังหวัดไปอยู่ กทม

เนื่องจากความคิดที่ว่า เป้าหมายของเราสำเร็จไปแล้ว เข้ามหาลัยได้แล้ว เราจะสนุกกับชีวิตให้เต็มที่ อยากลองทำให้หมดทุกอย่าง อยากเรียนรู้โลกนี้ นอกจากเรียนหนังสือ เอาแค่เรียนให้จบพอ เราเลยทำทุกกิจกรรม เจอเพื่อนใหม่ๆกินเหล้า เข้าผับ เริ่มสูบบุหรี่ เริ่มใช้ยาเสพย์ติด ปาร์ตี้อย่างหนักหน่วง ทำให้เราห่างกับแอมมากขึ้น แอมเค้าก็ห้ามไม่อยากให้เราไป เค้าเป็นห่วงเรา เราก็ไม่สนใจ ทะเลาะกันทุกวัน

ในช่วงมหาลัย ก็ยังมีผู้หญิงเข้ามาเรื่อยๆ บางคนน่ารักมากชวนเราไปกินข้าวแต่เราก็ปฏิเสธ เพราะเรานึกถึงแอม แต่แล้วเราก็ไปชอบเพื่อนใหม่คนนึงที่มหาลัย เราทำดีกับเพื่อนใหม่แต่ทะเลาะกับแอมทุกวัน เค้าชื่อพลอย

พลอย เป็นคนคอยช่วยเหลือเราทุกอย่าง ตอนเรียน เค้าโทรมาปลุกเราเพื่อไปเรียนทุกเช้า คอยเช็คชื่อให้ ยอมรับว่าตอนนั้นเราเรียนไม่รู้เรื่องเลย มีพลอยและเพื่อนใหม่ที่มหาลัยคอยช่วย เราเลยได้เข้าใจ การที่อยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตกับจุดต่ำสุดของชีวิต มันช่างต่างกันเหลือเกิน ตอนที่เราเก่ง มีแต่คนอยากได้เราเข้าทีมแย่งกันอย่างไม่เกรงใจ แต่พอถึงเวลาที่เราตกต่ำ ไม่มีใครสนใจหรือแม้แต่จะอยากให้เข้าร่วมทำงานกลุ่ม เหลือแค่คนที่ ยอมรับเรา ไม่ว่าจะเป็นยังไงหรือไม่มีค่าเค้าก็จะยังคอยช่วยเหลือ

เพื่อนใหม่ สังคมใหม่ มันทำให้เราลืมแอมไป เพราะเราอยู่คนละที่ จากที่เจอกันทุกวัน กลายเป็นเจอกันเดือนละครั้งหรือ หลายเดือนครั้งนึง แต่เราก็ไม่ได้ไปคบกับพลอย เพราะใจเราก็ยังคงคิดว่าไม่ได้อยากทิ้งแอมไป จนผ่านไปสองปีเราก็หลุดโปรได้อย่างฉิวเฉียด เกือบโดนรีไทร์ แล้วเราก็ไม่ได้ถึงกับติดยา แค่ลองใช้ แต่ไม่ได้ติด แต่แอมก็ไม่พอใจทุกครั้งที่รู้ว่า เราใช้มัน

จนเราได้มีโอกาสจากเพื่อน ว่าจะไปต่างประเทศไปฝึกงานกัน เราก็สมัครไปด้วย ไม่ได้คิดอะไร เพราะความตั้งใจของเราคือ ลองทุกอย่าง เราอยากรู้ อยากเห็น ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้เลิกกับแอม แล้วช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่แอม จะสอบเข้ามหาลัย แอมขอเราว่าอย่าไป เค้ากลัวว่าถ้าเราไปจะต้องเลิกกัน เราก็คิดแค่ว่า เราตัดสินใจจะไป เพื่อเรียนรู้โลกนี้

สุดท้ายแล้วเราก็ไป วันที่เราไปขึ้นเครื่อง แอมก็ไปส่งเราที่สนามบิน  เราตื่นเต้นมาก ได้เจอสังคมใหม่ อีกแล้ว เราทำเหมือนเดิม ปาตี้เกือบทุกอาทิตย์ เราเจอเพื่อนใหม่ๆ จากหลายประเทศ เราสนุกกับมันมาก จนลืมแอมเหมือนเคย เราไม่ออนไลน ไม่ได้ติดต่อกัน โทรหากันน้อยมาก

