ทำไมประเทศไทยถึงยกเลิกการพระราชทานบรรดาศักดิ์ เเต่ยังมีการให้สมณศักดิ์???

คือสงสัยจริงๆ ว่าทำไมถึงยกเลิกไปได้ล่ะฮะ ซึ่งถ้าเป็นผมๆ ก็คิดว่าการให้บรรดาศักดิ์มันเป็นการเเบ่งชนชั้นทางสังคม เเต่ด้วยความที่ผมชอบเเละหลงใหลในประเทศอังกฤษ(เเต่เกลียดภาษาอังกฤษมาก) อีกอย่างนึงคือผมก็ค่อนข้างชอบประวัติศาสตร์อังกฤษนะ ซึ่งถ้าลองอ่านดูเเล้วผมคิดว่าอังกฤษเป็นเพียงไม่กี่ประเทศบนโลกเลยมั้งที่ยังรักษาธรรมเนียมเเบบเก่าอยู่ คือ บางอันมันเก่าเอามากๆ อย่างการเเต่งกายของศาลยังใส่วิกส์ผมอยู่เลย บางครั้งก็ยังมีการนุ่งกางเกงประมาณนี้

คือสมัยนี้มันอาจจะไม่เหมือนเเบบนี้ เเต่ลองดูที่กางเกง มันมีลักษณะคล้ายโจงกระเบนเลย คือจะสวมกางเกงขายาว เเต่ยาวเกินเข่านิดนึง เเล้วสวมถุงเท้าที่ยาวเอามากๆ เลย บางครั้งอาจมีการผูกโบว์ที่เข่าด้วย
  เเล้วนอกจากนี้ยังมีสิ่งที่หลงเหลือจากยุคกลางเเละยุคใหม่เยอะมาก ซึ่งมันคืออารยธรรมโบราณทั้งนั้น อีกอย่างนึงคือ "บรรดาศักดิ์" ซึ่งผมสงสัยมากว่าทำไมบางประเทศถึงยังรักษาไว้ เเต่ทำไมอย่างประเทศของเราถึงได้เปลี่ยนไปเเล้วล่ะ คือยกเลิกไปเลย นอกจากนี้เรื่องหลักๆ คือ ไม่มีใครคิดจะรื้อฟื้นขึ้นมาเลยหรอฮะ ทั้งๆ ที่มันเเสดงถึงความเป็นชาติที่มีอารยธรรมเก่าเเก่ได้อีกเเบบนึง ซึ่งส่วนตัวผม ผมก็เฉยๆ กับเรื่องพวกนี้ เพราะถ้ารื้อฟื้นบรรดาศักดิ์โดยเฉพาะกับประเทศที่ยังมีความเหลื่อมล้ำทางสังคม กับการทุจริตคอรัปชั่นอยู่ เรื่องบรรดาศักดิ์มันคงไปไม่รอดหรอกฮะ ยิ่งเป็นเรื่องเลวร้ายลงด้วยซ้ำ เเต่ที่ผมต้องการคำตอบคือ ทำไมประเทศไทยถึงล้มเลิกการพระราชทานบรรดาศักดิ์ เเต่ทำไมถึงยังมีการพระราชทานสมณศักดิ์อยู่ฮะ มันเเปลกมากเลย 
ปล.ขอเเท็กห้องศาสนาด้วยละกันนะ 
พาพันดี๊ด๊า
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
ในประกาศเรื่องการยกเลิกบรรดาศักดิ์ พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้ระบุเหตุผลไว้ชัดเจนว่าการมีฐานันดรศักดิ์ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยไม่ถือว่าทำให้มีเอกสิทธิ์ทางกฎหมายแต่อย่างใด เพราะทุกคนมีความเสมอภาคกันตามกฎหมาย ตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๑๒ ระบุว่า  "ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย ฐานันดรศักดิ์โดยกำเนิดก็ดี โดยแต่งตั้งก็ดี หรือโดยประการอื่นก็ดีไม่กระทำให้เกิดเอกสิทธิ์อย่างใดเลย"   

ด้วยเหตุที่บรรดาศักดิ์ไม่มีผลทางกฎหมายแล้ว จึงยกเลิกเสียเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสนทางกฎหมายและความลักลั่นสับสนในการปฏิบัติงาน

