ศีลเป็นแนวหน้า เป็นทหารเอก ม้าเป็นสมาธิ เสริมให้ทหารเอกนี้มีพลัง
"๓. ในระบบการฝึกฝนพัฒนาของไตรสิกขา ศีลยังมิใช่เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงจุดหมายสูงสุดโดยตัวของมันเอง แต่เป็นการเตรียมสภาพทั่วไปของชีวิต ให้พร้อมสำหรับความเจริญงอกงามที่เป็นเนื้อหาสาระของชีวิตต่อไป คือการพัฒนาจิตใจ ที่เรียกสั้นๆ ว่า สมาธิ ซึ่งเข้ามาต่อทอดงานพัฒนาชีวิตสืบจากศีล และรับผลจากศีล
โดยนัยนี้ คุณค่าด้านจิตใจของสีล จึงมีความสำคัญมาก คุณค่าทางจิตใจในขั้นศีล ก็คือ เจตนาที่จะงดเว้น หรือการไม่มีความดำริในการที่จะทำความชั่วใดอยู่ในใจ ซึ่งทำให้จิตใจบริสุทธิ์ปลอดโปร่ง ไม่มีความคิดวุ่นวายขุ่นมั่วหรือกังวลใดๆ มารบกรวน จิตใจจึงสงบ ทำให้เกิดสมาธิได้ง่าย
เมื่อมีจิตใจสงบ เป็นสมาธิแล้ว ก็เกิดความแจ่มชัดและคล่องตัวในการที่จะให้ปัญญา คิดหาเหตุผล และหาทางดำเนินการสร้างสรรค์ความดีต่างๆ ให้ได้ผลในขั้นต่อไป" สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). ๒๕๕๕. พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย กรุงเทพ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๗๑๕.
ศีล แปลว่า ปกติในธรรม
ศีล เป็นพละกำลัง
สมาธิน่าจะเป็นกำลังมากกว่า แต่ไม่ใช่เลย "สมาธิ" คือ "รู้" แค่คงอยู่ได้ แต่ไม่ใช่ตัวกำลัง สมาธิเป็นตัวเสริม เสริมให้ศีลนี้มีกำลัง แต่ตัวกำลังนี้เป็นศีล พูดง่ายๆ ก็คือ
ศีลเป็นแนวหน้า เป็นทหารเอก ม้าเป็นสมาธิ เสริมให้ทหารเอกนี้มีพลัง วิชาที่จะรบกันเป็นปัญญา
ทำไมถึงคิดว่าศีลนี้เป็นแนวหน้า เพื่ออะไร มีเหตุผลอะไร?
ถ้าตรงนี้เราบอกว่าเราทำดี ตัวอะไรที่บอกเราว่าเราทำดีก็คือ ศีล เพราะเรามีศีล เราจึงบอกกับตัวเองว่าเราทำดี แต่เรารู้ว่าศีลนี้เป็นความดีได้ยังไง ก็เพราะว่าเรามีปัญญา แล้วเราจะทำให้ตัวดีของเรานี้คงอยู่ เราก็ต้องดำรงรักษาตลอดไป อยู่ได้ เข้มแข็ง ทำได้ต่อ ต้องมีสมาธิ
นี่แหละ 3 in 1 แต่มีหน้า แต่ก็อยู่ในนั้น ฉะนั้น จะขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ คนไปเข้าใจผิดว่า ไปทำสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาเอง อย่างนี้ไม่ใช่
แล้วมีอยู่คำหนึ่งว่า พระสงฆ์จะใช้ตัว ศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนชาวบ้านจะใช้คำว่า ทาน ศีล ภาวนา
เราต้องมาแยกแยะก่อนว่า
ทาน คือ การให้ การทำความดี
