การศึกษาไทยคือฝันร้ายของคนไม่พร้อม?

สวัสดีค่ะ จขกทเพิ่งเขียนกระทู้ครั้งแรก อยากจะเล่าสิ่งที่ประสบพบเจอที่เรียกได้ว่าหันกลับไปคิดถึงทีไรก็มีแต่ความทุกข์ ความพยายามของตัวเอง ความบากบั่นที่ไม่มีใครรู้เลย555555
 โดยพื้นฐานนิสัยของเราเป็นคนคิดมาก พูดน้อย ไม่กล้าขัดความเห็นของคนส่วนมาก รู้จักคนน้อยมาก เป็นคนไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย ในบางมุมมองเราอาจจะมองในแง่ลบเกินไป แต่ก็อยากจะถ่ายทอดให้ทุกคนรับรู้ตลอดชีวิตที่เรียนมัธยมที่ผ่านมาค่ะ
 เริ่มต้นด้วยชีวิตมัธยมต้นครั้งแรกเราตื่นเต้นมาก เป็นเพราะด้วยเครื่องแบบใหม่ยกเซต โดยเฉพาะคอซองที่เป็นเอกลักษณ์ของชุดม.ต้น จำได้ว่าแม่เสียค่าใช้จ่าย ค่าเทอม ค่าชุด ต่าง ๆ ไปเกือบหมื่น ทั้ง ๆที่เป็นแค่โรงเรียนรัฐบาลธรรมดาๆ ในกรุงเทพฯ ตอนนั้นก็ยังเด็กมากนะไม่คิดไรมากเลย อุปสรรคการเรียนก็มีมากมายจริงๆ ตอนนั้นเราใช้โทรศัพท์ที่ยังไม่ใช่สมาร์ทโฟน เป็นแค่โทรเข้า-ออกธรรมดา ก็ไม่ได้อายนะ แค่เพื่อนทุกคนขำกับสิ่งที่นี่ใช้ เศร้า ที่บ้านไม่มีwifi เพื่อนเลยจะติดต่อเรายากมากเพราะเราไม่มีไลน์ ไม่มีส่งการบ้านให้ นัดทำงานกลุ่มทีก็จะคุยให้เสร็จที่โรงเรียนตลอด เอาจริงนะมันรู้สึกแย่ตั้งนานแล้วล่ะที่เพื่อนรอบข้างมีในสิ่งที่เราไม่มีเลย จนผ่านมาสักม.3 (ไม่รู้ผ่านมาได้ไง) เราได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ที่เป็นสมาร์ทโฟน! ในราคา2,000กว่า เพราะแม่เห็นว่าเราจำเป็นต้องใช้เรียน เราไม่ได้เนตทุกวันเพราะว่ามีเรียนจันทร์ถึงศุกร์ถ้าสมัครไปจะเปลืองตังค์ก็เลยสมัครแค่วันเสาร์วันเดียว แน่นอนเวลาทำการบ้านมันไม่ได้มีคำตอบในหนังสือในเสมอ ระหว่างสัปดาห์ที่ทำการบ้าน เราต้องพยายามหาคำตอบด้วยตัวเอง คือการปีนหน้าต่างเอาwifiข้างบ้าน สัญญาณไม่แรงมาก ติดๆขาดๆเสมอ เวลาคุยแชทกับเพื่อน เพื่อนสนิทก็จะรู้ว่าเพราะอะไรเราถึงตอบช้า หรือจู่ๆก็หายไป เวลาเพื่อนๆส่งรูปมา ต้องใช้เวลาเกือบนาทีกว่าโหลดข้อมูลดูรูปได้ ส่วนเพลงตอนนั้นยังเป็นยุคโฟร์แชร์อยู่55555 แต่เราก็มีแอพไว้โหลดเพลงเป็นร้อยๆเพลงไว้ฟังเองด้วย(อย่าทำตามนะ) นั่นแหละชีวิตเป็นแบบนั้นมาหลายปี ค่าใช้จ่ายระหว่างที่เรียนคือเยอะมาก