จัดอันดับ anime movie ที่ได้ดูมาช่วง 2-3ปีมานี้ครับ

ตามหัวข้อเลยครับก็ได้ดูมาหลายๆเรื่องอยู่ครับเลยอยากลองจัดอันดับพร้อมๆกับรีวิวโดยไม่สปอยย์ครับ(หรือน้อย) อันนี้เป็นตามความคิดเห็นผมนะครับใครถ้าไม่ถูกใจใครต้องขออภัยด้วย สำนวนอาจติดขัด/หยาบบ้าง ใครมีอะไรแนะนำเพิ่มเติมหรือจะมาคุยกันโต้แย้งกันเรื่องนี้ก็ดีนะครับ มาคุยกันในฐานะคนดูเมะเหมือนๆกันดีกว่าครับ555 เนื่องจากมันยาวมากผมจะแบ่งเขียนในคอมเม้นต์ด้วยนะครับ แล้วก็จะมีแนะนำพวกมังงะ/นิยาย/เมะ บางเรื่องด้วย หลายๆเรื่องผมก็อาจจะผ่านมาแล้วแต่ลืมหรือขี้เกียจนะครับ บางเรื่องที่ไม่ได้ดูเลยก็จะไม่เขียนครับ งั้นก็เริ่มกันเลยครับ

            อันดับ 16 Mahouka Koukou no Rettousei : Hoshi wo Yobu Shoujo   คะแนน 6.0/10
            สามีภรรยาเอ้ย เรื่องราวของพี่น้องที่ไม่ได้ทำกันตรงประตูหน้าบ้าน แต่เป็นในห้องหรือเปล่านี่ไม่รู้555 เนื่องจากว่าเรื่องนี้ผมไม่ได้อ่านนิยายมาเลย แต่เคยดูอนิเมทีวีซีรีส์ 24-25 ตอนไปแล้วซึ่งผมว่าผมชอบในความเป็นเทพทัตนะ
            ต้องบอกเลยว่ามูฟวี่นี้เป็นภาคที่ไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวกับภาคหลัก แต่ตัวละครบางตัวที่โผล่มาในภาคนี้ดูแล้วมันชวน งงๆ ว่ามันมีในภาคหลักเปล่าว๊า(อาจจะมีแต่ตูลืม) และเนื้อหาในภาคค่อนข้างจะแอดว๊านซ์ทำให้คนที่ไม่เคยอ่านนิยายหรือดูเมะมาก่อนอันนี้รับรองว่า งง ชัวครับ555
            ภาคนี้เห็นหลายคนบอกเอามาฉายไทยเถอะ ผมก็บอกเลยว่าคิดถูกแล้วที่ไม่เอามาเพราะมันเฉพาะทางเกินไปจริงๆครับไม่เหมาะกับบุคคลทั่วไป  คือเนื้อเรื่องมันไม่ได้แย่และซับซ้อนมากครับ แต่มันก็จืดชืดและธรรมดาเกินไปถ้าเทียบกับภาคหลักครับ เหมือนกับว่ามันยังดึงความเป็นเทพทัตออกมาได้ไม่หมด ซึ่งตัวภาคหลักนั้นทำได้ดีกว่า
            ตัวละครนั้นค่อนข้างเยอะพอสมควรแล้วบางตัวอยู่ๆก็โผล่มาจากซอกหลืบที่ไหนว่ะเนี่ย แล้วมันมีความสัมพันธ์กับตัวพระยังไงเหรอ อืมตรงจุดนี้จะค่อนข้าง งง พอสมควรและยังทำได้ไม่ดีพอครับทำให้คนที่ไม่ได้อ่านนิยายมานี่น่าจะ งง พอประมาณ
            ฉากจู๋จี๋มันไม่ค่อยจะเห็นในภาคนี้เลย ถึงตัวนางจะน่ารักอยู่แล้วแต่ภาคนี้ยังดึงเสน่ห์และความน่ารักน่าฟัดออกมาได้ไม่หมดมันเลยดึงให้เรื่องนี้จืดลงจริงๆครับ ตลอดระยะเวลาการดูเรื่องนี้ผมมีความรู้สึกว่าทำไมภาคหลักมันถึงสนุกกว่าเยอะเลยอะ มันเป็นแบบนั้นจริงๆครับ เพลงประกอบก็เฉยๆ เพลงปิดยังโอเคเพราะหน่อยได้เจ๊มาเรียช่วยไว้นะ555
