ศึกคาวานาคาจิมะ คือการยุทธที่มีชื่อเสียงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เพราะมันเป็นการปะทะกันระหว่าง จอมพยัคฆ์ "ทาเคดะ ชินเก็น" และ พญามังกร "อุเอสึกิ เคนชิน" สองยอดขุนศึกแห่งยุค โดยมีการแก้กลยุทธกันอย่างเผ็ดร้อน และการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างกองทหารที่ดีที่สุดของแผ่นดิน สังเวยชีวิตแม่ทัพนายกองผู้ยิ่งใหญ่ไปเป็นจำนวนมากในฉากโลหิตอันตระการตา
ทาเคดะ ชินเกน ชื่อเดิมทาเคดะ ฮารุโนบุ เป็นเจ้าครองแคว้นคะอิในยุคเซนโกคุ (ยุคสงครามญี่ปุ่นเกิดประมาณกลางศตวรรษที่ 15 ถึงปลายศตวรรษที่ 16) เขาเป็นผู้มีความสามารถทั้งการบริหารบ้านเมือง และการศึก

เขาเป็นหนอนตำราที่อ่านพิชัยสงครามซุนวู และเลียดก๊กจนแตกฉาน เวลาว่างชอบแต่งกลอนกวี

นอกจากนั้นยังธรรมะธัมโม ชอบศึกษาพระธรรมคำสอนของศาสนาพุทธ ชื่อ "ชินเก็น" นั้นเป็นฉายาสงฆ์ที่ได้มาจากการบวชเรียน

เมื่อชินเก็นขึ้นสู่อำนาจ เขาต้องพบปัญหาว่าแคว้นคะอิและบริเวณโดยรอบนั้น แม้กว้างใหญ่ แต่เป็นภูเขาเยอะ มีพื้นที่เพาะปลูกน้อย ทำให้เสี่ยงขาดแคลนเสบียง (แคว้นคะอิคือจังหวัดยามานาชิที่มีภูเขาไฟฟูจิ ลองดูปริมาณภูเขาแถวนั้นในแผนที่ดูนะครับ)

ชินเก็นเห็นว่าระบบการควบคุมกำลังพลที่ญี่ปุ่นใช้อยู่เวลานั้นไม่มีประสิทธิภาพ เพราะจำกัดหน้าที่การรบหลักอยู่แค่กับชนชั้นซามูไร

พวกซามูไรฝึกการต่อสู้มาทั้งชีวิต ทั้งยังผ่านการอบรมให้ซื่อสัตย์ภักดีต่อเจ้านายประดุจสุนัข มีศีลธรรมจรรยาบูชิโด เป็นนักรบในอุดมคติเหมือนอัศวินฝรั่ง (แต่มันไม่ได้บูชาเลดี้หมือนฝรั่งนะ ...มันตุ๋ยกันเอง... เดี๋ยวจะเล่าเพิ่ม)
หากเมื่อว่างศึก พวกซามูไรกลับมักนั่งเฉยๆ ทำให้สิ้นเปลืองค่าบำรุงรักษาโดยใช่เหตุ (รูปนี้ให้สังเกตดูตราตระกูลทาเคดะจะเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสี่อัน บนชุดเกราะ)

สำหรับชนชั้นล่างตามระบบศักดินาหรือพวกชาวนานั้นก็มีการเกณฑ์มาใช้รบเป็นทหารราบอยู่เพราะค่าจ้างถูก เราเรียกทหารเกณฑ์พวกนี้ว่าพวก "อาชิการุ"

เนื่องจากผู้ปกครองยุคนั้นดูถูกว่าชาวนาโง่เง่า ทักษะการรบอ่อน ซ้ำยังขาดความภักดี ก็ไม่ยอมลงทุนกับหน่วยรบนี้ บางรายไม่ยอมให้ค่าจ้าง บอกว่ารบชนะแล้วให้ไปปล้นชาวบ้านฝั่งข้าศึกเอาเอง ยิ่งทำให้มาตรฐานพวกอาชิการุต่ำตมลงไปอีก มีหน้าที่เป็นกองทัพมด เอาไปถมๆ ให้ชนะศึกโดยไม่เปลืองชีวิตซามูไร