ศีล ความหมายของชาวบ้านคือ ปฏิบัติความดี รักษาความดี
ภาวนา ก็คือ การทำให้ความดีนี้ให้มากขึ้น
พระสงฆ์ท่านก็ต้องมีทาน ศีล ภาวนาด้วยนี่ แต่ทำไมต้องมาแยกของพระสงฆ์ของชาวบ้าน ถ้าไม่แยก พระท่านก็กลายเป็นฆราวาสนะสิ
เราลองมาดูกันนะ ปัญญานี่สำคัญไหม? ก็สำคัญ พระสงฆ์ท่านจึงเอาไว้เอง สงวนไว้ ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีคนตักบาตร ถ้าไม่อย่างนั้นใครๆก็มีปัญญาตัวนี้แล้วบ้านก็เป็นวัดแล้วนี่ แล้วทำไมต้องมาเข้าวัดล่ะ ก็ต้องสงวนไว้ เป็นกุศโลบาย อันนี้มีประโยชน์ ในเมื่อคุณมาเป็นพระภิกษุ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือปัญญา ต้องมาสอนชาวบ้าน
เราจะเห็นได้ว่า ๒ ตัวล่าง คือ ศีล กับสมาธิ ใช้กันได้หมด สิ่งที่เด่นขึ้นมาก็คือ พระมีปัญญา
สมมติว่า เขาทำดีไป แล้วรักษาความดี อันนี้ก็เป็นสมาธิชัดๆ เลย แต่เขาไม่รู้จึงมีสมาธิของพระไปเสริมให้ คือ ทำยังไงจะไปเสริมให้มีพลังแห่งความเป็นสมาธิ พระท่านก็จะทำตัวอย่างให้ดู คือ มีปัญญา และมีสมาธิ พอมีสมาธิก็จะมีการประกอบพิธีแล้ว คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ยุบหนอ พองหนอ พุทโธ สร้างรูปแบบวิธีการขึ้นมาแล้ว สร้างขึ้นมาให้มีสมาธิ แล้วเอาสมาธินี้ไปทำความดี ทำดีแล้วมีสมาธิเขาจึงจะรักษาความดีได้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็รักษาความดีไม่อยู่ คือ สร้างประคองที่จะใช้กันด้วยกัน แต่ต้องแยกให้เห็น ถ้าไม่เช่นนั้น ก็จะปินเกลียวกันเอง คนก็จะไม่นับถือพระ พระก็จะไม่มีสิทธิ์อะไรให้เขานับถือ เพราะไม่มีตัวอะไรให้เขานับถือ ฉะนั้น เอาปัญญามาไว้ให้พระเลย เพราะพระมีเวลาศึกษามากกว่า ไม่ต้องไปทำมาหากิน ให้ชาวบ้านต้องมาเลี้ยงพระ ทำไมต้องให้มาเลี้ยงพระ เพื่อให้พระเกิดความสำนึกว่าชาวบ้านไปทำมาหากินมาเลี้ยงดูเรานะ เรามีหน้าที่ต้องไปค้นคว้าสิ่งที่เป็นปัญญา ซึ่งชาวบ้านเขาขาดแล้วเอามาให้เขา นี่คือหน้าที่หลักของพระสงฆ์ แต่เดี๋ยวนี้พระสงฆ์ไม่ทำหน้าที่นี้ ไม่ไปไขว้คว้าปัญญามาให้ชาวบ้าน แต่!! เพียงแต่ไปแย่งงานชาวบ้านทำ เช่น สมาธิก็ไปแย่งชาวบ้านทำ ศีลก็ไปแย่งชาวบ้านทำ แม้แต่การทำทานก็ยังไปแย่งชาวบ้านทำ หน้าที่หลักก็คือเราต้องมีปัญญาต่างหาก แต่เวลานี้หน้าที่หลัก คือ ปัญญาไม่ให้แล้ว ไม่มีเลย มัวแต่ไปทำหน้าที่ซ้ำซ้อนกันหมด แต่หน้าที่อันสำคัญนี้โหลเลย