            ภาพกับฉากทำได้ดีนะสวยดี  เสียอย่างเดียวจริงๆครับคือเฉพาะทางกับเรื่องจืดไปหน่อย ถามว่าแนะนำให้ดูไหม ก็ใครอยากจะลองดูก็ลองดูนะครับพวกที่อ่านนิยายมาอาจจะรู้สึกอินและฟินกว่าก็เป็นได้ครับแต่ถ้าไม่ได้อ่านไม่ได้ดูเมะภาคหลักมาเลยไม่แนะนำครับ 
 
 
            อันดับ 15 : fairy tail dragon cry    คะแนน 6.4/10
            ต้องบอกก่อนเลยว่าจริงๆแล้วผมเป็นหนึ่งในคนที่ชื่นชอบงานเขียนของ hiro mashima มากตั้งแต่ rave master แล้ว แฟรี่เทล เองก็เช่นกัน ในช่วงที่ยังไม่จบมันเป็นหนึ่งในมังงะที่ผมว่าโอเคสุดในบรรดาเรื่องยาว จนกระทั่งมาช่วงท้ายๆซึ่งผมคิดว่ามันจบแบบห่วยไปหน่อยยังมีอะไรที่น่าจะไขให้เคลียร์กว่านี้ ภาคมูฟวี่นี้ผมจึงค่อนข้างคาดหวังพอสมควรว่าอาจจะได้เห็นอะไรที่ไม่ได้เห็นอย่างเช่นร่าง END 
            ซึ่งต้องบอกว่าค่อนข้างผิดหวังพอสมควรเลยครับ  เรื่องราวในภาคพิเศษนี้ไม่ได้เป็นภาคที่เชื่อมต่อกับภาคหลักดังนั้นเลยสามารถดูรู้เรื่องได้ การดำเนินเรื่องก็สไตล์แฟรี่เทลครับมีคนซัดมาก็ต้องซัดกลับเหตุผลกับสาระหาไม่ค่อยได้ 555 ซึ่งก็ทำได้ดีไม่ได้ซับซ้อนอะไร ฉากต่อสู้นั้นก็ทำออกมาได้ดีพอควรแต่บางอันก็ดูจบเร็วไปหน่อย บางตัวละครนั้นก็แทบจะไม่มีบทบาททั้งๆที่น่าจะทำให้มี(อาจเพราะด้วยเวลาที่จำกัดและตัวละครมันเยอะมาก) 
งานภาพสวยละเอียดขึ้น ซึ่งมาพร้อมกับเพลงประกอบแบบเดิมทุกครั้งจนกุรุ้สึกว่าเปลี่ยนเห๊อะ 555 (แต่บางคนที่มันอินๆก็จะแบบ ฮึกเหิมไง55) ยังดีที่เปลี่ยนเพลงปิดนะ ก็เพราะดี
            สำหรับฉากที่คาดหวังไว้มากจริงๆคือฉากของตัวพระที่ถ้าคนตามอ่านมาจนจบก็คงจะอยากรู้ว่า END นั้นคือตัวห่านไรยังไงที่ภาคหลักก็ไม่ได้บอกไว้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันบอกหรือไม่บอกกันแน่ยังงงๆอยู่เหมือนกัน
 สรุปคือเรื่องนี้นั่งดูชิวๆฮาๆ ดูแต่ละฝ่ายฉะกันไปฉะกันมาแล้วอย่าคาดหวังอะไรมากก็ดูเพลินๆแก้เซ็งได้ดีสไตล์แฟรี่เทลนั่นแหละครับ เรื่องนี้ไม่ต้องใช้หัวคิดหรือไรมากครับใช้อารมณ์ดูล้วนๆ555
            
            อันดับ 14 : koe no katachi และ Uchiage Hanabi, Shita kara Miru ka? Yoko kara Miru ka?คะแนน 6.8/10  มาคู่กันครับ 555
            เป็นเมะแนวรักหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกับครับ เริ่มจาก koe no katachi หรือรักไร้เสียง ดัดแปลงมาจากมังงะซึ่งเป็นเรื่องราวที่เรียกได้ว่าสะท้อนปัญหาเรื่องราวของเด็กที่มีปัญหาพิการของอวัยวะบางอย่างที่ถูกการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่างๆจากเหล่าเพื่อนๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นจริงและเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของสังคมที่นั่น อาจจะไม่ได้รุนแรงหรือรุนแรงกว่าตัวเนื้อเรื่องแต่ต้องยอมรับว่าเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวแนวปัญหาสังคมมากกว่าเรื่องรักๆใคร่ๆได้ดี การดำเนินเรื่องและเรื่องราวนั้นไม่ได้สวยหรูอย่างในชื่อภาษาไทยนักค่อนข้างมีเนื้อหาบางส่วนรุนแรงและสะเทือนไตเล็กน้อย จึงไม่เหมาะกับเด็กเล็กและผู้ที่ตับไม่แข็งแรงนักแต่ดูรู้เรื่องแน่นอน งานภาพถือว่าปานกลางค่อนไปทางดี เพลงประกอบและทำนองก็เพราะใช้ได้ครับ สรุปก็คือเรื่องนี้ฟันธงครับว่าไม่ใช่เมะแนวโรแมนติกแต่อย่างใด แต่เป็น ดราม่าออฟโซเชี่ยล แน่แท้ ไม่เหมาะกับคนรักที่ต้องการดูเมะรักหวานแหววกุ๊กกิ๊กครับ555
            อีกอัน คือ ดอกไม้ไฟ ครับ ดัดแปลงมาจากนิยายซึ่งเรื่องนี้นั้นบอกตามตรงว่าค่อนข้างอีปิคดีแท้ ตามสไตล์เอกลักษณ์ของ shaft ซึ่งมีเชื่อเสีย(ง) ในด้านความ art ที่เหนือจินตนาการคนทั่วไป555
ถามว่ามันเป็นเมะแนวรักโรแมนติกไหม ก็ต้องบอกว่าไม่เชิง ด้วยความที่เนื้อเรื่องและเนื้อหานั้นตัวพระและนางนั้นเรียกได้ว่าอาจมีความชอบพอกันอยู่แต่ก็ไม่ได้เกิดเหตุการณ์ที่จะทำให้ยิ้มมาคบหรือรักกันได้เลย(หรืออาจจะมีในนิยายก็ได้นะแต่ผมไม่ได้อ่านที)ไปแบบนั้น การดำเนินเรื่องจะเป็นแนวว่า ถ้าหากว่า....แล้วจะเป็นยังไง....  ซึ่งก็ไม่ได้เข้าใจซับซ้อนอะไรแต่ประหลาดใจตรงที่ว่ามันมีความแฟนซีแบบแปลกๆมาแทรกได้ไงว่ะ555 ซึ่งมันก็จะสลับ IF….CAUSE…. แบบนี้ไปมาแบบคล้ายๆไทม์พาราด็อกอะนะ
            งานภาพถือว่าสวยมากนะโดยเฉพาะตัวนางนี่ถอดแบบมาจากซักเรื่องเลยนะแต่สวย+น่ารักกว่ามาก555 ดนตรีประกอบก็ฟังดูโอเค เพลงปิดเพราะดี โดยรวมๆแล้วเรื่องนี้ไม่อ่านนิยายมาดูรู้เรื่องนะแต่ผมว่ามันยังดู งงๆ ในบางจุด แต่ว่าดูง่ายดราม่าไม่หนักเหมาะสำหรับคู่รักพอสมควร แต่เอาไว้ดูเล่นเพลินๆก็โอเคเช่นกันทั้ง 2 เรื่องเลย
            
 
            อันดับ 13 ร่วม : fairy tail movie : houou no miko คะแนน7.0/10
            เนื่องจากเป็นมูฟวี่แรกของแฟรี่เทลซึ่งช่วงนั้นมังงะก็กำลังพีคๆพอดี เรื่องราวของภาคพิเศษนี้จะเป็นภาคที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเนื้อเรื่องหลัก คนที่ไม่เคยดูหรืออ่านมาก่อนสามารถดูได้ครับแต่เนื่องจากตัวละครที่เยอะมากก็อาจทำให้สับสนกัตัวละครได้เช่นกัน