ชินเก็นแก้ไขเรื่องนี้โดยในยามสงบเขาบังคับพวกซามูไรไปช่วยทำนา ขณะเดียวกันก็เกณฑ์ชาวนามาฝึกเป็นทหารสำหรับยามศึกนั่นแหละ แต่เน้นให้เข้าคอร์สโหด ไม่ได้เอาแค่เป็นเบี้ย เป็นมด

ผลคือซามูไรในปกครองชินเก็นมีความถ่อมตน เข้าอกเข้าใจชาวนา ส่วนพวกชาวนาก็อัพคลาสเป็นอาชิการุเท้าไฟ ใครมีผลการรบดีๆ ยังสามารถเลื่อนคลาสเป็นซามูไรได้ คนทั้งสองชนชั้นมีความสมานสามัคคีกันมากขึ้น

ชินเก็นวางหมากบริหารดังกล่าวแก้ทั้งปัญหาขาดแคลนเสบียง ปัญหาสิ้นเปลืองเงินจ้างซามูไร และปัญหากำลังพล นับว่าเป็นกลยุทธที่เหนือชั้น ทำให้เขาได้รับทั้งเสบียงอาหารบริบูรณ์ และไพร่พลมากฝีมือในราคาถูก

นอกจากเรื่องนี้ชินเก็นยังปฏิวัติวงการอีกอย่าง คือพัฒนาแทคติกการรบแบบใช้ทหารม้าถือทวน
อธิบายว่าญี่ปุ่นก่อนหน้านั้นมักจำกัดว่า "เป็นซามูไรถึงจะได้ขี่ม้า" และให้ซามูไรใช้ธนูเป็นหลัก เพราะจะได้ไม่เสี่ยงตาย ที่นี้มีการแก้แทคติกโดยให้อาชิการุพุ่งชาร์จซามูไร ซามูไรถือธนูก็สู้ระยะประชิดไม่ถนัด แม้บางคนพกดาบเสริมด้วย แต่ใช้ดาบสู้บนหลังม้ามันก็ไม่สะดวกอีกนั่นแหละ และหากพกทวนด้วยธนูด้วยมันก็รุงรังเกิน

ชินเก็นแก้เกมส์โดยให้ทหารม้ากองหลักถือทวนอย่างเดียวไปเลย ทหารม้าของชินเก็นนี้จะใช้ความเร็วล่อหลอกศัตรูให้เสียกระบวน และพอศัตรูเสียกระบวนก็ "พุ่งชาร์จ"
เจอซามูไรศัตรูยิงธนูมาก็ "พุ่งชาร์จ"
เจอทหารราบพุ่งชาร์จมา ก็ "พุ่งชาร์จ" กลับ

การชาร์จของทหารม้าชินเก็นนี้รุนแรงมากจนศัตรูคร้ามเกรง และนี่คือจุดเริ่มต้นของ "ทหารม้าทาเคดะ" ที่ปราบได้ทั่วพิภพจบแดน คนเรียกพวกเขาว่า "ชินสุ โอนิยาคุ" หรือปีศาจศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นสัญลักษณ์ของทหารที่แข็งแกร่งจนปัจจุบัน

แม้ชินเก็นจะขึ้นเป็นขุนศึกชาญฉกาจแห่งยุคอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังยากจะรวมแผ่นดิน เพราะไม่มีโอกาสรุกไปเมืองหลวง ...อุปสรรคสำคัญที่เหนี่ยวรั้งเขาไว้คือคู่ปรับจากสวรรค์ที่ปกครองพื้นที่ติดกัน ...นั่นคือ พญามังกร "อุเอสึกิ เคนชิน"

ชินเก็นกับเคนชินนั้นเหมือนกันตรงที่เป็นคนธรรมะธัมโม โดยชื่อ "เคนชิน" ก็เป็นฉายาสงฆ์ ได้มาตอนบวชเรียนเหมือนชินเก็น

...หากขณะที่ชินเก็นเป็นนักรบผู้เคร่งธรรมตามปกติ เคนชินนี้จะออกแนวผู้วิเศษ ...เขามักสวมผ้าคลุมศีรษะแบบพระสงฆ์ญี่ปุ่นแทนหมวกเกราะ