ตอนนั้นถ้าจะโทรคุยกันต้องใช้บัตรโทรข้ามประเทศ แล้วตอนนั้นคือจำได้ว่า ต้องจ่ายราคาสูง ในการโทรข้ามประเทศ

แต่ยุคนั้นเป็นยุคแรกๆ ที่ facebook เพิ่งจะเริ่มรู้จัก เพื่อนอเมริกัน เป็นคนแนะนำให้สมัคร แต่แอม เค้าก็จะเห็นรูป ที่เราอัพลง Hi5 ในยุคนั้น เค้าเห็นรูปที่เราถ่ายกับเพื่อนๆ ชาวต่างชาติแบบใกล้ชิต เราเข้าใจว่าวัฒนธรรมของเค้าเป็นแบบนั้น แต่แอมไม่เข้าใจ เราก็เลยทะเลาะกันทุกครั้งที่มีโอกาสคุย จนเราไม่อยากทะเลาะอีก ก็เลยหยุดติดต่อไป  แต่เราไม่ได้มีคนใหม่เลย ไม่ได้ไปคบใครเลย อาจจะมีคุยๆบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไร

จนเรากลับมาไทย

ไม่รู้ทำไมเราถึงอยากลองว่าแอมจะทนได้ไหมที่ไม่ได้ติดต่อกับเรา

เค้าเข้ามหาลัยได้ แล้วเป็นคนที่เด่นในมหาลัย เหมือนเป็นดาว ที่มีคนมาจีบเยอะ

เรากลับพบว่า เค้าไปคบกับคนอื่นแล้ว
เป็นเพื่อนของเค้าที่มหาลัย

แอมบอกเราว่า เพราะว่าเราหายไป เค้าเลยคิดว่าเราไปมีคนใหม่แล้ว แอมบอกว่า เราไม่อยู่ตอนที่เค้าต้องการคำปรึกษา เค้าเลือกไม่ได้ว่าจะเรียนต่ออะไร (เราก็ไม่ได้ชวนให้แอมมาเรียนด้วยกัน เพราะตอนนั้นเราคิดว่า เรียนอะไรก็ได้ คงไม่มีปัญหาอะไร เราก็คงสนับสนุนสิ่งที่แอมอยากทำ) 

เราไม่รู้จะทำยังไง มันเจ็บมาก ไม่เคยรู้สึกเสียใจเท่านี้มาก่อน

เราไปหาแอมที่มหาลัย กลายเป็นว่า เค้าทำทุกอย่างเหมือนที่เราเคยทำ (หรือเราแค่คิดไปเอง) แล้วเราก็ทะเลาะกัน แอมไล่เราให้กลับไป

เราอ้อนวอนขอคืนดี แล้วแอมก็ขอเวลา เค้าบอกว่าอยากกลับมาคืนดีกัน ที่ผ่านมาเค้าเข้าใจผิด

ผ่านไปไม่นาน หลังจากที่ทะเลาะกันมากมาย เค้าก็กลับมา แต่แอมเหมือนไม่ได้รักเราแล้ว เราก็ไม่รู้จะทำยังไงให้มันดีขึ้น เราทั้งเศร้า ทั้งโมโห ทั้งแค้น ทั้งรัก ความรู้สึกมันมาพร้อมกันหมด

จนเราตัดสินใจ ทำแบบเดิม เริ่มคุยกับผู้หญิงคนอื่น เพราะเราคิดว่า มันอาจจะทำให้เค้ารู้ว่าเราเสียใจมาก และเหมือนอยากเอาคิน แต่ที่ทำเพราะแค่ อยากจะประชด เราทำเหมือนคุยกับคนอื่นและพยายามทำให้เค้ารู้

แล้วเราก็ทะเลาะกัน แล้วก็ดีกัน สลับไปมาเกือบทุกวัน เหมือนเป็นคนบ้า เราคิดว่าแอมคงทนไม่ไหว เค้าเหมือนไม่ได้รักเราแล้ว จนวันนึงเค้ามาหาเราที่มหาลัยของเรา แล้วก็ทะเลาะกัน เค้าเลยตัดสินใจกลับเลยทั้งที่ใช้เวลาเดินทางมา3-4 ชม แต่อยู่เจอหน้าแค่ไม่ถึง 10นาที เหมือนครั้งนี้เค้าพยายามตัดเราออกไปจากชีวิต เราก็ตามไปง้อเค้าอีก แต่เค้าไม่สนใจเราเลยแม้แต่นิดเดียว เราพยายามทำทุกอย่าง เพื่อให้กลับมาคืนดีกัน เราคุกเข่า อ้อนวอนแบบไม่เหลือศักดิ์ศรี แต่เค้าก็เอาแต่ไล่เราไป หลังจากวันนั้น เราแอบตามเค้าไป จนไปเห็นว่าเค้าขึ้นรถไปกับผู้ชายอีกคน เรารู้ทันทีเลยว่า เค้ามีคนใหม่แล้ว