แต่เราก็มีขายของกับพ่อบ้าง แต่เราก็เก็บตังค์เก่งมาก ๆด้วย เราไม่เคยซื้อเสื้อผ้ามาใส่เองเลย เราได้ใส่ต่อจากพี่ชายตลอด ไม่ก็ของพี่เขยของแม่บ้าง เหตุผลนี้ทำให้เราเป็นคนไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่ในวัยนั้น เราไม่ค่อยอยากเจอเพื่อนนอกเวลาเรียนเพราะเราไม่มีชุดสวยๆ หรือดูดีๆหน่อยเวลาเจอเพื่อน คิดออกไหม มันชอบเปรียบเทียบกับเพื่อนตลอด
          ต่อมาโทรศัพท์ของพี่เสีย(หน้าจอแตก ขาวไปครึ่งหน้าจอ) เลยยืมโทรศัพท์เราไปใช้ แล้วไปต่างจังหวัดกับญาติๆ ผลปรากฏคือพี่กลับมากับข่าวร้ายที่ว่าเขาทำโทรศัพท์เราหาย ตอนนั้นโมโหมากแต่เราทำอะไรไม่ได้เลย ทำอะไรไม่ได้จริงๆ เราพึ่งโทรศัพท์ในการเรียนเยอะมากๆ ผลสรุปคือเราเลยได้เอาโทรศัพท์พี่ชายที่หน้าจอแตกเยินมาใช้ก่อน แตกแบบขาวโพลนไปครึ่งนึง ตังค์ซ่อมก็ยังไม่มี เอาไปรร.ทั้งสภาพอย่างนั้น ตอนเอาไปรร.ก็ทำเป็นตลกนะว่าเออโทรศัพท์ฉันยังใช้ได้อะ55555 เพื่อนก็ขำกันมันตลกร้ายจริงๆนะ ผ่านไปหลายเดือนก็ได้มาซ่อมสักที ซ่อมแค่หน้าจอก็ปาไปเจ็ดร้อย คือพอรู้ราคาเราก็อืมไม่กล้าบอกพ่อว่า ลำโพงคุยโทรศัพท์ก็เสีย ควักตังค์เก็บตัวเองมาช่วยเกือบ500 ได้โทรศัพท์กลับมาสภาพเกือบปกติ เวลาคุยโทรศัพท์ใช้วิธีเปิดspeaker กลับหลังโทรศัพท์คุยเอา
     เราจะหยุดพูดเรื่องโทรศัพท์แค่นี้ก่อน เอาเป็นว่าหลังจากนั้นเราเปลี่ยนโทรศัพท์สองรอบ เครื่องปัจจุบันเป็นเครื่องที่ได้ต่อจากแม่ ถือว่าประสิทธิภาพดีสุดตั้งแต่เคยใช้มา
     การใช้ชีวิตม.ปลาย คุณครูจะชอบให้ถ่ายกระดานหลังจากเขียนเสร็จเราก็ต้องวานเพื่อนให้ส่งรูปผ่านบลูทูธให้หน่อย เพราะเราไม่มีอินเตอร์เนตสำหรับส่งไลน์ในตอนนั้น เราทำแบบนี้ตลอดปีการศึกษา บอกตรงว่าเกรงใจมากกกก โทรศัพท์ตอนนั้นโฟกัสยังไม่ได้เลย จิตใจตอนนั้นเราก็เป็นคนที่แบบรู้นะ เป็นจุดต่ำสุดของห้องเลยมั้ง ในเรื่องฐานะ ไม่รู้ว่าเราฝืนเรียนอยู่สังคมเดียวกับพวกเขาได้ไง