เคนชินบวชเรียนตั้งแต่เด็ก เพราะไม่อยากแก่งแย่งกับใคร ตอนแรกกะบวชไม่สึกแต่พออายุสิบสี่บ้านเมืองกลับเกิดสุญญากาสทางอำนาจ ทำให้เขาถูกอัญเชิญขึ้นปกครอง
แม้ยังเล็ก แต่ความที่อยู่กับพระธรรมมาตลอด ทำให้เคนชินมีบุคลิกสงบสำรวม น่าเกรงขาม และพอขึ้นเป็นผู้นำเขาก็สำแดงปาฏิหาริย์หลายอย่าง คือนอกจากฉลาดมีไหวพริบ รบพุ่งได้ชัยชนะติดๆ ยังสามารถบัญชาการคนได้เป็นอย่างดีกลายเป็นที่นิยมในหมู่บริวารอย่างมาก (รูปแนบคือตราตระกูลอุเอสึกิ เป็นรูปนกสองตัวจูบกัน)

ฐานหลักของเคนชินอยู่ที่แคว้นเอจิโกะ (ปัจจุบันคือจังหวัดนิกาตะ ที่นี่ปูอร่อย) เขาได้ปรับปรุงการกสิกรรม การเก็บภาษี และเศรษฐกิจ สามารถควบคุมการค้าของแคว้นอย่างที่ผู้ปกครองก่อนหน้าทำไม่ได้ ทำให้แคว้นเอจิโกะรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมาก

เหล่าทหารของเคนชินเชื่อว่าเขาเป็นอวตารของเทพสงคราม "บิชามอนเท็น" ซึ่งเป็นท้าวจตุโลกบาลที่แข็งแกร่งที่สุด

ทุกครั้งก่อนออกรบ เคนชินจะเอาฤกษ์เอาชัย โดยการรับประทานอาหารสามจาน ดื่มเครื่องดื่มสามถ้วย จากนั้นตะโกนว่า "อี้!" (เกียรติยศ!) และ "โอ้!" (ใช่!) สามรอบ จึงขึ้นขี่ม้าที่แวดล้อมด้วยธงสามผืน เป็นธงบิชามอนเท็น ธงพระอาทิตย์ขึ้น และธงมังกร ทั้งนี้เลขสามเป็นเลขโชคดี แทนสัญลักษณ์ ฟ้า ดิน มนุษย์ ตามคติจีน

ไดเมียวทั้งสองมีเหตุขัดแย้งกัน จากการที่ชินเก็นขยายอำนาจมาเขตชินาโนะที่ติดกับแคว้นเอจิโกะ ไดเมียวชินาโนะรวมกันไม่อาจต้านชินเก็นได้ บางคนจึงหนีมาสวามิภักดิ์เคนชิน
...ธรรมดาเสือมังกรไม่อาจอยู่ร่วม เคนชินเห็นชินเก็นอาละวาดใกล้เมืองตน ก็คิดต่อต้านโดยรับไดเมียวที่หนีจากชินาโนะมาดูแล และส่งกองทัพไปตั้งยันกับทัพของชินเก็นที่ที่ราบคาวานาคาจิมะ อันเป็นบริเวณปะทะสองแคว้น

ที่คาวานาคาจิมะนี้เอง เคนชิน ชินเก็นได้ทำศึกผลัดกันแพ้ชนะกันถึงห้าครั้ง สังเวยชีวิตทหารหลายหมื่นคน หากสงครามครั้งที่สำคัญที่สุดคือ การยุทธครั้งที่สี่อันเกิดขึ้นในปี 1561

บัดนั้นเคนชินกรีฑาทัพจำนวน 18,000 นายมาตั้งทัพอยู่บนภูเขาซัยโจประชิดปราสาทไคสุของชินเก็น