นี่แหละ พระพุทธเจ้ามอบปัญญาให้กับพระสงฆ์ แต่พระสงฆ์ไม่เอาเลย ไม่ทำ จึงเดือดร้อนชาวประชา จึงมีนักปราชญ์ชาวบ้านขึ้นมา มีบัณฑิตขึ้นมา ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะไม่มี เขาไม่ต้องคิดเอาไว้ที่พระหมด มีอะไรก็คุยกับพระ พระสอนมาเราก็ทำตาม แบ่งหน้าที่กันให้เรียบร้อย แต่เวลานี้พระไม่ทำ ชาวบ้านก็เลยต้องทำ พอชาวบ้านทำก็จะเกิดบุคคล ๓ จำพวกล่ะ
๑. ผู้หนึ่งทำแล้วยังเข้าใจเคารพซึ่งกันและกันอยู่
๒. อีกพวกหนึ่ง ชักไม่ล่ะ ฉันก็เท่ากับเขา เราทำไมต้องไปนับถือ เห็นไหม? เริ่มแล้ว
๓. พวกที่สาม พระยังแย่กว่าฉัน
แล้วกลายเป็นว่าชาวบ้านอธิบายธรรมะได้ดีกว่าพระ เยอะแยะไป เช่น มีคำกล่าวว่า "อยากเก่งคอมฯ ให้ไปหาพระ อยากเก่งธรรมะให้ไปหาญาติโยม"
ทั้งๆ ว่า พระท่านเก่งคอมพิวเตอร์ แทนที่จะไปบวกกับปัญญา แต่เอาไปบวกกับอัตตา การเล่นเกมส์ การพูดคุยจีบสาว (บางรูป) สิ่งที่ควรจะเป็น ในเมื่อเราเก่งคอมพิวเตอร์ ก็เอาคอมพิวเตอร์นี้ไปบวกกับธรรมะ บวกกับปัญญา ก็จะทำให้ปัญญาพระแข็งแกร่งด้วย เพราะว่าได้เสริมของใหม่ไปด้วย
^_^ ..._/_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
ศีลเป็นแนวหน้า เป็นทหารเอก ม้าเป็นสมาธิ เสริมให้ทหารเอกนี้มีพลัง
"๓. ในระบบการฝึกฝนพัฒนาของไตรสิกขา ศีลยังมิใช่เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงจุดหมายสูงสุดโดยตัวของมันเอง แต่เป็นการเตรียมสภาพทั่วไปของชีวิต ให้พร้อมสำหรับความเจริญงอกงามที่เป็นเนื้อหาสาระของชีวิตต่อไป คือการพัฒนาจิตใจ ที่เรียกสั้นๆ ว่า สมาธิ ซึ่งเข้ามาต่อทอดงานพัฒนาชีวิตสืบจากศีล และรับผลจากศีล
โดยนัยนี้ คุณค่าด้านจิตใจของสีล จึงมีความสำคัญมาก คุณค่าทางจิตใจในขั้นศีล ก็คือ เจตนาที่จะงดเว้น หรือการไม่มีความดำริในการที่จะทำความชั่วใดอยู่ในใจ ซึ่งทำให้จิตใจบริสุทธิ์ปลอดโปร่ง ไม่มีความคิดวุ่นวายขุ่นมั่วหรือกังวลใดๆ มารบกรวน จิตใจจึงสงบ ทำให้เกิดสมาธิได้ง่าย
เมื่อมีจิตใจสงบ เป็นสมาธิแล้ว ก็เกิดความแจ่มชัดและคล่องตัวในการที่จะให้ปัญญา คิดหาเหตุผล และหาทางดำเนินการสร้างสรรค์ความดีต่างๆ ให้ได้ผลในขั้นต่อไป" สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). ๒๕๕๕. พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย กรุงเทพ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๗๑๕.