      - ช่วงที่ทรมานที่สุดคือช่วงม.6 - เรื่องใหญ่คือเรื่องกีฬาสี ทางห้องมีการจ้างพี่? ให้มาฝึกหลีด ฝึกแสตนให้ เอาตามตรงตอนนั้นเรากำหมัดเลยนะ อยากจะแย้ง ถ้าเราแย้งไป แล้วใครจะว่างสอน? โดนเก็บตังค์สัปดาห์ละ10บาท ผ่านไปประมาณประมาณ3เดือน จู่ๆโพล่งบอกว่าจะเก็บรวดเดียว200 บอกเลยว่าช็อค สรุปค่าใช้จ่ายเฉพาะส่วนเราที่ไม่คิดร่วมกิจกรรมทั้งนั้นหมดไป700กว่าบาท ช่วงเวลาที่ผ่านมามันหล่อหลอมให้เราเกลียดกิจกรรมไปเลย กิจกรรมคือการเสียเงิน กิจกรรมทำให้ได้เพื่อน แปลว่าจะมีเพื่อนใหม่คุณต้องพร้อมที่จะเสียเงินอะ ใครมีความเห็นยังไงมาdiscussกับเราได้ นี่คือแนวคิดที่เราฝังใจมาตลอด
 ช่วงม.ปลายเรา แน่นอนเราไม่มีคอมพิวเตอร์ แต่ด้วยยุคสมัยที่เทคโนโลยีที่ไปไกลมาก คุณครูชอบสั่งงานที่มันนอกเหนือจากกระดาษตลอด เรารู้สึกกดดันทุกครั้งที่มีงานประเภทนี้ ถ้าเป็นงานwordเราก็โหลดแอพไว้พิมพ์งานในโทรศัพท์ หารูปหาข้อมูลให้เสร็จยัดใส่gg doc แล้วค่อยไปจัดหน้ากระดาษใหม่ที่ร้านปริ้นแถวบ้าน เท่ากับว่าเราต้องปั่นจักรยานออกถนนเพื่อไปปริ้นงานจัดไฟล์เอกสาร เป็นงี้เรื่อยมาตลอด แต่ถ้าเป็นงานวิดีโอนะ เห้อ เราแทบจะไม่มีส่วนช่วยเพื่อนเลยสักนิด เพื่อนเราเก่งเรื่องคอมพิวเตอร์มาก ตัดต่อคลิป ตัดต่อรูป ออกแบบเก่งมากๆ จนเราอิจฉา เราไม่มีทักษะพวกนั้นเลย มันเหมือนเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองนะ แต่มันต้องมีต้นทุนอะ น้อยใจมาเสมอ
        ช่วงใกล้สอบขึ้นมหาลัย แน่นอนว่าเราไม่มีเรียนพิเศษไรหรอก แต่มีรุ่นพี่ใจดีในทวิตเตอร์แจกหนังสือดีดีให้ ตอนนั้นดีใจมากๆๆ หนังสือไม่พอเราก็ตามหาคอร์สเรียนออนไลน์ในยูทูป ในเฟซบุ๊ค เสาะหาาาามากมาย มันก็มีทั้งคนที่กั๊กความรู้บ้าง คนที่ให้อย่างเต็มที่บ้าง บอกตรงว่ามันก็ดีใจอยู่ในอกที่ว่าเขาอุตส่าห์มาสอนฟรีให้เราได้เรียนนะ ขอบคุณมากๆค่ะ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เรามีอินเตอร์เนตไม่แรงพอที่จะดูยูทูปยาวเป็นชั่วโมงได้ ในเฟซอย่าหวัง55555 เราดูวิดีโอในเฟซไม่ได้เลย มันสะดุดจริงๆ ก็เลยอาศัยช่วงไปโรงเรียน ที่โรงเรียนเพิ่งมีwifiฟรีให้นักเรียนได้ใช้ เราใช้wifiมาโหลดยูทูปลงเครื่อง แต่ก็ต้องลุ้นว่าบางคลิปเปิดให้ดาวน์โหลดไหม ตอนช่วงพักกลางวันเพื่อนก็จะรู้ดีว่าจขกท.