เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย
ใช่ไบโพลาร์รึเปล่านะ?
ใครเคยมีเพื่อนหรือคนใกล้ตัวที่มีอาการแบบนี้กันบ้างครับ ที่บทจะดีก็ดีใจหาย แต่บทจะอารมณ์เสียขึ้นมาก็ฉุนเฉียว รุนแรงจนใครก็ห้ามไม่อยู่ หรือบางคนก็เป็นทั้งสองแบบสลับไปสลับมา เล่นเอาคนรอบตัวตั้งรับไม่ถูกกันเลยทีเดียว บางทีอาการเหล่านี้อาจจะเป็นสัญญาณของโรค ‘ไบโพลาร์’ ก็ได้นะครับ
โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) คือ โรคที่ผู้ป่วยมีอารมณ์รุนแรงต่างกันสองขั้ว คือ ซึมเศร้า (Depressive Episode ) และคลุ้มคลั่ง (Manic Episode) โดยผู้ป่วยอาจต้องเผชิญกับสภาวะอารมณ์ในแต่ละด้านอย่างยาวนานและเรื้อรัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของตนเองและคนใกล้ชิดเป็นอย่างมาก
แต่ถึงแม้โรคนี้จะยังรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ทั้งผู้ป่วยและคนรอบข้างก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ตรงกันข้าม หากผู้ป่วยถูกละเลยและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โรคนี้ก็อาจจะส่งผลรุนแรงจนถึงขั้นฆ่าตัวตายได้เลยทีเดียว ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ทุกวันนี้มีผู้ที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์มากถึง 1.5 -5 % ของประชาชนทั่วไป โดยช่วงอายุที่พบบ่อยที่สุดก็คือช่วงระหว่าง 15-19 ปี และ 20-24 ปี โดย 50% ถูกตรวจพบอาการครั้งแรกก่อนอายุ 20 ปี!!!
แล้วอาการของโรคไบโพลาร์เป็นอย่างไร มีสาเหตุและสัญญาณเตือนหรือไม่ หรือถ้าเราป่วยขึ้นมา จะมีวิธีดูแลรักษาอย่างไร ไปทำความรู้จักกับโรคนี้พร้อมๆ กันเลยครับ
อาการของโรคไบโพลาร์
อย่างที่พี่หมอเกริ่นไว้ข้างต้นว่าโรคไบโพล่าร์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มอารมณ์ ดังนี้
1. อารมณ์คลุ้มคลั่ง (Manic Episode) เป็นช่วงที่ผู้ป่วยจะรู้สึกอารมณ์ดี สนุกสนานร่าเริงสุดขีด ขยันคึกคักมากกว่าปกติ พูดคุยเสียงดัง มีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่แคร์สายตาใคร รวมถึงอาจมีอารมณ์ก้าวร้าวฉุนเฉียว หรือบางกรณีก็อาจจะมีการใช้จ่ายเกินตัวร่วมด้วย
2. อารมณ์ซึมเศร้า (Depressive Episode) จะเป็นช่วงที่ผู้ป่วยแสดงอาการขลาดกลัว เก็บตัว ไม่มั่นใจในตัวเอง สิ้นหวัง รู้สึกหมดคุณค่าในตัวเอง ซึ่งบางครั้งก็ส่งผลให้เจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ และอาจร้ายแรงถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป
สาเหตุของโรคไบโพลาร์
มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ ดังนี้
· ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง ได้แก่ สารนอร์อะดรีนาลีน (Noradrenaline) สารเซโรโทนิน (Serotonin) และสารโดปามีน (Dopamine) ซึ่งส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานในส่วนต่างๆ ของสมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์และความรู้สึก
· พันธุกรรม ปัจจุบันยังไม่ทราบรูปแบบที่ชัดเจนของการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ แต่พบว่าผู้ป่วยมักจะมีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคไบโพลาร์เช่นเดียวกัน
· วิกฤตชีวิต เช่น สูญเสียคนรัก ตกงาน เครียดเรื้อรัง หรือเจ็บป่วยกะทันหัน ซึ่งส่งผลกระทบต่ออารมณ์อย่างรุนแรง
สัญญาณเตือนของโรคไบโพลาร์
· พูดเร็วจนไม่สามารถจับใจความได้ หรือบางครั้งอาจพูดมากจนไม่สนใจคนอื่น ชอบพูดแทรก หรือเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปมาจนเกิดความสับสน
· ขาดสมาธิ ฟุ้งซ่าน กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
· ขี้โมโห หงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียบ่อยๆ จนเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในครอบครัวและที่ทำงาน
· อารมณ์ดีเกินไป ดีใจจนเกินเหตุกับเรื่องธรรมดาทั่วไป หัวเราะเสียงดังจนน่าตกใจ หรือบางครั้งอาจเกิดสลับกับภาวะซึมเศร้า
· ไม่สามารถควบคุมการทำงานได้ ผู้ป่วยอาจมีความคิดสร้างสรรค์เฉียบพลัน หรือขยันมากจนเพื่อนร่วมงานตามไม่ทัน หรือซึมเศร้าจนไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงตามระยะเวลาที่กำหนดได้
· มีอาการเหมือนโรคซึมเศร้า เช่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ เพลียและอ่อนแรง เป็นต้น รวมถึงมีการนอนหลับที่ผิดปกติ เช่น นอนน้อยลง แต่กลับไม่รู้สึกอ่อนเพลีย หรือนอนมากเกินไป แต่ก็ยังรู้สึกว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ
· เริ่มใช้ยาเสพติดหรือดื่มแอลกอฮอล์เพื่อช่วยแก้ปัญหา ซึ่งถ้าใช้บ่อยเกินไปก็อาจเสพติดจนทำให้การรักษายากและซับซ้อนขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไบโพลาร์
ภาวะอารมณ์สองขั้วนี้มักส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต โดยเฉพาะเมื่อคนรอบข้างไม่เข้าใจ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์ตามมา รวมถึงปัญหาอื่นๆ เช่น ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง การเรียนแย่ลง ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยติดเหล้าหรือยาเสพติด หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นทำร้ายตัวเองได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น โรคทางจิตเวช โรคหัวใจ ไมเกรน เบาหวาน รวมถึงสมาธิสั้น
การวินิจฉัยโรคไบโพลาร์
เมื่อมีสัญญาณเตือนหรือรู้สึกถึงความผิดปกติจนไม่แน่ใจว่าตัวเองหรือคนรอบข้างป่วยเป็นไบโพลาร์หรือไม่ ควรรีบไปพบแพทย์ โดยแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยตามขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
· เช็กประวัติสุขภาพและประวัติคนในครอบครัวว่ามีใครเคยเป็นโรคไบโพลาร์หรือมีปัญหาด้านสุขภาพจิตหรือไม่
· ใช้คู่มือวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต โดยจิตแพทย์จะเป็นผู้ทดสอบผู้ป่วยและพูดคุยซักถามอาการ ปัญหา ตลอดจนประวัติการใช้ยาหรือสิ่งเสพติดที่อาจส่งผลต่ออารมณ์หรือความคิดที่จะทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
· ตรวจร่างกาย เลือดและปัสสาวะ เพื่อวินิจฉัยอาการเจ็บป่วยทางร่างกายที่อาจส่งผลต่ออารมณ์
การรักษาโรคไบโพลาร์
ไบโพลาร์เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถใช้ยาเพื่อปรับสมดุลและควบคุมความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง รวมถึงสามารถเข้ารับการบำบัดเพื่อควบคุมอาการได้ แต่ต่อให้อาการดีขึ้นแล้ว ผู้ป่วยก็ยังต้องใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ หรือจนกว่าแพทย์จะให้หยุดยา ที่สำคัญก็คือ จะต้องไปพบแพทย์ทุกครั้งตามที่นัดเพื่อติดตามผลการรักษา เพราะถ้ารักษาไม่ต่อเนื่อง ผู้ป่วยก็มีโอกาสที่กลับไปเป็นซ้ำได้อีก หรืออาจจะมีอาการที่รุนแรงกว่าเดิม
การป้องกันและดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคไบโพลาร์
แม้จะยังไม่มีวิธีที่สามารถป้องกันโรคไบโพลาร์ได้ แต่เราก็สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง รวมถึงช่วยลดความรุนแรงของโรคและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
