เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ใช่ไบโพลาร์รึเปล่านะ?

เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย
ใช่ไบโพลาร์รึเปล่านะ?
              
     ใครเคยมีเพื่อนหรือคนใกล้ตัวที่มีอาการแบบนี้กันบ้างครับ ที่บทจะดีก็ดีใจหาย แต่บทจะอารมณ์เสียขึ้นมาก็ฉุนเฉียว รุนแรงจนใครก็ห้ามไม่อยู่ หรือบางคนก็เป็นทั้งสองแบบสลับไปสลับมา เล่นเอาคนรอบตัวตั้งรับไม่ถูกกันเลยทีเดียว บางทีอาการเหล่านี้อาจจะเป็นสัญญาณของโรค ‘ไบโพลาร์’  ก็ได้นะครับ 
     โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) คือ โรคที่ผู้ป่วยมีอารมณ์รุนแรงต่างกันสองขั้ว คือ ซึมเศร้า (Depressive Episode ) และคลุ้มคลั่ง  (Manic Episode) โดยผู้ป่วยอาจต้องเผชิญกับสภาวะอารมณ์ในแต่ละด้านอย่างยาวนานและเรื้อรัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของตนเองและคนใกล้ชิดเป็นอย่างมาก 
     แต่ถึงแม้โรคนี้จะยังรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ทั้งผู้ป่วยและคนรอบข้างก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ตรงกันข้าม หากผู้ป่วยถูกละเลยและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โรคนี้ก็อาจจะส่งผลรุนแรงจนถึงขั้นฆ่าตัวตายได้เลยทีเดียว ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ทุกวันนี้มีผู้ที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์มากถึง 1.5 -5 % ของประชาชนทั่วไป โดยช่วงอายุที่พบบ่อยที่สุดก็คือช่วงระหว่าง 15-19 ปี และ 20-24 ปี โดย 50% ถูกตรวจพบอาการครั้งแรกก่อนอายุ 20 ปี!!!  
     แล้วอาการของโรคไบโพลาร์เป็นอย่างไร  มีสาเหตุและสัญญาณเตือนหรือไม่ หรือถ้าเราป่วยขึ้นมา จะมีวิธีดูแลรักษาอย่างไร ไปทำความรู้จักกับโรคนี้พร้อมๆ กันเลยครับ 
 
อาการของโรคไบโพลาร์ 
     อย่างที่พี่หมอเกริ่นไว้ข้างต้นว่าโรคไบโพล่าร์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มอารมณ์ ดังนี้ 
     1. อารมณ์คลุ้มคลั่ง (Manic Episode) เป็นช่วงที่ผู้ป่วยจะรู้สึกอารมณ์ดี สนุกสนานร่าเริงสุดขีด ขยันคึกคักมากกว่าปกติ พูดคุยเสียงดัง มีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่แคร์สายตาใคร รวมถึงอาจมีอารมณ์ก้าวร้าวฉุนเฉียว หรือบางกรณีก็อาจจะมีการใช้จ่ายเกินตัวร่วมด้วย
     2. อารมณ์ซึมเศร้า (Depressive Episode) จะเป็นช่วงที่ผู้ป่วยแสดงอาการขลาดกลัว เก็บตัว ไม่มั่นใจในตัวเอง สิ้นหวัง รู้สึกหมดคุณค่าในตัวเอง ซึ่งบางครั้งก็ส่งผลให้เจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ  และอาจร้ายแรงถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป   
 
สาเหตุของโรคไบโพลาร์
     มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ ดังนี้ 
     · ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง ได้แก่ สารนอร์อะดรีนาลีน (Noradrenaline) สารเซโรโทนิน (Serotonin) และสารโดปามีน (Dopamine) ซึ่งส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานในส่วนต่างๆ ของสมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์และความรู้สึก
     · พันธุกรรม ปัจจุบันยังไม่ทราบรูปแบบที่ชัดเจนของการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ แต่พบว่าผู้ป่วยมักจะมีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคไบโพลาร์เช่นเดียวกัน   
     · วิกฤตชีวิต เช่น สูญเสียคนรัก ตกงาน เครียดเรื้อรัง หรือเจ็บป่วยกะทันหัน  ซึ่งส่งผลกระทบต่ออารมณ์อย่างรุนแรง  
 
สัญญาณเตือนของโรคไบโพลาร์ 
     · พูดเร็วจนไม่สามารถจับใจความได้ หรือบางครั้งอาจพูดมากจนไม่สนใจคนอื่น ชอบพูดแทรก หรือเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปมาจนเกิดความสับสน 
     · ขาดสมาธิ ฟุ้งซ่าน กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้   
     · ขี้โมโห หงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียบ่อยๆ จนเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในครอบครัวและที่ทำงาน  
     · อารมณ์ดีเกินไป ดีใจจนเกินเหตุกับเรื่องธรรมดาทั่วไป หัวเราะเสียงดังจนน่าตกใจ หรือบางครั้งอาจเกิดสลับกับภาวะซึมเศร้า  
     · ไม่สามารถควบคุมการทำงานได้ ผู้ป่วยอาจมีความคิดสร้างสรรค์เฉียบพลัน หรือขยันมากจนเพื่อนร่วมงานตามไม่ทัน หรือซึมเศร้าจนไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงตามระยะเวลาที่กำหนดได้  
     · มีอาการเหมือนโรคซึมเศร้า เช่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ เพลียและอ่อนแรง เป็นต้น รวมถึงมีการนอนหลับที่ผิดปกติ เช่น นอนน้อยลง แต่กลับไม่รู้สึกอ่อนเพลีย หรือนอนมากเกินไป แต่ก็ยังรู้สึกว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ  
     · เริ่มใช้ยาเสพติดหรือดื่มแอลกอฮอล์เพื่อช่วยแก้ปัญหา ซึ่งถ้าใช้บ่อยเกินไปก็อาจเสพติดจนทำให้การรักษายากและซับซ้อนขึ้น  
 