ปราสาทไคสุเวลานั้นมีทหารรักษาเพียง 150 นาย นำโดยคนรักของชินเก็น นาม โคซากะ มาซาโนบุ ซึ่งเป็นหนึ่งในขุนพลเอกฝั่งทาเคดะ (และแน่นอนว่าเป็นผู้ชายด้วย)
ชาวญี่ปุ่นโบราณมีค่านิยมเทิดทูนบุรุษเพศ พวกเขานับถือในมิตรภาพลูกผู้ชายอย่างยิ่ง และพอมิตรภาพลูกผู้ชายมันพัฒนาไปมากขึ้นๆ มันก็กลายเป็นความรัก ...แล้วมันก็ตุ๋ยกันเอง ...ปรากฏการตุ๋ยเป็นเรื่องปกติในสังคมซามูไร มีหลักฐานว่าชินเก็นรักใคร่มาซาโนบุเป็นอย่างมาก
แม้เคนชินอาจตีปราสาทไคสุให้แตกโดยง่ายพร้อมจับตัวประกันสำคัญคือมาซาโนบุ เขากลับเลือกชะลอทัพไว้ ปล่อยให้มาซาโนบุมีโอกาสร้องขอความช่วยเหลือไปยังชินเก็นได้ ทั้งนี้บ้างก็ว่าเพราะเคนชินไม่รู้จำนวนทหารแท้จริงในปราสาท บ้างก็ว่าเพราะเขาต้องการล่อชินเก็นมาสู้ซึ่งหน้า
ชินเก็นทราบข่าวจึงเกณฑ์กำลังจำนวน 20,000 คน เร่งรุดมาแก้ไขปราสาทโดยเร็ว จากนั้นทหารสองฝ่ายตั้งยันกันนิ่ง เพราะทั้งชินเก็น เคนชินต่างตระหนักถึงความร้ายกาจของฝ่ายตรงข้ามดี พวกเขาทราบว่าจะชนะศึกนี้ได้ต้องใช้แผนการที่แยบคายที่สุดเท่านั้น!

ในที่สุดเสนาธิการฝั่งชินเก็น นาม ยามาโมโตะ คันสุเกะ ได้เสนอกลยุทธ ชื่อว่า “กลนกหัวขวาน”
คันสุเกะอธิบายว่านกหัวขวานนั้นมีนิสัยชอบเอาหัวไปตอกโพรงไม้ด้านหนึ่ง ให้หนอนที่อาศัยโพรงตกใจ คลานหนีออกจากรูมาอีกด้าน สุดท้ายกลายเป็นอาหารนก
การศึกนี้ก็เช่นกัน ชินเก็นกับมาซาโนบุชอบจะแบ่งทัพเป็นสองส่วน ให้มาซาโนบุนำคน 12,000 อ้อมไปหลังเขาซัยโจตอนกลางดึก ปีนเขาเข้าโจมตีทัพข้าศึกจากด้านหลังค่ายให้ตระหนกตกใจ เมื่อฝ่ายเคนชินล่าถอยลงจากยอดเขา ชินเก็นจะคุมคนอีก 8,000 คน เข้าตีกระหนาบด้วยการจัดทัพแบบคาคุโยกุ หรือ “พยุหะปีกกระเรียน” อันเป็นพยุหะที่เด่นในการโจมตีบีบล้อม คันสุเกะเชื่อว่าหากสามารถกระหนาบทั้งหน้าหลังสำเร็จ แม้ศัตรูเป็นอวตารบิชามอนเท็นก็อาจสยบลงโดยง่าย

อนึ่งคันสุเกะนี้เป็นคนลักษณะไม่ดี ตาบอดข้างหนึ่ง ขาเสียข้างหนึ่ง แต่เฉลียวฉลาดอย่างมาก เคยใช้สติปัญญาช่วยชินเก็นรบชนะหลายครั้ง จนได้รับความเชื่อถือให้วางแผนสำคัญ

...ค่ำคืนนั้นมาซาโนบุจึงเดินทัพอย่างเงียบเชียบอ้อมไปหลังเขาซัยโจ
...โชคร้ายที่ความเคลื่อนไหวนี้ถูกตรวจจับได้โดยกองสอดแนมฝ่ายเคนชินก่อน
หากเป็นคนอื่น แม้เห็นความเคลื่อนไหวมาซาโนบุอาจเดาไม่ออกว่าจะทำอะไร แต่เคนชินเฉียบแหลมนัก พอทราบข่าวก็คาดเดาแผนของคันสุเกะได้โดยตลอด