· หมั่นดูแลตัวเองให้มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ
· หลีกเลี่ยงความเครียด พยายามทำความเข้าใจกับปัญหาต่างๆ ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ ไม่ใช่แค่เราคนเดียว
· ถ้ารู้สึกว่ามีอาการผิดปกติหรือเจ็บป่วย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษา และควรปฏิบัติตัวรวมถึงใช้ยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งหากพบความผิดปกติในการใช้ยา ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ทันที ที่สำคัญ ไม่ควรหยุดยาเองโดยเด็ดขาด และควรไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
เนื่องจากโรคนี้ไม่มีอาการที่แน่นอนตายตัว ดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนรอบข้าง
ควรให้ความใส่ใจ เช่น ผู้ป่วยอาจจะเคยเป็นคนเรียบร้อยไม่ค่อยพูด แต่จู่ๆ ก็กลายเป็นคนพูดไม่หยุด เสียงดัง กล้าแสดงออกมากเกินไป หรือจากคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ก็เปลี่ยนเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว เงียบขรึม ซึมเศร้า เก็บตัว ไม่ค่อยพูดค่อยจา หรือป่วยบ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งถ้าพบคนใกล้ชิดที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในลักษณะนี้ ทางที่ดีที่สุดก็คือ ควรจะรีบพาไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและวินิจฉัยให้เร็วที่สุดเลยนะครับ
โรคบางชนิด โดยเฉพาะโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์และความรู้สึก อาจไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการใช้ยาเพียงอย่างเดียว เพราะภายนอกอาจจะดูแข็งแรงดีแล้ว แต่ภายในอาจจะยังอ่อนแออยู่ก็ได้ ดังนั้น ความรักและความเข้าใจจากคนในครอบครัวและคนรอบข้าง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีความสุขและใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง
แต่ที่สำคัญ ดูแลคนอื่นแล้วก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะครับ 😘😘😘
เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ใช่ไบโพลาร์รึเปล่านะ?
ใช่ไบโพลาร์รึเปล่านะ?
ใครเคยมีเพื่อนหรือคนใกล้ตัวที่มีอาการแบบนี้กันบ้างครับ ที่บทจะดีก็ดีใจหาย แต่บทจะอารมณ์เสียขึ้นมาก็ฉุนเฉียว รุนแรงจนใครก็ห้ามไม่อยู่ หรือบางคนก็เป็นทั้งสองแบบสลับไปสลับมา เล่นเอาคนรอบตัวตั้งรับไม่ถูกกันเลยทีเดียว บางทีอาการเหล่านี้อาจจะเป็นสัญญาณของโรค ‘ไบโพลาร์’ ก็ได้นะครับ
โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) คือ โรคที่ผู้ป่วยมีอารมณ์รุนแรงต่างกันสองขั้ว คือ ซึมเศร้า (Depressive Episode ) และคลุ้มคลั่ง (Manic Episode) โดยผู้ป่วยอาจต้องเผชิญกับสภาวะอารมณ์ในแต่ละด้านอย่างยาวนานและเรื้อรัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของตนเองและคนใกล้ชิดเป็นอย่างมาก
แต่ถึงแม้โรคนี้จะยังรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ทั้งผู้ป่วยและคนรอบข้างก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ตรงกันข้าม หากผู้ป่วยถูกละเลยและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โรคนี้ก็อาจจะส่งผลรุนแรงจนถึงขั้นฆ่าตัวตายได้เลยทีเดียว ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ทุกวันนี้มีผู้ที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์มากถึง 1.5 -5 % ของประชาชนทั่วไป โดยช่วงอายุที่พบบ่อยที่สุดก็คือช่วงระหว่าง 15-19 ปี และ 20-24 ปี โดย 50% ถูกตรวจพบอาการครั้งแรกก่อนอายุ 20 ปี!!!