            แน่นอนว่าภาคนี้เองก็ยังคงทำออกมาตามสไตล์กลิ่นอายแฟรี่เทลเช่นกัน สไตล์เดียวกับมูฟวี่สองที่เคยกล่าวไปก่อนหน้า แต่เนื้อเรื่องดูมีความซีเรียสและกระตุ้นอารมณ์ได้ดีกว่าจึงทำให้ผมคิดว่าภาคนี้นั้นดีกว่าภาคสอง
            ภาพ ฉากประกอบ ก็ยังดูดี เพลงประกอบนี่ยิ้มก็เหมือนเดิมตลอดยกเว้นเพลงปิดครับ555
            เนื้อหาเองก็อย่างที่เคยกล่าวไม่ได้มีความซับซ้อน เข้าใจง่าย เดาทางง่าย ดูเพลินๆฆ่าเวลาได้ดีครับ ส่วนในตัวละครพิเศษที่ออกมาในภาคนี้นั้นหลังจากนั้นได้มีการปล่อยเมะความยาวประมาณ 12 นาที เพื่อเล่าถึงจุดกำเนิดและความสัมพันธ์ของตัวละครใหม่นี้ครับ ซึ่งผมชอบมากเลยนะตัวเอกภาคนี้ถือว่าทำออกมาได้มีเอกลักษณ์ และน่าประทับใจในหลายๆด้านตั้งแต่ต้นจนจบเลย
            ตอนนี้ถึงตัวมังงะจะจบไปแล้วแต่การผจญภัยตามหาว่าภูติมีหางหรือไม่ก็ยังไม่ได้จบไปหรอกนะ หวังว่าในเร็วๆนี้จะได้ข่าวดีว่าทำเมะภาคเควส100ปี หรือเผยให้เห็นร่างจริงของENDนะครับ
 
            อันดับ 13 ร่วม : danmachi movie : arrow of the orion คะแนน7.0/10
            เรื่องราวการผจญภัยของเหล่านักผจญภัยของกิลด์(แฟมิเลีย)ต่างๆในดันเจี้ยน ที่มาจากต้นฉบับนิยาย เรื่องราวในภาคนี้จะเป็นเรื่องราวดัดแปลงที่ไม่มีในนิยายคือการเขียนบทและกำกับใหม่ทั้งหมด
            ซึ่งเรื่องราวในภาคมูฟวี่นี้หากคนที่ไม่เคยอ่านนิยายหรือดูเมะมาก็สามารถดูได้รู้เรื่องได้เพราะมันไม่ได้มีการผูกปมกับเนื้อเรื่องหลักเลย เพียงแต่อาจงงในเรื่องของตัวละครที่ค่อนข้างเยอะและความสัมพันธ์ต่างๆที่แทบไม่ได้เล่าเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกงงมากนัก
            ภาพ เสียง ฉากประกอบ ต่างๆนั้นรู้สึกว่ามีความสวยงามและพัฒนาจากซีหนึ่งในเมะพอสมควรน่าจะเป็นเพราะกลุ่มนายทุนระดับบิ๊กที่สนับสนุนเรื่องนี้ ทำให้ความคมชัดนั้นอยู่ในระดับที่น่าประทับใจมาก ดนตรีเสียงประกอบก็ค่อนข้างโอเค
            ส่วนการดำเนินเรื่องนั้นค่อนข้างเรียบง่ายสบายเข้าใจง่ายไม่ต่างจากเมะในซีแรก และเพราะเป็นการดำเนินเรื่องอย่างเรียบง่ายแบบแทบไม่มีอะไรพลิกแพลงเลยจึงทำให้สามารถคาดเดาเนื้อเรื่องและฉากสำคัญหลายๆฉากรวมไปถึงฉากจบได้อย่าง่ายดาย หากมีลูกเล่นหรือฉากแนวตลบหลังมากกว่านี้คาดว่าจะเพิ่มอรรถรถและความตื่นเต้นได้มากกว่านี้