พญามังกรแห่งเอจิโกะบัญชาการแก้เกมส์อย่างรวดเร็ว โดยให้ทหารส่วนใหญ่ของเขาเคลื่อนทัพลงจากเขาซัยโจ ให้เอาผ้าคลุมเท้าม้า เดินทัพอย่างเงียบเชียบยิ่งกว่าทัพของมาซาโนบุอีก
*** ศึกคาวานาคาจิมะ ***
ทาเคดะ ชินเกน ชื่อเดิมทาเคดะ ฮารุโนบุ เป็นเจ้าครองแคว้นคะอิในยุคเซนโกคุ (ยุคสงครามญี่ปุ่นเกิดประมาณกลางศตวรรษที่ 15 ถึงปลายศตวรรษที่ 16) เขาเป็นผู้มีความสามารถทั้งการบริหารบ้านเมือง และการศึก
เขาเป็นหนอนตำราที่อ่านพิชัยสงครามซุนวู และเลียดก๊กจนแตกฉาน เวลาว่างชอบแต่งกลอนกวี
นอกจากนั้นยังธรรมะธัมโม ชอบศึกษาพระธรรมคำสอนของศาสนาพุทธ ชื่อ "ชินเก็น" นั้นเป็นฉายาสงฆ์ที่ได้มาจากการบวชเรียน
เมื่อชินเก็นขึ้นสู่อำนาจ เขาต้องพบปัญหาว่าแคว้นคะอิและบริเวณโดยรอบนั้น แม้กว้างใหญ่ แต่เป็นภูเขาเยอะ มีพื้นที่เพาะปลูกน้อย ทำให้เสี่ยงขาดแคลนเสบียง (แคว้นคะอิคือจังหวัดยามานาชิที่มีภูเขาไฟฟูจิ ลองดูปริมาณภูเขาแถวนั้นในแผนที่ดูนะครับ)
ชินเก็นเห็นว่าระบบการควบคุมกำลังพลที่ญี่ปุ่นใช้อยู่เวลานั้นไม่มีประสิทธิภาพ เพราะจำกัดหน้าที่การรบหลักอยู่แค่กับชนชั้นซามูไร
พวกซามูไรฝึกการต่อสู้มาทั้งชีวิต ทั้งยังผ่านการอบรมให้ซื่อสัตย์ภักดีต่อเจ้านายประดุจสุนัข มีศีลธรรมจรรยาบูชิโด เป็นนักรบในอุดมคติเหมือนอัศวินฝรั่ง (แต่มันไม่ได้บูชาเลดี้หมือนฝรั่งนะ ...มันตุ๋ยกันเอง... เดี๋ยวจะเล่าเพิ่ม)
หากเมื่อว่างศึก พวกซามูไรกลับมักนั่งเฉยๆ ทำให้สิ้นเปลืองค่าบำรุงรักษาโดยใช่เหตุ (รูปนี้ให้สังเกตดูตราตระกูลทาเคดะจะเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสี่อัน บนชุดเกราะ)
สำหรับชนชั้นล่างตามระบบศักดินาหรือพวกชาวนานั้นก็มีการเกณฑ์มาใช้รบเป็นทหารราบอยู่เพราะค่าจ้างถูก เราเรียกทหารเกณฑ์พวกนี้ว่าพวก "อาชิการุ"
เนื่องจากผู้ปกครองยุคนั้นดูถูกว่าชาวนาโง่เง่า ทักษะการรบอ่อน ซ้ำยังขาดความภักดี ก็ไม่ยอมลงทุนกับหน่วยรบนี้ บางรายไม่ยอมให้ค่าจ้าง บอกว่ารบชนะแล้วให้ไปปล้นชาวบ้านฝั่งข้าศึกเอาเอง ยิ่งทำให้มาตรฐานพวกอาชิการุต่ำตมลงไปอีก มีหน้าที่เป็นกองทัพมด เอาไปถมๆ ให้ชนะศึกโดยไม่เปลืองชีวิตซามูไร
ชินเก็นแก้ไขเรื่องนี้โดยในยามสงบเขาบังคับพวกซามูไรไปช่วยทำนา ขณะเดียวกันก็เกณฑ์ชาวนามาฝึกเป็นทหารสำหรับยามศึกนั่นแหละ แต่เน้นให้เข้าคอร์สโหด ไม่ได้เอาแค่เป็นเบี้ย เป็นมด