แล้วอาการของโรคไบโพลาร์เป็นอย่างไร มีสาเหตุและสัญญาณเตือนหรือไม่ หรือถ้าเราป่วยขึ้นมา จะมีวิธีดูแลรักษาอย่างไร ไปทำความรู้จักกับโรคนี้พร้อมๆ กันเลยครับ
อาการของโรคไบโพลาร์
อย่างที่พี่หมอเกริ่นไว้ข้างต้นว่าโรคไบโพล่าร์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มอารมณ์ ดังนี้
1. อารมณ์คลุ้มคลั่ง (Manic Episode) เป็นช่วงที่ผู้ป่วยจะรู้สึกอารมณ์ดี สนุกสนานร่าเริงสุดขีด ขยันคึกคักมากกว่าปกติ พูดคุยเสียงดัง มีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่แคร์สายตาใคร รวมถึงอาจมีอารมณ์ก้าวร้าวฉุนเฉียว หรือบางกรณีก็อาจจะมีการใช้จ่ายเกินตัวร่วมด้วย
2. อารมณ์ซึมเศร้า (Depressive Episode) จะเป็นช่วงที่ผู้ป่วยแสดงอาการขลาดกลัว เก็บตัว ไม่มั่นใจในตัวเอง สิ้นหวัง รู้สึกหมดคุณค่าในตัวเอง ซึ่งบางครั้งก็ส่งผลให้เจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ และอาจร้ายแรงถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป
สาเหตุของโรคไบโพลาร์
มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ ดังนี้
· ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง ได้แก่ สารนอร์อะดรีนาลีน (Noradrenaline) สารเซโรโทนิน (Serotonin) และสารโดปามีน (Dopamine) ซึ่งส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานในส่วนต่างๆ ของสมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์และความรู้สึก
· พันธุกรรม ปัจจุบันยังไม่ทราบรูปแบบที่ชัดเจนของการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ แต่พบว่าผู้ป่วยมักจะมีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคไบโพลาร์เช่นเดียวกัน
· วิกฤตชีวิต เช่น สูญเสียคนรัก ตกงาน เครียดเรื้อรัง หรือเจ็บป่วยกะทันหัน ซึ่งส่งผลกระทบต่ออารมณ์อย่างรุนแรง
สัญญาณเตือนของโรคไบโพลาร์
· พูดเร็วจนไม่สามารถจับใจความได้ หรือบางครั้งอาจพูดมากจนไม่สนใจคนอื่น ชอบพูดแทรก หรือเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปมาจนเกิดความสับสน
· ขาดสมาธิ ฟุ้งซ่าน กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
· ขี้โมโห หงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียบ่อยๆ จนเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในครอบครัวและที่ทำงาน
· อารมณ์ดีเกินไป ดีใจจนเกินเหตุกับเรื่องธรรมดาทั่วไป หัวเราะเสียงดังจนน่าตกใจ หรือบางครั้งอาจเกิดสลับกับภาวะซึมเศร้า
· ไม่สามารถควบคุมการทำงานได้ ผู้ป่วยอาจมีความคิดสร้างสรรค์เฉียบพลัน หรือขยันมากจนเพื่อนร่วมงานตามไม่ทัน หรือซึมเศร้าจนไม่สามารถทำงานให้ลุล่วงตามระยะเวลาที่กำหนดได้
· มีอาการเหมือนโรคซึมเศร้า เช่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ เพลียและอ่อนแรง เป็นต้น รวมถึงมีการนอนหลับที่ผิดปกติ เช่น นอนน้อยลง แต่กลับไม่รู้สึกอ่อนเพลีย หรือนอนมากเกินไป แต่ก็ยังรู้สึกว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ
· เริ่มใช้ยาเสพติดหรือดื่มแอลกอฮอล์เพื่อช่วยแก้ปัญหา ซึ่งถ้าใช้บ่อยเกินไปก็อาจเสพติดจนทำให้การรักษายากและซับซ้อนขึ้น
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไบโพลาร์
ภาวะอารมณ์สองขั้วนี้มักส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต โดยเฉพาะเมื่อคนรอบข้างไม่เข้าใจ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์ตามมา รวมถึงปัญหาอื่นๆ เช่น ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง การเรียนแย่ลง ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยติดเหล้าหรือยาเสพติด หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นทำร้ายตัวเองได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น โรคทางจิตเวช โรคหัวใจ ไมเกรน เบาหวาน รวมถึงสมาธิสั้น