        "โดยที่ทรงพระราชดำริเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๒ ว่า ฐานันดรศักดิ์ไม่ก่อเอกสิทธิ์อย่างใด บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย อันฐานันดรศักดิ์นี้ แต่เดิมได้มีระเบียบแบ่งเป็นยศ บรรดาศักดิ์ และตำแหน่ง ฉะเพาะยศและตำแหน่งได้มีการแก้ไขดัดแปลงให้เข้ากับรูปของการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้ว แต่บรรดาศักดิ์อันเป็นฐานันดรศักดิ์อย่างหนึ่งนั้นยังมิได้มีการแก้ไข การมีบรรดาศักดิ์หรือไม่นั้นมิได้เป็นข้อที่ทำให้บุคคลได้รับผลปฏิบัติในทางกฎหมายต่างกัน ผู้มีบรรดาศักดิ์หรือไม่มีย่อมเสมอกันในกฎหมาย และในเวลานี้ ได้มีข้าราชการที่มีบรรดาศักดิ์ ทั้งที่อยู่ในราชการและนอกราชการ ตั้งแต่ผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นสูงลงมาจนถึงผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นผู้น้อย ได้ลาออกจากบรรดาศักดิ์เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังคงมีผู้มีบรรดาศักดิ์บางคนยังดำรงอยู่ในบรรดาศักดิ์ ยังมิได้ขอคืน จึงดูเป็นการลักลั่นไม่เป็นระเบียบ ทั้งยังจะทำให้เข้าใจผิดไปว่า ผู้มีบรรดาศักดิ์นั้นจะมีสิทธิพิเศษดีกว่าผู้อื่นด้วย เหตุนี้ จึงเป็นการสมควรที่จะยกเลิกบรรดาศักดิ์ที่พระราชทานไปแล้วนั้นเสีย เพื่อแก้ความเข้าใจผิดอันอาจเกิดขึ้นได้ดังกล่าวแล้ว และทั้งจะเป็นการดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปโดยครบถ้วนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในเรื่องฐานันดรศักดิ์อีกด้วย

        จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกบรรดาศักดิ์ อันมีราชทินนามเป็นเจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน เป็นต้น ซึ่งได้พระราชทานให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด และผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ในวันประกาศนี้ เสียสิ้นทุกคน ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

        แต่ถ้าผู้มีบรรดาศักดิ์ผู้ใดประสงค์จะคงอยู่ในบรรดาศักดิ์ที่พระราชทานด้วยเหตุผลฉะเพาะตัวผู้นั้น ก็ให้ชี้แจงขอรับพระราชทานพระมหากรุณาขึ้นมา เมื่อได้พิจารณาเห็นสมควร จะได้อนุญาตให้ผู้นั้นคงอยู่ในบรรดาศักดิ์ต่อไป

        อนึ่ง ผู้ที่มีบรรดาศักดิ์ผู้ใดประสงค์จะใช้ราชทินนามเป็นชื่อตัวหรือชื่อสกุล เพื่อเป็นอนุสสรณ์แห่งความดีงามในราชการจนได้รับพระราชทานราชทินนามนั้น และเพื่อเป็นสวัสดิมงคลแก่ตนหรือครอบครัวของตน ก็ให้ใช้ราชทินนามนั้นได้ ให้ผู้นั้นติดต่อกับกับกระทรวงมหาดไทย จัดการเสียให้ถูกต้อง"

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2485/A/033/1089.PDF



อีกสาเหตุหนึ่งของการยกเลิกบรรดาศักดิ์  มาจากการที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เสนอคณะรัฐมนตรีให้สถาปนา “ฐานันดรศักดิ์” แบบชาวยุโรป   แต่คณะรัฐมนตรีจำนวนหนึ่งรวมถึง ปรีดี พนมยงค์คัดค้านว่าขัดต่ออุดมคติของคณะราษฎร  จอมพล ป. ไม่พอใจ  จึงให้ทางเลือกให้ที่ประชุมสองทางว่าจะยอมรับสถาปนาฐานันดรศักดิ์แบบใหม่ หรือเวนคืนบรรดาศักดิ์เดิมทุกคน  ปรากฏว่าเสียงข้างมากลงมติให้เวนคืนบรรดาศักดิ์เดิม


ปรากฏในคำบรรยายฟ้อง ในคดีคำที่ ๔๒๒๖/๒๕๒๑ ปรีดี พนมยงค์ โจทก์ยื่นฟ้อง นายรอง ศยามานนท์ จำเลย ความว่า

        “เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ ได้มีพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลโทมังกร พรหมโยธี เป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต่อมาอีก ๖ วัน คือในวันที่ ๑๘ เดือนเดียวกันนี้ ก็ได้มีกฤษฏีกาเพิ่มเติมอีกฉบับหนึ่งว่า ให้จอมพลพิบูลฯ มีอำนาจสิทธิ์ขาดผู้เดียว ในการสั่งทหารสามเหล่าทัพ อันเป็นอำนาจพิเศษยิ่งกว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดอื่น ๆ