ผลคือซามูไรในปกครองชินเก็นมีความถ่อมตน เข้าอกเข้าใจชาวนา ส่วนพวกชาวนาก็อัพคลาสเป็นอาชิการุเท้าไฟ ใครมีผลการรบดีๆ ยังสามารถเลื่อนคลาสเป็นซามูไรได้ คนทั้งสองชนชั้นมีความสมานสามัคคีกันมากขึ้น
ชินเก็นวางหมากบริหารดังกล่าวแก้ทั้งปัญหาขาดแคลนเสบียง ปัญหาสิ้นเปลืองเงินจ้างซามูไร และปัญหากำลังพล นับว่าเป็นกลยุทธที่เหนือชั้น ทำให้เขาได้รับทั้งเสบียงอาหารบริบูรณ์ และไพร่พลมากฝีมือในราคาถูก
นอกจากเรื่องนี้ชินเก็นยังปฏิวัติวงการอีกอย่าง คือพัฒนาแทคติกการรบแบบใช้ทหารม้าถือทวน
อธิบายว่าญี่ปุ่นก่อนหน้านั้นมักจำกัดว่า "เป็นซามูไรถึงจะได้ขี่ม้า" และให้ซามูไรใช้ธนูเป็นหลัก เพราะจะได้ไม่เสี่ยงตาย ที่นี้มีการแก้แทคติกโดยให้อาชิการุพุ่งชาร์จซามูไร ซามูไรถือธนูก็สู้ระยะประชิดไม่ถนัด แม้บางคนพกดาบเสริมด้วย แต่ใช้ดาบสู้บนหลังม้ามันก็ไม่สะดวกอีกนั่นแหละ และหากพกทวนด้วยธนูด้วยมันก็รุงรังเกิน
ชินเก็นแก้เกมส์โดยให้ทหารม้ากองหลักถือทวนอย่างเดียวไปเลย ทหารม้าของชินเก็นนี้จะใช้ความเร็วล่อหลอกศัตรูให้เสียกระบวน และพอศัตรูเสียกระบวนก็ "พุ่งชาร์จ"
เจอซามูไรศัตรูยิงธนูมาก็ "พุ่งชาร์จ"
เจอทหารราบพุ่งชาร์จมา ก็ "พุ่งชาร์จ" กลับ
การชาร์จของทหารม้าชินเก็นนี้รุนแรงมากจนศัตรูคร้ามเกรง และนี่คือจุดเริ่มต้นของ "ทหารม้าทาเคดะ" ที่ปราบได้ทั่วพิภพจบแดน คนเรียกพวกเขาว่า "ชินสุ โอนิยาคุ" หรือปีศาจศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นสัญลักษณ์ของทหารที่แข็งแกร่งจนปัจจุบัน
แม้ชินเก็นจะขึ้นเป็นขุนศึกชาญฉกาจแห่งยุคอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังยากจะรวมแผ่นดิน เพราะไม่มีโอกาสรุกไปเมืองหลวง ...อุปสรรคสำคัญที่เหนี่ยวรั้งเขาไว้คือคู่ปรับจากสวรรค์ที่ปกครองพื้นที่ติดกัน ...นั่นคือ พญามังกร "อุเอสึกิ เคนชิน"
ชินเก็นกับเคนชินนั้นเหมือนกันตรงที่เป็นคนธรรมะธัมโม โดยชื่อ "เคนชิน" ก็เป็นฉายาสงฆ์ ได้มาตอนบวชเรียนเหมือนชินเก็น
...หากขณะที่ชินเก็นเป็นนักรบผู้เคร่งธรรมตามปกติ เคนชินนี้จะออกแนวผู้วิเศษ ...เขามักสวมผ้าคลุมศีรษะแบบพระสงฆ์ญี่ปุ่นแทนหมวกเกราะ
เคนชินบวชเรียนตั้งแต่เด็ก เพราะไม่อยากแก่งแย่งกับใคร ตอนแรกกะบวชไม่สึกแต่พออายุสิบสี่บ้านเมืองกลับเกิดสุญญากาสทางอำนาจ ทำให้เขาถูกอัญเชิญขึ้นปกครอง