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไบโพลาร์ 
     ภาวะอารมณ์สองขั้วนี้มักส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต โดยเฉพาะเมื่อคนรอบข้างไม่เข้าใจ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์ตามมา รวมถึงปัญหาอื่นๆ เช่น ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง การเรียนแย่ลง ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยติดเหล้าหรือยาเสพติด หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นทำร้ายตัวเองได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น โรคทางจิตเวช โรคหัวใจ ไมเกรน เบาหวาน รวมถึงสมาธิสั้น
 
การวินิจฉัยโรคไบโพลาร์
     เมื่อมีสัญญาณเตือนหรือรู้สึกถึงความผิดปกติจนไม่แน่ใจว่าตัวเองหรือคนรอบข้างป่วยเป็นไบโพลาร์หรือไม่  ควรรีบไปพบแพทย์ โดยแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยตามขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ 
     · เช็กประวัติสุขภาพและประวัติคนในครอบครัวว่ามีใครเคยเป็นโรคไบโพลาร์หรือมีปัญหาด้านสุขภาพจิตหรือไม่ 
     · ใช้คู่มือวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต โดยจิตแพทย์จะเป็นผู้ทดสอบผู้ป่วยและพูดคุยซักถามอาการ ปัญหา ตลอดจนประวัติการใช้ยาหรือสิ่งเสพติดที่อาจส่งผลต่ออารมณ์หรือความคิดที่จะทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น  
     · ตรวจร่างกาย เลือดและปัสสาวะ เพื่อวินิจฉัยอาการเจ็บป่วยทางร่างกายที่อาจส่งผลต่ออารมณ์  
 
การรักษาโรคไบโพลาร์ 
     ไบโพลาร์เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถใช้ยาเพื่อปรับสมดุลและควบคุมความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง รวมถึงสามารถเข้ารับการบำบัดเพื่อควบคุมอาการได้ แต่ต่อให้อาการดีขึ้นแล้ว ผู้ป่วยก็ยังต้องใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ หรือจนกว่าแพทย์จะให้หยุดยา ที่สำคัญก็คือ จะต้องไปพบแพทย์ทุกครั้งตามที่นัดเพื่อติดตามผลการรักษา เพราะถ้ารักษาไม่ต่อเนื่อง ผู้ป่วยก็มีโอกาสที่กลับไปเป็นซ้ำได้อีก หรืออาจจะมีอาการที่รุนแรงกว่าเดิม
 
การป้องกันและดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคไบโพลาร์ 
     แม้จะยังไม่มีวิธีที่สามารถป้องกันโรคไบโพลาร์ได้ แต่เราก็สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง รวมถึงช่วยลดความรุนแรงของโรคและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
     · หมั่นดูแลตัวเองให้มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ   
     · หลีกเลี่ยงความเครียด พยายามทำความเข้าใจกับปัญหาต่างๆ ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ ไม่ใช่แค่เราคนเดียว
     · ถ้ารู้สึกว่ามีอาการผิดปกติหรือเจ็บป่วย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษา และควรปฏิบัติตัวรวมถึงใช้ยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งหากพบความผิดปกติในการใช้ยา ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ทันที ที่สำคัญ ไม่ควรหยุดยาเองโดยเด็ดขาด และควรไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
 
     เนื่องจากโรคนี้ไม่มีอาการที่แน่นอนตายตัว ดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนรอบข้าง
ควรให้ความใส่ใจ เช่น ผู้ป่วยอาจจะเคยเป็นคนเรียบร้อยไม่ค่อยพูด แต่จู่ๆ ก็กลายเป็นคนพูดไม่หยุด เสียงดัง กล้าแสดงออกมากเกินไป หรือจากคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ก็เปลี่ยนเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว เงียบขรึม ซึมเศร้า เก็บตัว ไม่ค่อยพูดค่อยจา หรือป่วยบ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งถ้าพบคนใกล้ชิดที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในลักษณะนี้ ทางที่ดีที่สุดก็คือ ควรจะรีบพาไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและวินิจฉัยให้เร็วที่สุดเลยนะครับ   
 
     โรคบางชนิด โดยเฉพาะโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์และความรู้สึก อาจไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการใช้ยาเพียงอย่างเดียว เพราะภายนอกอาจจะดูแข็งแรงดีแล้ว แต่ภายในอาจจะยังอ่อนแออยู่ก็ได้ ดังนั้น ความรักและความเข้าใจจากคนในครอบครัวและคนรอบข้าง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีความสุขและใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง 
              
     แต่ที่สำคัญ ดูแลคนอื่นแล้วก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะครับ 😘😘😘
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่