จะหยิบโทรศัพท์รีบมาโหลดวิดีโอยูทูป, เฟซบุ๊ค/ไฟล์ข้อสอบสรุป ที่มีคนแจกไว้แล้วเอากลับมาอ่านที่บ้าน เราก็โหลดอันที่อยากเรียนไว้เรียนไปเรื่อยๆ ดูและเรียนให้มากที่สุด พอช่วงปลายปีก็มีข่าวดีคืออ พี่เราจะติดwifiแล้ว เย่!! ด้วยความมีโปรโมชั่นในปีแรก เราเลยได้สัมผัสการดูวิดีโอด้วยความชัดเป็นครั้งแรกเลย บอกตรงวันนั้นแบบมันร้องไห้อะ5555 ร้องออกมาจริงๆ เรามีสิ่งที่เพื่อนมีด้วย และแล้วช่วงเวลาม.6ก็ผ่านไป อยากขอบคุณเพื่อนมากๆนะ ที่ช่วยเหลือเรามาเสมอ แต่เราไม่ได้คุยต่อแล้วนะตั้งแต่จบมา55555
       มาถึงช่วงเวลาปัจจุบัน คือสถานการณ์โควิด ครอบครัวเราแย่มาก ค่าเทอมมีระยะเวลาจ่ายแค่3วัน แม่เรากู้นอกระบบมาจ่ายก่อนทั้งหมด ค่าเสื้อผ้ารองเท้าเครื่องแบบหมดเกือบ30,000 เป็นช่วงเวลาที่เราเครียด และร้องไห้บ่อยมาก จนเปิดเทอมคณะเราได้เรียนออนไลน์100% กับเราที่มีแค่โทรศัพท์เครื่องเดียว เราไม่อยากนึกภาพถ้าเราไม่มีwifiจะทำยังไง ทำการคอลกลุ่ม สภาวะจิตใจเราไม่ค่อยพร้อมเลย เรียนออนไลน์ไปสองวันแรก หลังเรียนเสร็จเราร้องไห้ตลอด กลับเอามาร้องตอนกลางคืน อาจารย์ก็ไม่ได้ใจร้ายนะ แต่คงเพราะความเครียด ความกดดันในช่วงเวลานี้ เราไม่มีสมาธิเรียนเลย ก่อนเรียนท้องจะหวิวๆทุกครั้ง เครียดมาก ยิ่งอาจารย์ลงแผนการเรียนให้ว่าจะมีงานpower pointนะ มีงานกลุ่มนะ วิดีโอนะ ทุกครั้งที่เราเห็นมันเครียดทุกครั้ง ตอนนี้อยากหยุดเรียนมาก สาขาวิชาเราชอบนะ แต่เราไม่พร้อมเลย ไม่เปิดใจกับการเรียนเลย อาจารย์บางคนค่อนข้างเคร่งหน่อย ไม่อยากเรียนเลยกะจะมาเล่าเรื่องการเรียนที่ผ่านมาตั้งแต่มัธยม เราอยู่กรุงเทพฯ หลายๆคนมีอุปกรณ์พร้อมใช้กัน เราเชื่อนะว่ามีหลายคนที่แย่กว่าเรา พวกเขาจะลำบากขนาดไหน กว่าจะฝืนเรียนได้ยุคนี้มันทรมานมากเลย จิตใจเราไปแล้วจริงๆ ท้อมาก จนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเลย ทุกวันนี้ฝืนเรียนให้จบเพื่อแม่ ทีแรกคิดจะซิ่วคิดจะดรอป แต่ก็อยากเรียนให้จบเร็วที่สุด แต่จิตใจจขกทตอนนี้กลัวจะทำให้ติดFทุกวิชา การเรียนก็ตกเห็นได้ชัด อยากให้คนที่ผ่านมาเห็นกระทู้นี้ ที่เป็นอาจารย์หรือครูสอนในที่รร. มหาลัยได้เห็นถึงมุมมองนะว่า คนที่ไม่พร้อมมันลำบากจริงๆ จิตใจก็ไปหมดแล้ว ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่ะ 🙏
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่