แม้ยังเล็ก แต่ความที่อยู่กับพระธรรมมาตลอด ทำให้เคนชินมีบุคลิกสงบสำรวม น่าเกรงขาม และพอขึ้นเป็นผู้นำเขาก็สำแดงปาฏิหาริย์หลายอย่าง คือนอกจากฉลาดมีไหวพริบ รบพุ่งได้ชัยชนะติดๆ ยังสามารถบัญชาการคนได้เป็นอย่างดีกลายเป็นที่นิยมในหมู่บริวารอย่างมาก (รูปแนบคือตราตระกูลอุเอสึกิ เป็นรูปนกสองตัวจูบกัน)
ฐานหลักของเคนชินอยู่ที่แคว้นเอจิโกะ (ปัจจุบันคือจังหวัดนิกาตะ ที่นี่ปูอร่อย) เขาได้ปรับปรุงการกสิกรรม การเก็บภาษี และเศรษฐกิจ สามารถควบคุมการค้าของแคว้นอย่างที่ผู้ปกครองก่อนหน้าทำไม่ได้ ทำให้แคว้นเอจิโกะรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมาก
เหล่าทหารของเคนชินเชื่อว่าเขาเป็นอวตารของเทพสงคราม "บิชามอนเท็น" ซึ่งเป็นท้าวจตุโลกบาลที่แข็งแกร่งที่สุด
ทุกครั้งก่อนออกรบ เคนชินจะเอาฤกษ์เอาชัย โดยการรับประทานอาหารสามจาน ดื่มเครื่องดื่มสามถ้วย จากนั้นตะโกนว่า "อี้!" (เกียรติยศ!) และ "โอ้!" (ใช่!) สามรอบ จึงขึ้นขี่ม้าที่แวดล้อมด้วยธงสามผืน เป็นธงบิชามอนเท็น ธงพระอาทิตย์ขึ้น และธงมังกร ทั้งนี้เลขสามเป็นเลขโชคดี แทนสัญลักษณ์ ฟ้า ดิน มนุษย์ ตามคติจีน
ไดเมียวทั้งสองมีเหตุขัดแย้งกัน จากการที่ชินเก็นขยายอำนาจมาเขตชินาโนะที่ติดกับแคว้นเอจิโกะ ไดเมียวชินาโนะรวมกันไม่อาจต้านชินเก็นได้ บางคนจึงหนีมาสวามิภักดิ์เคนชิน
...ธรรมดาเสือมังกรไม่อาจอยู่ร่วม เคนชินเห็นชินเก็นอาละวาดใกล้เมืองตน ก็คิดต่อต้านโดยรับไดเมียวที่หนีจากชินาโนะมาดูแล และส่งกองทัพไปตั้งยันกับทัพของชินเก็นที่ที่ราบคาวานาคาจิมะ อันเป็นบริเวณปะทะสองแคว้น
ที่คาวานาคาจิมะนี้เอง เคนชิน ชินเก็นได้ทำศึกผลัดกันแพ้ชนะกันถึงห้าครั้ง สังเวยชีวิตทหารหลายหมื่นคน หากสงครามครั้งที่สำคัญที่สุดคือ การยุทธครั้งที่สี่อันเกิดขึ้นในปี 1561
บัดนั้นเคนชินกรีฑาทัพจำนวน 18,000 นายมาตั้งทัพอยู่บนภูเขาซัยโจประชิดปราสาทไคสุของชินเก็น
ปราสาทไคสุเวลานั้นมีทหารรักษาเพียง 150 นาย นำโดยคนรักของชินเก็น นาม โคซากะ มาซาโนบุ ซึ่งเป็นหนึ่งในขุนพลเอกฝั่งทาเคดะ (และแน่นอนว่าเป็นผู้ชายด้วย)
ชาวญี่ปุ่นโบราณมีค่านิยมเทิดทูนบุรุษเพศ พวกเขานับถือในมิตรภาพลูกผู้ชายอย่างยิ่ง และพอมิตรภาพลูกผู้ชายมันพัฒนาไปมากขึ้นๆ มันก็กลายเป็นความรัก ...แล้วมันก็ตุ๋ยกันเอง ...ปรากฏการตุ๋ยเป็นเรื่องปกติในสังคมซามูไร มีหลักฐานว่าชินเก็นรักใคร่มาซาโนบุเป็นอย่างมาก
แม้เคนชินอาจตีปราสาทไคสุให้แตกโดยง่ายพร้อมจับตัวประกันสำคัญคือมาซาโนบุ เขากลับเลือกชะลอทัพไว้ ปล่อยให้มาซาโนบุมีโอกาสร้องขอความช่วยเหลือไปยังชินเก็นได้ ทั้งนี้บ้างก็ว่าเพราะเคนชินไม่รู้จำนวนทหารแท้จริงในปราสาท บ้างก็ว่าเพราะเขาต้องการล่อชินเก็นมาสู้ซึ่งหน้า
ชินเก็นทราบข่าวจึงเกณฑ์กำลังจำนวน 20,000 คน เร่งรุดมาแก้ไขปราสาทโดยเร็ว จากนั้นทหารสองฝ่ายตั้งยันกันนิ่ง เพราะทั้งชินเก็น เคนชินต่างตระหนักถึงความร้ายกาจของฝ่ายตรงข้ามดี พวกเขาทราบว่าจะชนะศึกนี้ได้ต้องใช้แผนการที่แยบคายที่สุดเท่านั้น!
ในที่สุดเสนาธิการฝั่งชินเก็น นาม ยามาโมโตะ คันสุเกะ ได้เสนอกลยุทธ ชื่อว่า “กลนกหัวขวาน”
คันสุเกะอธิบายว่านกหัวขวานนั้นมีนิสัยชอบเอาหัวไปตอกโพรงไม้ด้านหนึ่ง ให้หนอนที่อาศัยโพรงตกใจ คลานหนีออกจากรูมาอีกด้าน สุดท้ายกลายเป็นอาหารนก
การศึกนี้ก็เช่นกัน ชินเก็นกับมาซาโนบุชอบจะแบ่งทัพเป็นสองส่วน ให้มาซาโนบุนำคน 12,000 อ้อมไปหลังเขาซัยโจตอนกลางดึก ปีนเขาเข้าโจมตีทัพข้าศึกจากด้านหลังค่ายให้ตระหนกตกใจ เมื่อฝ่ายเคนชินล่าถอยลงจากยอดเขา ชินเก็นจะคุมคนอีก 8,000 คน เข้าตีกระหนาบด้วยการจัดทัพแบบคาคุโยกุ หรือ “พยุหะปีกกระเรียน” อันเป็นพยุหะที่เด่นในการโจมตีบีบล้อม คันสุเกะเชื่อว่าหากสามารถกระหนาบทั้งหน้าหลังสำเร็จ แม้ศัตรูเป็นอวตารบิชามอนเท็นก็อาจสยบลงโดยง่าย
อนึ่งคันสุเกะนี้เป็นคนลักษณะไม่ดี ตาบอดข้างหนึ่ง ขาเสียข้างหนึ่ง แต่เฉลียวฉลาดอย่างมาก เคยใช้สติปัญญาช่วยชินเก็นรบชนะหลายครั้ง จนได้รับความเชื่อถือให้วางแผนสำคัญ
...ค่ำคืนนั้นมาซาโนบุจึงเดินทัพอย่างเงียบเชียบอ้อมไปหลังเขาซัยโจ
...โชคร้ายที่ความเคลื่อนไหวนี้ถูกตรวจจับได้โดยกองสอดแนมฝ่ายเคนชินก่อน
หากเป็นคนอื่น แม้เห็นความเคลื่อนไหวมาซาโนบุอาจเดาไม่ออกว่าจะทำอะไร แต่เคนชินเฉียบแหลมนัก พอทราบข่าวก็คาดเดาแผนของคันสุเกะได้โดยตลอด
พญามังกรแห่งเอจิโกะบัญชาการแก้เกมส์อย่างรวดเร็ว โดยให้ทหารส่วนใหญ่ของเขาเคลื่อนทัพลงจากเขาซัยโจ ให้เอาผ้าคลุมเท้าม้า เดินทัพอย่างเงียบเชียบยิ่งกว่าทัพของมาซาโนบุอีก