            และเนื่องจากตัวหนังนั้นมีความยาวเพียง ชม.ครึ่งซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อยหากเทียบกับหนังโรงเรื่องอื่นทำให้การดำเนินเรื่องต้องกระชับ จึงทำให้ฉากบางฉากที่จริงๆน่าจะดึงความสุดยอดออกมาได้มากกว่านี้อย่างฉากสะเทือนอารมณ์กลับเรียบง่ายไปเล็กน้อย
            โดยรวมแล้วถือเป็นหนังโรงที่มีความเรียบง่าย ไม่มีอะไรที่ผิดคาด สนุกสนานเฮฮาและสะเทือนอารมณ์อย่างเรียบง่าย แต่เหล่าตัวละครสาวๆนี้ยอมรับเลยว่าทำออกมาได้แหล่มเป็ดจริงๆ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สามารถหามาดูฆ่าเวลาได้อย่างดีนะ สำหรับแฟนผลงานเรื่องนี้ก็เตรียมตัวรอดูภาคสามและซีรีส์แยกอย่าง sword oratoria 2 ต่อไปยาวๆได้เลย
               
           อันดับ13 ร่วม : Re zero memory snow+frozen bond
            ให้ 7 คะแนนทั้งคู่ครับ สองภาคนี้น่าจะเป็น ova ทั้งคู่หรือเฉพาะmemory snow ก็ไม่รู้นะเอาเป็นเริ่มจาก memory snow ก่อน มันคือ rezeroในรูปแบบคลายเครียด ใสๆ ไร้ซึ่งความเครียดและความเข้มข้นจากภาคทีวีซีรีส์โดยสิ้นเชิง เบา สบาย เหมาะกับมือใหม่ตับไม่แข็งหัดดู การดำเนินเรื่องเรียบง่าย ตัวละครค่อนข้างเยอะพอควรใครไม่ใครอ่านนิยาย/ดูเมะมาก่อนคงมึนพอควร แต่ก็คงพอดูเพลินๆได้แต่ควรเอาภาคหลักมาดูสักนิดนึง(3-5ตอนแรกคงพอ) ฉาก เพลง ทำได้ดี เพราะเป็น OVA มันเลยสั้น(แต่ยาวถ้าเทียบกับเรื่องอื่นนะ555)มันเลยไม่มีการพูดถึงเนื้อเรื่องหลักซักเท่าไหร่ เป็นเหมือนภาคเสริมใสๆไร้มลทินราวกับโลกคู่ขนานก็ไม่ปาน
            ต่อมา frozen bond เป็นเรื่องราวเล่าย้อนอดีตของนางเอก(จริงเรอะ)กับภูตประจำตัวของเธอก่อนที่จะมาเจอพระเอก ก็เป็นภาคที่ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับภาคหลักอีกเช่นเคยไม่มีการเล่ารายละเอียดถึงภาคหลักด้วย แต่จะดูได้ง่ายกว่าเพราะการดำเนินเรื่องมีเพียงหลักๆสองตนเท่านั้น เนื้อเรื่องธรรมดา ไม่ได้ซับซ้อน สามารถดูได้เพลินๆโดยไม่ต้องดูภาคหลักเลย ฉาก เพลง ถือว่าทำได้ดี การเล่าและขยายความบางช่วงยังดูงงๆและเร่งไปนิดนึงเพราะมีเวลาน้อย และถึงจะดูจบก็ยังมีงงๆกับสองตัวละครหลักอยู่ดีซึ่งไม่รู้มีในนิยายเล่มไหนหรือเปล่าที่จะขยายความเพิ่มเพราะยังไม่ได้อ่านนิยายเช่นกัน อย่างที่บอกครับทั้งสองเรื่องไม่ได้สนุกหวือหวา แต่ก็ไม่ได้แย่เช่นกัน ถือว่าดูเล่นฆ่าเวลาเพลินๆได้ดี
 
         
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่