เราอยู่บน แท็กซี่ มองเค้าจากอีกฝั่งของถนน
เราร้องไห้แบบกลั้นไม่อยู่ จนพี่คนขับแท็กซี่ บอกว่า ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่หรอก พอเรารู้สึกตัวก็ลงมากจากรถแล้วไปหาเพื่อน

หลังจากนั้น เราก็กลับไปกินเหล้าหนักกว่าเก่า กินเพื่อให้หลับ แล้วตื่นขึ้นมาก็กินต่อ เป็นเดือนๆ คอยมีเพื่อนที่ยังเป็นห่วงและอยู่ข้างๆ จนต้องพาเราออกไปทำอย่างอื่น ไปต่างจังหวัด เพื่อที่จะได้ลืม ช่วงนั้นมีค่ายอาสาพัฒนาชนบท เราก็ไปกับเพื่อน ไปออกสำรวจตามที่ทุรกันดาร เราทำใจไม่ได้ ระหว่างนั่งรถไปตามต่างจังหวัดเราคิดถึงแต่แอม เราจะร้องไห้ รู้สึกใจเต้นแรงตลอดเวลา จนเราไปพักที่บ้านเพื่อน แล้วก็มีกินข้าวเย็นกับพ่อแม่ของเพื่อน มีเหล้าด้วยนิดหน่อย จนเราเริ่มเมา เราก็ร้องไห้ออกมาอีก พ่อของเพื่อนก็ว่าเราอีกว่า ถ้ารักคนอื่นมากกว่าพ่อแม่ก็ไปตายซะ เราถึงได้สติกลับมาบ้าง แต่มันก็ยังลืมไม่ได้ ก่อนกลับเราก็ซื้อผ้าพันคอไปฝากเค้า คิดแค่ว่าเราอยากซื้อให้

ผ่านไปเกือบปี เราก็ยังตามขอคืนดีกับเค้าอยู่ พยายามจะติดต่อ อธิบายว่าทำไมเราถึงทำแบบนั้น ประชดแบบนั้น จนสุดท้ายเค้าก็เลิกกับคนนั้น
แล้วกลับมาหาเรา เรากลับขึ้นไปบนค่ายอาสาอีกครั้ง ครั้งนี้แอมกับเราดีกันแล้ว มันเหมือนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว ที่ค่ายอาสา มีข้อกำหนดว่า บนเขา ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มีแค่ตู้สาธารณที่ต้องใช้บัตรโทรศัพท์แค่ตู้เดียว จึงห้ามทุกคนใช้ ไม่งั้นคนหลายร้อยคนจะแย่งกัน ยกเว้นมีเหตุจำเป็นจริงๆ เราพยายาม ขอเพื่อนเราว่า เราต้องใช้โทรจริงๆ แล้วต้องฝากคนลงจากดอยที่จะมาซื้อกับข้าว ที่จะลงแค่วันเดียวจากเดือนนึง มาซื้อบัตรโทรศัพท์ จึงได้โทรตอนดึกๆที่ทุกคนหลับหมด เราบอกแอมว่า เราคิดถึงและรักเค้ามากแค่ไหน วันนั้นเป็นวันที่เรารู้สึกดีอีกครั้ง หลังจากที่ทะเลาะกันและไม่เข้าใจกันมานาน เราพยายามมากที่จะโทรไปหาเค้า แต่ได้คุยแค่ไม่ถึง 5 นาที แค่นั้นก็ดีแล้ว 

แล้วเราก็กลับมาเป็นปกติได้อีกซักพัก เราพยายามไปหา พยายามติดต่อ เราตั้งใจว่าครั้งนี้เราจะไม่ประชดแล้ว จะทำดีทุกวัน และจริงจังกับแอม แต่ยิ่งเราพยายามมากเท่าไหร่ แอมก็ยิ่งดูเปลี่ยนไป ครั้งนี้เค้ากลับมาแต่เหมือนเค้าเปลี่ยนไป เค้าไม่สนใจเราซักนิด เหมือนไม่มีความรักอีกต่อไปแล้ว 

เราสับสน

(ยังมีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ปัญหาความรัก
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่