       ครั้นต่อมาในปลายเดือนพฤศจิกายนนั้นเอง คือก่อนที่ญี่ปุ่นจะรุกรานประเทศไทย ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ จอมพลพิบูลฯ ได้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้บัญญัติกฎหมายยกเลิกบรรดาศักดิ์ไทยเดิม โดยสถาปนา “ฐานันดรศักดิ์” (Lordship) ตามแบบฝรั่งขึ้นใหม่ คือ ดยุค. มาควิส, เคานท์, ไวสเคานท์, บารอน ฯลฯ โดยตั้งศัพท์ใหม่ขึ้นเพื่อใช้สำหรับฐานันดรศักดิ์เจ้าศักดินาใหม่ คือ สมเด็จเจ้าพญา, ท่านเจ้าพญา, เจ้าพญา, ท่านพญา ฯลฯ ส่วนภรรยาของฐานันดรศักดินาใหญ่นั้นให้เติมคำว่า “หญิง” ไว้ข้างท้าย เช่น “สมเด็จเจ้าพญาหญิง”

        แต่หลวงวิจิตรวาทการเสนอให้เรียกว่า “สมเด็จหญิง” และฐานันดรศักดินาให้มีคำว่า “แห่ง” (of) ต่อท้ายด้วยชื่อแคว้นหรือบริเวณท้องที่ เช่น สมเด็จเจ้าพญาแห่งแคว้น…, พญาแห่งเมือง… ฯลฯ ทำนองฐานันดรเจ้าศักดินายุโรป เช่น ดยุค ออฟ เบดฟอร์ด ฯลฯ ฐานันดรเจ้าศักดินาใหม่นี้ให้แก่รัฐมนตรี และข้าราชการไทย ตามลำดับตำแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์สายสะพาย เช่น จอมพลพิบูลฯ ได้รับพระราชทานสายสะพายนพรัตน์ ก็จะได้ดำรงฐานันดรเจ้าศักดินาเป็น “สมเด็จเจ้าพญาแห่ง…”

        ฐานันดรเจ้าศักดินาใหม่นั้น ทายาทสืบสันตติวงศ์ ได้เหมือนในยุโรปและญี่ปุ่น อันเป็นวิธีการซึ่งนักเรียนที่ศึกษาประวัติ นายพลนโปเลียน โบนาปาร์ด ทราบกันอยู่ว่า ท่านนายพลผู้นั้นได้ขยับขึ้นทีละก้าวทีละก้าว จากเป็นผู้บัญชาการกองทัพ แล้วเป็นกงสุลคนหนึ่งในคณะกงสุล ๓ คน ที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดปกครองประเทศฝรั่งเศส ครั้นแล้วนายพลนโปเลียน โบนาปาร์ด ก็เป็นกงสุลผู้เดียวตลอดกาล ซึ่งมีสิทธิ์ตั้งทายาทสืบตำแหน่ง

        รัฐมนตรีที่เป็นผู้ก่อการฯ จำนวนหนึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วยนั้น ได้คัดค้านจอมพลพิบูลฯ ว่าขัดต่ออุดมคติของคณะราษฎร อันเป็นเหตุให้จอมพลพิบูลฯ ไม่พอใจ ท่านจึงเสนอให้ที่ประชุมเลือกเอาสองทาง คือทางหนึ่งตกลงตาม แผนสถาปนาฐานันดรนครเจ้าศักดินาอย่างใหม่ ทางที่สองเวรคืนบรรดาศักดิ์เดิมทุกคน

        รัฐมนตรีส่วนข้างมาก จึงลงมติในทางเวรคืนบรรดาศักดิ์เดิม เมื่อจอมพลพิบูลฯ แพ้เสียงข้างมาก ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว ท่านจึงเสนอว่า เมื่อเวรคืนบรรดาศักดิ์เก่าแล้ว ผู้ใดจะใช้ชื่อและนามสกุลเดิม หรือเปลี่ยนนามสกุลตามชื่อบรรดาศักดิ์เดิมก็ได้

        โจทก์กับรัฐมนตรีส่วนหนึ่งกลับใช้ชื่อและนามสกุลเดิม แต่จอมพลพิบูลฯ เปลี่ยนนามสกุลเดิมของท่านมาใช้ตามราชทินนามว่า “พิบูลสงคราม” และรัฐมนตรีบางท่านก็ใช้ชื่อเดิม โดยเอาสกุลเดิมเป็นชื่อรอง และใช้ราชทินนามเป็นนามสกุล ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งชื่อและนามสกุลยาว ๆ แพร่หลายจนทุกวันนี้”


เมื่อยกเลิกบรรดาศักดิ์แล้ว มีหลายคนนำราชทินนามเก่าของตนมาตั้งเป็นนามสกุล เช่น จอมพล ป. มีชื่อจริงว่า แปลก ขีตตะสังคะ มีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงพิบูลสงคราม ได้นำราชทินนาม "พิบูลสงคราม" มาตั้งเป็นนามสกุลของตนแทนเป็น แปลก พิบูลสงคราม      หลวงพรหมโยธี (มังกร ผลโยธิน) เป็น มังกร พรหมโยธี  ฯลฯ  

บางคนนำบรรดาศักดิ์มาตั้งเป็นนามสกุลใหม่ แล้วนำนามสกุลเดิมไปเป็นชื่อกลาง เช่น พระยาอินทรวิชิต (รัตน อาวุธ)  เป็น  รัตน อาวุธ อินทรวิชิต



หลังจากจอมพล ป. หมดอำนาจครั้งแรก  ใน พ.ศ. ๒๔๘๗ รัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ได้ออกประกาศเรื่องให้ยกเลิกพระบรมราชโองการเรื่องการยกเลิกยศและบรรดาศักดิ์ พ.ศ. ๒๔๘๕   ให้ผู้ที่เคยลาออกจากบรรดาศักดิ์ไปแล้วสามารถขอพระบรมราชานุญาตกลับมามีบรรดาศักดิ์ของตนตามเดิมได้  เพราะในเวลานั้นมีหลายคนที่ไม่ได้อยากละทิ้งบรรดาศักดิ์และราชทินนามที่เป็นอนุสรณ์ความชอบในราชการของตน  

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2487/A/079/1282.PDF
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2487/A/079/1282.PDF

แต่ทั้งนี้ไม่ได้ปรากฏว่ามีการตั้งบรรดาศักดิ์ขึ้นใหม่ในเวลานั้น



ในรัชกาลที่ ๙ หลังรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ ที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมกลับมามีอำนาจ ได้มีการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ขึ้นใหม่ แต่ปรากฏว่าตั้งสำหรับข้าราชการที่เป็นเจ้ากรม ปลัดกรม สมุห์บัญชี ของเจ้าต่างกรมที่ได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่เท่านั้น   สำหรับเจ้าต่างกรมที่ได้เลื่อนกรมสูงขึ้น  เจ้ากรม ปลัดกรม สมุห์บัญชีก็ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นตามไป

โดยใน พ.ศ. ๒๔๙๓ มีประกาศสถาปนาพระราชวงศ์ โปรดเลื่อนกรม พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร  เป็น กรมพระชัยนาทนเรนทร   ข้าราชการที่เป็นเจ้ากรม ปลัดกรม สมุห์บัญชีในพระองค์ จึงได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระ หลวง ขุน ตามลำดับ

ในคราวเดียวกัน โปรดเกล้าฯ สถาปนา พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต  เป็น กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ตั้งข้าราชการเป็นเจ้ากรม ปลัดกรม และสมุห์บัญชี สำหรับเจ้าต่างกรม มีบรรดาศักดิ์และศักดินาตามอย่างธรรมเนียมโบราณ ดังนี้

- ให้ทรงตั้งเจ้ากรมเป็น หมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ถือศักดินา ๕๐๐
- ให้ทรงตั้งปลัดกรมเป็น พันบวรลาภประสิทธิ์ ถือศักดินา ๓๐๐
- ให้ทรงตั้งสมุห์บัญชีเป็น พันฤทธิลาภพลารักษ์ ถือศักดินา ๒๐๐

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2493/A/027/490.PDF


ใน พ.ศ. ๒๔๙๕ มีการสถาปนาพระบรมวงศานุวงศ์เป็นพระองค์เจ้าต่างกรมอีก ๔ พระองค์ จึงมีการแต่งตั้งข้าราชการเป็นเจ้ากรม ปลัดกรม และสมุหบัญชี สำหรับเจ้าต่างกรมทั้ง ๔ พระองค์นั้น มีบรรดาศักดิ์และศักดินาตามอย่างธรรมเนียมโบราณเช่นเดียวกัน

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2495/A/028/644.PDF


การตั้งบรรดาศักดิ์ข้าราชการปรากฏครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ในคราวสถาปนา สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระองค์เจ้าต่างกรม คือ

- ให้ทรงตั้งเจ้ากรมเป็น หลวงวชิรญาณวงศ์ ถือศักดินา ๖๐๐
- ให้ทรงตั้งปลัดกรมเป็น ขุนจำนงบวรกิจ ถือศักดินา ๔๐๐
- ให้ทรงตั้งสมุห์บัญชีเป็น หมื่นวินิจวรภัณฑ์ ถือศักดินา ๓๐๐

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2500/A/006/21.PDF


หลังจากครั้งนั้นไม่ปรากฏการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์อีกจนถึงปัจจุบัน  แต่ทั้งนี้ยังไม่ได้มีประกาศยกเลิกอย่างเป็นทางการครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่