การวินิจฉัยโรคไบโพลาร์
เมื่อมีสัญญาณเตือนหรือรู้สึกถึงความผิดปกติจนไม่แน่ใจว่าตัวเองหรือคนรอบข้างป่วยเป็นไบโพลาร์หรือไม่ ควรรีบไปพบแพทย์ โดยแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยตามขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
· เช็กประวัติสุขภาพและประวัติคนในครอบครัวว่ามีใครเคยเป็นโรคไบโพลาร์หรือมีปัญหาด้านสุขภาพจิตหรือไม่
· ใช้คู่มือวินิจฉัยความผิดปกติทางจิต โดยจิตแพทย์จะเป็นผู้ทดสอบผู้ป่วยและพูดคุยซักถามอาการ ปัญหา ตลอดจนประวัติการใช้ยาหรือสิ่งเสพติดที่อาจส่งผลต่ออารมณ์หรือความคิดที่จะทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
· ตรวจร่างกาย เลือดและปัสสาวะ เพื่อวินิจฉัยอาการเจ็บป่วยทางร่างกายที่อาจส่งผลต่ออารมณ์
การรักษาโรคไบโพลาร์
ไบโพลาร์เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถใช้ยาเพื่อปรับสมดุลและควบคุมความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง รวมถึงสามารถเข้ารับการบำบัดเพื่อควบคุมอาการได้ แต่ต่อให้อาการดีขึ้นแล้ว ผู้ป่วยก็ยังต้องใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ หรือจนกว่าแพทย์จะให้หยุดยา ที่สำคัญก็คือ จะต้องไปพบแพทย์ทุกครั้งตามที่นัดเพื่อติดตามผลการรักษา เพราะถ้ารักษาไม่ต่อเนื่อง ผู้ป่วยก็มีโอกาสที่กลับไปเป็นซ้ำได้อีก หรืออาจจะมีอาการที่รุนแรงกว่าเดิม
การป้องกันและดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคไบโพลาร์
แม้จะยังไม่มีวิธีที่สามารถป้องกันโรคไบโพลาร์ได้ แต่เราก็สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง รวมถึงช่วยลดความรุนแรงของโรคและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
· หมั่นดูแลตัวเองให้มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ
· หลีกเลี่ยงความเครียด พยายามทำความเข้าใจกับปัญหาต่างๆ ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ ไม่ใช่แค่เราคนเดียว
· ถ้ารู้สึกว่ามีอาการผิดปกติหรือเจ็บป่วย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษา และควรปฏิบัติตัวรวมถึงใช้ยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งหากพบความผิดปกติในการใช้ยา ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ทันที ที่สำคัญ ไม่ควรหยุดยาเองโดยเด็ดขาด และควรไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
เนื่องจากโรคนี้ไม่มีอาการที่แน่นอนตายตัว ดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนรอบข้าง
ควรให้ความใส่ใจ เช่น ผู้ป่วยอาจจะเคยเป็นคนเรียบร้อยไม่ค่อยพูด แต่จู่ๆ ก็กลายเป็นคนพูดไม่หยุด เสียงดัง กล้าแสดงออกมากเกินไป หรือจากคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ก็เปลี่ยนเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว เงียบขรึม ซึมเศร้า เก็บตัว ไม่ค่อยพูดค่อยจา หรือป่วยบ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งถ้าพบคนใกล้ชิดที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในลักษณะนี้ ทางที่ดีที่สุดก็คือ ควรจะรีบพาไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและวินิจฉัยให้เร็วที่สุดเลยนะครับ
โรคบางชนิด โดยเฉพาะโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์และความรู้สึก อาจไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการใช้ยาเพียงอย่างเดียว เพราะภายนอกอาจจะดูแข็งแรงดีแล้ว แต่ภายในอาจจะยังอ่อนแออยู่ก็ได้ ดังนั้น ความรักและความเข้าใจจากคนในครอบครัวและคนรอบข้าง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีความสุขและใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง
แต่ที่สำคัญ ดูแลคนอื่นแล้วก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะครับ 😘😘😘