ศีล แปลว่า ปกติในธรรม
ศีล เป็นพละกำลัง
สมาธิน่าจะเป็นกำลังมากกว่า แต่ไม่ใช่เลย "สมาธิ" คือ "รู้" แค่คงอยู่ได้ แต่ไม่ใช่ตัวกำลัง สมาธิเป็นตัวเสริม เสริมให้ศีลนี้มีกำลัง แต่ตัวกำลังนี้เป็นศีล พูดง่ายๆ ก็คือ
ศีลเป็นแนวหน้า เป็นทหารเอก ม้าเป็นสมาธิ เสริมให้ทหารเอกนี้มีพลัง วิชาที่จะรบกันเป็นปัญญา
ทำไมถึงคิดว่าศีลนี้เป็นแนวหน้า เพื่ออะไร มีเหตุผลอะไร?
ถ้าตรงนี้เราบอกว่าเราทำดี ตัวอะไรที่บอกเราว่าเราทำดีก็คือ ศีล เพราะเรามีศีล เราจึงบอกกับตัวเองว่าเราทำดี แต่เรารู้ว่าศีลนี้เป็นความดีได้ยังไง ก็เพราะว่าเรามีปัญญา แล้วเราจะทำให้ตัวดีของเรานี้คงอยู่ เราก็ต้องดำรงรักษาตลอดไป อยู่ได้ เข้มแข็ง ทำได้ต่อ ต้องมีสมาธิ
นี่แหละ 3 in 1 แต่มีหน้า แต่ก็อยู่ในนั้น ฉะนั้น จะขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ คนไปเข้าใจผิดว่า ไปทำสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาเอง อย่างนี้ไม่ใช่
แล้วมีอยู่คำหนึ่งว่า พระสงฆ์จะใช้ตัว ศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนชาวบ้านจะใช้คำว่า ทาน ศีล ภาวนา
เราต้องมาแยกแยะก่อนว่า
ทาน คือ การให้ การทำความดี
ศีล ความหมายของชาวบ้านคือ ปฏิบัติความดี รักษาความดี
ภาวนา ก็คือ การทำให้ความดีนี้ให้มากขึ้น
พระสงฆ์ท่านก็ต้องมีทาน ศีล ภาวนาด้วยนี่ แต่ทำไมต้องมาแยกของพระสงฆ์ของชาวบ้าน ถ้าไม่แยก พระท่านก็กลายเป็นฆราวาสนะสิ
เราลองมาดูกันนะ ปัญญานี่สำคัญไหม? ก็สำคัญ พระสงฆ์ท่านจึงเอาไว้เอง สงวนไว้ ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีคนตักบาตร ถ้าไม่อย่างนั้นใครๆก็มีปัญญาตัวนี้แล้วบ้านก็เป็นวัดแล้วนี่ แล้วทำไมต้องมาเข้าวัดล่ะ ก็ต้องสงวนไว้ เป็นกุศโลบาย อันนี้มีประโยชน์ ในเมื่อคุณมาเป็นพระภิกษุ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือปัญญา ต้องมาสอนชาวบ้าน
เราจะเห็นได้ว่า ๒ ตัวล่าง คือ ศีล กับสมาธิ ใช้กันได้หมด สิ่งที่เด่นขึ้นมาก็คือ พระมีปัญญา
สมมติว่า เขาทำดีไป แล้วรักษาความดี อันนี้ก็เป็นสมาธิชัดๆ เลย แต่เขาไม่รู้จึงมีสมาธิของพระไปเสริมให้ คือ ทำยังไงจะไปเสริมให้มีพลังแห่งความเป็นสมาธิ พระท่านก็จะทำตัวอย่างให้ดู คือ มีปัญญา และมีสมาธิ พอมีสมาธิก็จะมีการประกอบพิธีแล้ว คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ยุบหนอ พองหนอ พุทโธ สร้างรูปแบบวิธีการขึ้นมาแล้ว สร้างขึ้นมาให้มีสมาธิ แล้วเอาสมาธินี้ไปทำความดี ทำดีแล้วมีสมาธิเขาจึงจะรักษาความดีได้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็รักษาความดีไม่อยู่ คือ สร้างประคองที่จะใช้กันด้วยกัน แต่ต้องแยกให้เห็น ถ้าไม่เช่นนั้น ก็จะปินเกลียวกันเอง คนก็จะไม่นับถือพระ พระก็จะไม่มีสิทธิ์อะไรให้เขานับถือ เพราะไม่มีตัวอะไรให้เขานับถือ ฉะนั้น เอาปัญญามาไว้ให้พระเลย เพราะพระมีเวลาศึกษามากกว่า ไม่ต้องไปทำมาหากิน ให้ชาวบ้านต้องมาเลี้ยงพระ ทำไมต้องให้มาเลี้ยงพระ เพื่อให้พระเกิดความสำนึกว่าชาวบ้านไปทำมาหากินมาเลี้ยงดูเรานะ เรามีหน้าที่ต้องไปค้นคว้าสิ่งที่เป็นปัญญา ซึ่งชาวบ้านเขาขาดแล้วเอามาให้เขา นี่คือหน้าที่หลักของพระสงฆ์ แต่เดี๋ยวนี้พระสงฆ์ไม่ทำหน้าที่นี้ ไม่ไปไขว้คว้าปัญญามาให้ชาวบ้าน แต่!! เพียงแต่ไปแย่งงานชาวบ้านทำ เช่น สมาธิก็ไปแย่งชาวบ้านทำ ศีลก็ไปแย่งชาวบ้านทำ แม้แต่การทำทานก็ยังไปแย่งชาวบ้านทำ หน้าที่หลักก็คือเราต้องมีปัญญาต่างหาก แต่เวลานี้หน้าที่หลัก คือ ปัญญาไม่ให้แล้ว ไม่มีเลย มัวแต่ไปทำหน้าที่ซ้ำซ้อนกันหมด แต่หน้าที่อันสำคัญนี้โหลเลย
นี่แหละ พระพุทธเจ้ามอบปัญญาให้กับพระสงฆ์ แต่พระสงฆ์ไม่เอาเลย ไม่ทำ จึงเดือดร้อนชาวประชา จึงมีนักปราชญ์ชาวบ้านขึ้นมา มีบัณฑิตขึ้นมา ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะไม่มี เขาไม่ต้องคิดเอาไว้ที่พระหมด มีอะไรก็คุยกับพระ พระสอนมาเราก็ทำตาม แบ่งหน้าที่กันให้เรียบร้อย แต่เวลานี้พระไม่ทำ ชาวบ้านก็เลยต้องทำ พอชาวบ้านทำก็จะเกิดบุคคล ๓ จำพวกล่ะ
๑. ผู้หนึ่งทำแล้วยังเข้าใจเคารพซึ่งกันและกันอยู่
๒. อีกพวกหนึ่ง ชักไม่ล่ะ ฉันก็เท่ากับเขา เราทำไมต้องไปนับถือ เห็นไหม? เริ่มแล้ว
๓. พวกที่สาม พระยังแย่กว่าฉัน
แล้วกลายเป็นว่าชาวบ้านอธิบายธรรมะได้ดีกว่าพระ เยอะแยะไป เช่น มีคำกล่าวว่า "อยากเก่งคอมฯ ให้ไปหาพระ อยากเก่งธรรมะให้ไปหาญาติโยม"
ทั้งๆ ว่า พระท่านเก่งคอมพิวเตอร์ แทนที่จะไปบวกกับปัญญา แต่เอาไปบวกกับอัตตา การเล่นเกมส์ การพูดคุยจีบสาว (บางรูป) สิ่งที่ควรจะเป็น ในเมื่อเราเก่งคอมพิวเตอร์ ก็เอาคอมพิวเตอร์นี้ไปบวกกับธรรมะ บวกกับปัญญา ก็จะทำให้ปัญญาพระแข็งแกร่งด้วย เพราะว่าได้เสริมของใหม่ไปด้วย
^_^ ..._/_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต