"คุณหญิงหน่อย" ชี้ไทยเสี่ยงล้มละลายทางการคลัง จี้นายกฯตู่ ปรับงบปี'64ให้ตอบโจทย์
https://www.matichon.co.th/politics/news_2264112
“คุณหญิงหน่อย” ชี้ไทยเสี่ยงล้มละลายทางการคลัง จี้นายกฯตู่ ปรับงบปี’64ให้ตอบโจทย์
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณหญิง
สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า
ประเทศไทยกำลังเสี่ยงเข้าสู่สภาวะล้มละลายทางการคลัง หากไม่ปรับการใช้งบประมาณประจำปี 2564 ให้ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ข้อความระบุว่า
ประเทศไทยกำลังเสี่ยงเข้าสู่สภาวะการ “ล้มสลายทางการคลัง” หากไม่ปรับการใช้งบปี 64 ให้ตอบโจทย์การแก้ไข #สึนามิเศรษฐกิจ อย่างแท้จริง
(ตอนที่ 1)
สิ่งที่ดิฉันกังวลสำหรับอนาคตประเทศที่สะท้อนผ่านการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ที่ต้องขอเตือน พลเอกประยุทธ์ ว่า ไทยกำลังเข้าสู่สภาวะการล้มละลายทางการคลัง
ความกังวลประการแรก เป็นไปตามที่นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ตั้งข้อสังเกตในสภาไว้แล้ว นั่นคือ รายจ่ายประจำของไทยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากการรัฐประหารปี’57 โดย “รัฐราชการ” เติบโตขึ้นอย่างมาก ทำให้มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น จนทำให้รายได้ของประเทศที่มาจากภาษีอากรของพี่น้อง ประชาชนหมดไปกับรายจ่ายประจำประเภทเงินเดือนข้าราชการ และการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ จนไม่เหลือเงินที่จะนำมาลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ
หากพิจารณาจากโครงสร้างงบประมาณ 2564 จะพบว่าเรามีรายรับจากการจัดเก็บภาษีเพียง 2.67 ล้านล้านบาท แต่มีรายจ่ายประจำและรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้เงินต้น 2.625 ล้านล้านบาท เหลือเป็นส่วนต่างที่จะนำมาลงทุนเพียงไม่ถึง 50,000 ล้านล้านบาท แต่หากการจัดเก็บภาษีไม่ได้ตามประมาณการเราจะไม่เหลือเงินที่จะนำมาลงทุนเลย ส่วนรายจ่ายประจำต้องจ่ายไปตามปกติไม่สามารถลดลงได้ เพียงแค่รายการเดียวพี่น้องคงเห็นอนาคตว่าเรากำลังเดินทางไปสู่ความหายนะทางการคลัง
ด้านรายได้ที่มาจากการจัดเก็บภาษีประมาณร้อยละ 15 ของจีดีพีซึ่งนับว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่หากพิจารณาถึงรายได้ประชาชาติหรือจีดีพีของไทย ณ สิ้นปี 2562 เป็นเงิน 16.875 ล้านล้านบาท โดยเป็นรายได้ที่มาจากการส่งออกประมาณร้อยละ 70 แต่มีรายได้จากการส่งออกจำนวนหนึ่งที่เราไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้เพราะเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) หรือเอฟดีไอซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (Board of Investment)
เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออก 10 อันดับแรก ของปี 2562 ได้แก่ (1) รถยนต์และส่วนประกอบ 846,435 ล้านบาท (2) คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ 564,626 ล้านบาท (3) อัญมณีและเครื่องประดับ 486,216 ล้านบาท (4) ผลิตภัณฑ์ยาง 347,649 ล้านบาท (5) เม็ดพลาสติค 284,263 ล้านบาท (6) เคมีภัณฑ์ 235,246 ล้านบาท (7) แผงวงจรไฟฟ้า 234,892 ล้านบาท (8) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 227,071 ล้านบาท (9) น้ำมันสำเร็จรูป 226,962 ล้านบาท และ (10) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 170,578 ล้านบาท รวม 3,605,938 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 21.3 ของจีดีพี ปรากฏว่าเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศเพียงรายการเดียวคือผลิตภัณฑ์ยาง ที่เหลืออีก 9 อันดับเป็นสินค้าของต่างประเทศที่ไทยได้เพียงค่าแรงแต่เก็บภาษีไม่ได้ ดังนั้น รายได้ประชาชาติหรือจีดีพีที่เป็นฐานการก่อหนี้สาธารณะซึ่งขณะนี้อยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 60 จึงถือว่าสูงมากแล้ว เพราะจีดีพีที่เก็บภาษีได้มีไม่ถึง 16.875 ล้านล้านบาท
สิ่งที่น่ากังวลมากไปกว่านั้นคืออุตสาหกรรมที่เคยเป็นแชมป์การส่งออกที่ทำให้จีดีพีของเราสูงมาตลอดนั้น กำลังจะกลายเป็นอุตสาหกรรมขาลงหรือกำลังจะหมดอนาคต (sunset industry) เพราะบางอุตสาหกรรมกำลังจะย้ายฐานการผลิตและบางอุตสาหกรรมกำลังถูกอุตสาหกรรมใหม่แทนที่ (disruptive industry) อันจะทำให้จีดีพีของเราหดตัวลงแต่รัฐบาลยังไม่ได้ตระหนักถึงภยันตรายดังกล่าวดูได้จากการที่รัฐบาลยังจัดสรรงบประมาณด้านการลงทุนไปกับการสร้างอาคารของกระทรวงต่างๆ การตัดถนนอีกมากมาย รวมทั้งการซื้ออาวุธ การอบรมสัมมนาต่างๆ ที่ไม่ใช่การลงทุนที่จะทำให้เกิดรายได้ใหม่หรือการจ้างงานใหม่ ให้ประชาชน เพื่อแก้ไขสภาวะ #สึนามิเศรษฐกิจ ในขณะนี้ได้เลย
รัฐบาลยังมองไม่ออกว่าเศรษฐกิจหลังโควิด19 จะเป็นแบบไหนในอันที่จะเตรียมฐานการผลิตและวางโครงสร้างพื้นฐานไว้รองรับอุตสาหกรรมที่จะเกิดใหม่หลังโควิดดังกล่าว ซึ่งเป็นที่น่าห่วงว่าการจัดงบปี 64 รัฐบาลยังไม่ตระหนัก และไม่มีการจัดงบประมาณ เพื่อสนับสนุนเพื่อให้เกิดฐานรายได้ใหม่ จากความแข็งแกร่งเดิมของเรา ไม่ว่าจะเป็นเกษตร, ท่องเที่ยว, และสาธารณสุข
นายกรัฐมนตรียังสนุกกับการกู้เงินและควบคุมประเทศเพื่อรักษาอำนาจของตัวเองต่อไป โดยไม่ได้ตระหนักว่าประเทศกำลังเดินหน้าไปสู่ความหายนะหรือการล้มละลายทางการคลัง
https://www.facebook.com/sudaratofficial/photos/a.484034281675370/3096093407136098/
รัฐมนตรี กปปส. งง! โพลยี้มาจากไหน จู่ๆมาได้ยังไง โวยการเมืองแบบเก่า
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4493654
เมื่อเวลา 09.15 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นาย
ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)และอดีตแกนนำ กปปส. กล่าวถึงกรณีซุปเปอร์โพลสำรวจพบประชาชนต้องการให้ปรับออกจากครม.ในส่วนแกนนำ กปปส.ออก ว่า
ต้องดูว่าโพลทำไมถามเฉพาะเจาะจงขนาดนั้น ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าเป็นเกมหรือมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ เพราะอยู่ๆ โพลถามเรื่องนี้ในช่วงจะที่มีการปรับ ครม. นาย
ณัฏฐพล กล่าวว่า ตอบไม่ได้ แต่ประชาชนคงจะตัดสินใจเองว่าโพลที่ทำมาทำเพื่ออะไร ตอนไหน จังหวะอะไร และตนไม่ได้กังวล เพราะการปรับ ครม.เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่าคิดว่าจะมีผลต่อการตัดสินใจของนายกฯหรือไม่ นาย
ณัฏฐพล กล่าวว่า ก็มีความเป็นไปได้ แต่ตนก็ทำงานเต็มที่ในหน้าที่ ที่รับผิดชอบอยู่ ไม่ได้กังวลอะไร ถ้าประชาชนคิดว่าเป็นอย่างนั้นก็เป็นเสียงของประชาชน นายกฯคงต้องรับฟัง ส่วนท่านจะตัดสินใจอย่างไรคงเห็นการทำงานที่ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าไม่ได้กังวล แต่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง ที่เมื่อมีการพูดถึงตรงนี้จะมีกระแสต่างๆออกมา อยากจะให้ประชาชนดูและตัดสินใจด้วยตัวเอง บางทีการเมืองเก่าๆ อาจจะต้องปรับเปลี่ยน เพราะประเทศกำลังจะเดินทางไปในแนวทางที่จะต้องร่วมมือกันไปข้างหน้า
เมื่อถามว่าสงสัยหรือไม่ว่าทำไมจึงพุ่งเป้ามาที่รัฐมนตรีที่เป็นอดีตแกนนำ กปปส. นาย
ณัฏฐพล กล่าวว่า อาจจะเป็นแค่จุดแรก ต่อไปอาจจะเป็นคณะอื่นๆ กลุ่มอื่นๆ ซึ่งเป็นการเมืองแบบเดิมๆ เมื่อถามอีกว่าแสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองชัดเจนใช่หรือไม่
นาย
ณัฏฐพล กล่าวว่า ก็ไม่แน่ ตนไม่สามารถบอกได้ เพราะเป็นโพลของเอกชน ต้องไปดูที่มาที่ไปของโพล กลุ่มทำโพล มีการเชื่อมโยงกันอย่างไร ตนคิดว่าสื่อมวลชนคงหาทางเชื่อมโยงตรงนี้ได้ หากลองย้อนกลับไปดูว่ามีความเกี่ยวพันกันอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคพปชร.มีการทำ โพลสอบถามความเห็นของประชาชนหรือไม่ ในเรื่องผลงานรัฐมนตรี นาย
ณัฏฐพล กล่าวว่า เราก็มีโพลภายในของพวกเราเอง ในการทำงานการเมืองจะต้องมีการสอบถามความคิดเห็นประชาชนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพรรค พปชร.มั่นใจว่าแนวทางที่เราทำงานอยู่มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน
เมื่อถามว่ามีความเป็นไปหรือไม่ ว่าเป็นฝีมือของคนที่อยู่ตรงข้ามตนเองในพรรคพปชร. นาย
ณัฏฐพล กล่าวว่า ไม่อยากคิดว่ามาจากไหน เพราะมันเป็นเรื่องที่สร้างความขัดแย้ง วันนี้ประเทศไม่ต้องการความขัดแย้ง ประเทศต้องเดินไปข้างหน้า ซึ่งนายกฯมีแนวทางที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ผงะ! เด็กๆไม่มีห้องเรียน ต้องกางเต็นท์ ผอ.เผย งบสร้างตึกใหม่ถูกตัดไปช่วยโควิด
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_4493568
ผงะ! เด็กๆไม่มีห้องเรียน ต้องกางเต็นท์ ผอ.เผย งบสร้างตึกใหม่ถูกตัดไปช่วยโควิด
วันที่ 13 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงเรียนบ้านตาพวนสร้างแซ่ง ต.สร้างแซ่ง อ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม กำลังประสบปัญหาเดือดร้อนอย่างหนัก ห้องเรียนไม่เพียงพอ ต้องกางเต็นท์ให้นักเรียนออกมานั่งเรียนข้างนอก ผู้ปกครองขาดความเชื่อมั่น พากันย้ายบุตรหลานออกไปเรียนที่อื่นถึง 17 คน
นาย
วรวิทย์ มิทราวงศ์ ผอ.โรงเรียนบ้านตาพวนสร้างแซ่ง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางโรงเรียนได้รับหนังสือเรื่องการแจ้งจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบลงทุนค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง (รายการปีเดียว) จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ว่า ทางโรงเรียนได้รับจัดสรรงบประมาณ โดยให้เตรียมการจัดซื้อจัดจ้างรอไว้ก่อน
ซึ่งทางโรงเรียนได้จัดหาไว้เรียบร้อย เหลือแต่ทำสัญญาเท่านั้น นอกจากนั้นยังได้มีการรื้อถอนอาคารเรียนออก ซึ่งอาคารที่รื้อออกไปเป็นอาคารเก่าสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 อายุกว่า 44 ปี ตัวอาคารผุพัง มีปลวกขึ้นตามกาลเวลา พอมีงบประมาณมาทางโรงเรียนก็เร่งรื้อถอน
แต่ด้วยสถานการณ์โรคโควิด19 ทำให้โรงเรียนถูกระงับการจัดสรรงบประมาณ ทำให้ห้องเรียนและห้องพิเศษต่างๆ ไม่เพียงพอ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือ หาเต็นท์มากางให้เด็กนักเรียนได้ใช้เป็นห้องเรียนชั่วคราว ย้ายเด็กไปเรียนในห้องสมุด ห้องวิทยาศาสตร์แทน เพื่อให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนได้
แต่นักเรียนจะไม่มีห้องปฏิบัติการพิเศษ ไม่มีห้องสมุดได้ใช้ศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ ทำให้ผู้ปกครองของนักเรียนโดยเฉพาะชั้น ม.3 ขาดความเชื่อมั่น เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่นักเรียนจะต้องนำความรู้ที่ได้เป็นเข้าเรียนต่อในชั้น ม.4 ทำให้ผู้ปกครองตัดสินใจย้ายบุตรหลานออกไปถึง 17 คน
อยากขอให้ภาครัฐ ได้จัดสรรงบฉุกเฉินงบประมาณมาช่วยเหลือก่อสร้างอาคารให้เสร็จสิ้น เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ปกครองกลับมา นักเรียนจะได้มีห้องเรียนที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี เอื้อต่อการเรียนรู้ เข้าใจว่างบถูกดึงไปช่วยโควิด ซึ่งก็เป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ครูและนักเรียนก็เดือดร้อนเช่นกัน
JJNY : หญิงหน่อยจี้ตู่ปรับงบ64/รมต.กปปส.งง!โพลยี้/เด็กๆไม่มีห้องเรียนต้องกางเต็นท์/ทั่วโลกติดโควิด13ล./ติดเชื้อเพิ่ม3
https://www.matichon.co.th/politics/news_2264112
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ประเทศไทยกำลังเสี่ยงเข้าสู่สภาวะล้มละลายทางการคลัง หากไม่ปรับการใช้งบประมาณประจำปี 2564 ให้ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ข้อความระบุว่า
ประเทศไทยกำลังเสี่ยงเข้าสู่สภาวะการ “ล้มสลายทางการคลัง” หากไม่ปรับการใช้งบปี 64 ให้ตอบโจทย์การแก้ไข #สึนามิเศรษฐกิจ อย่างแท้จริง
(ตอนที่ 1)
สิ่งที่ดิฉันกังวลสำหรับอนาคตประเทศที่สะท้อนผ่านการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ที่ต้องขอเตือน พลเอกประยุทธ์ ว่า ไทยกำลังเข้าสู่สภาวะการล้มละลายทางการคลัง
ความกังวลประการแรก เป็นไปตามที่นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ตั้งข้อสังเกตในสภาไว้แล้ว นั่นคือ รายจ่ายประจำของไทยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากการรัฐประหารปี’57 โดย “รัฐราชการ” เติบโตขึ้นอย่างมาก ทำให้มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น จนทำให้รายได้ของประเทศที่มาจากภาษีอากรของพี่น้อง ประชาชนหมดไปกับรายจ่ายประจำประเภทเงินเดือนข้าราชการ และการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ จนไม่เหลือเงินที่จะนำมาลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ
หากพิจารณาจากโครงสร้างงบประมาณ 2564 จะพบว่าเรามีรายรับจากการจัดเก็บภาษีเพียง 2.67 ล้านล้านบาท แต่มีรายจ่ายประจำและรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้เงินต้น 2.625 ล้านล้านบาท เหลือเป็นส่วนต่างที่จะนำมาลงทุนเพียงไม่ถึง 50,000 ล้านล้านบาท แต่หากการจัดเก็บภาษีไม่ได้ตามประมาณการเราจะไม่เหลือเงินที่จะนำมาลงทุนเลย ส่วนรายจ่ายประจำต้องจ่ายไปตามปกติไม่สามารถลดลงได้ เพียงแค่รายการเดียวพี่น้องคงเห็นอนาคตว่าเรากำลังเดินทางไปสู่ความหายนะทางการคลัง
ด้านรายได้ที่มาจากการจัดเก็บภาษีประมาณร้อยละ 15 ของจีดีพีซึ่งนับว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่หากพิจารณาถึงรายได้ประชาชาติหรือจีดีพีของไทย ณ สิ้นปี 2562 เป็นเงิน 16.875 ล้านล้านบาท โดยเป็นรายได้ที่มาจากการส่งออกประมาณร้อยละ 70 แต่มีรายได้จากการส่งออกจำนวนหนึ่งที่เราไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้เพราะเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) หรือเอฟดีไอซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (Board of Investment)
เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออก 10 อันดับแรก ของปี 2562 ได้แก่ (1) รถยนต์และส่วนประกอบ 846,435 ล้านบาท (2) คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ 564,626 ล้านบาท (3) อัญมณีและเครื่องประดับ 486,216 ล้านบาท (4) ผลิตภัณฑ์ยาง 347,649 ล้านบาท (5) เม็ดพลาสติค 284,263 ล้านบาท (6) เคมีภัณฑ์ 235,246 ล้านบาท (7) แผงวงจรไฟฟ้า 234,892 ล้านบาท (8) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 227,071 ล้านบาท (9) น้ำมันสำเร็จรูป 226,962 ล้านบาท และ (10) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 170,578 ล้านบาท รวม 3,605,938 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 21.3 ของจีดีพี ปรากฏว่าเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศเพียงรายการเดียวคือผลิตภัณฑ์ยาง ที่เหลืออีก 9 อันดับเป็นสินค้าของต่างประเทศที่ไทยได้เพียงค่าแรงแต่เก็บภาษีไม่ได้ ดังนั้น รายได้ประชาชาติหรือจีดีพีที่เป็นฐานการก่อหนี้สาธารณะซึ่งขณะนี้อยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 60 จึงถือว่าสูงมากแล้ว เพราะจีดีพีที่เก็บภาษีได้มีไม่ถึง 16.875 ล้านล้านบาท
สิ่งที่น่ากังวลมากไปกว่านั้นคืออุตสาหกรรมที่เคยเป็นแชมป์การส่งออกที่ทำให้จีดีพีของเราสูงมาตลอดนั้น กำลังจะกลายเป็นอุตสาหกรรมขาลงหรือกำลังจะหมดอนาคต (sunset industry) เพราะบางอุตสาหกรรมกำลังจะย้ายฐานการผลิตและบางอุตสาหกรรมกำลังถูกอุตสาหกรรมใหม่แทนที่ (disruptive industry) อันจะทำให้จีดีพีของเราหดตัวลงแต่รัฐบาลยังไม่ได้ตระหนักถึงภยันตรายดังกล่าวดูได้จากการที่รัฐบาลยังจัดสรรงบประมาณด้านการลงทุนไปกับการสร้างอาคารของกระทรวงต่างๆ การตัดถนนอีกมากมาย รวมทั้งการซื้ออาวุธ การอบรมสัมมนาต่างๆ ที่ไม่ใช่การลงทุนที่จะทำให้เกิดรายได้ใหม่หรือการจ้างงานใหม่ ให้ประชาชน เพื่อแก้ไขสภาวะ #สึนามิเศรษฐกิจ ในขณะนี้ได้เลย
รัฐบาลยังมองไม่ออกว่าเศรษฐกิจหลังโควิด19 จะเป็นแบบไหนในอันที่จะเตรียมฐานการผลิตและวางโครงสร้างพื้นฐานไว้รองรับอุตสาหกรรมที่จะเกิดใหม่หลังโควิดดังกล่าว ซึ่งเป็นที่น่าห่วงว่าการจัดงบปี 64 รัฐบาลยังไม่ตระหนัก และไม่มีการจัดงบประมาณ เพื่อสนับสนุนเพื่อให้เกิดฐานรายได้ใหม่ จากความแข็งแกร่งเดิมของเรา ไม่ว่าจะเป็นเกษตร, ท่องเที่ยว, และสาธารณสุข
นายกรัฐมนตรียังสนุกกับการกู้เงินและควบคุมประเทศเพื่อรักษาอำนาจของตัวเองต่อไป โดยไม่ได้ตระหนักว่าประเทศกำลังเดินหน้าไปสู่ความหายนะหรือการล้มละลายทางการคลัง
https://www.facebook.com/sudaratofficial/photos/a.484034281675370/3096093407136098/
รัฐมนตรี กปปส. งง! โพลยี้มาจากไหน จู่ๆมาได้ยังไง โวยการเมืองแบบเก่า
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4493654
เมื่อเวลา 09.15 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)และอดีตแกนนำ กปปส. กล่าวถึงกรณีซุปเปอร์โพลสำรวจพบประชาชนต้องการให้ปรับออกจากครม.ในส่วนแกนนำ กปปส.ออก ว่า
ต้องดูว่าโพลทำไมถามเฉพาะเจาะจงขนาดนั้น ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าเป็นเกมหรือมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ เพราะอยู่ๆ โพลถามเรื่องนี้ในช่วงจะที่มีการปรับ ครม. นายณัฏฐพล กล่าวว่า ตอบไม่ได้ แต่ประชาชนคงจะตัดสินใจเองว่าโพลที่ทำมาทำเพื่ออะไร ตอนไหน จังหวะอะไร และตนไม่ได้กังวล เพราะการปรับ ครม.เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่าคิดว่าจะมีผลต่อการตัดสินใจของนายกฯหรือไม่ นายณัฏฐพล กล่าวว่า ก็มีความเป็นไปได้ แต่ตนก็ทำงานเต็มที่ในหน้าที่ ที่รับผิดชอบอยู่ ไม่ได้กังวลอะไร ถ้าประชาชนคิดว่าเป็นอย่างนั้นก็เป็นเสียงของประชาชน นายกฯคงต้องรับฟัง ส่วนท่านจะตัดสินใจอย่างไรคงเห็นการทำงานที่ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าไม่ได้กังวล แต่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง ที่เมื่อมีการพูดถึงตรงนี้จะมีกระแสต่างๆออกมา อยากจะให้ประชาชนดูและตัดสินใจด้วยตัวเอง บางทีการเมืองเก่าๆ อาจจะต้องปรับเปลี่ยน เพราะประเทศกำลังจะเดินทางไปในแนวทางที่จะต้องร่วมมือกันไปข้างหน้า
เมื่อถามว่าสงสัยหรือไม่ว่าทำไมจึงพุ่งเป้ามาที่รัฐมนตรีที่เป็นอดีตแกนนำ กปปส. นายณัฏฐพล กล่าวว่า อาจจะเป็นแค่จุดแรก ต่อไปอาจจะเป็นคณะอื่นๆ กลุ่มอื่นๆ ซึ่งเป็นการเมืองแบบเดิมๆ เมื่อถามอีกว่าแสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองชัดเจนใช่หรือไม่
นายณัฏฐพล กล่าวว่า ก็ไม่แน่ ตนไม่สามารถบอกได้ เพราะเป็นโพลของเอกชน ต้องไปดูที่มาที่ไปของโพล กลุ่มทำโพล มีการเชื่อมโยงกันอย่างไร ตนคิดว่าสื่อมวลชนคงหาทางเชื่อมโยงตรงนี้ได้ หากลองย้อนกลับไปดูว่ามีความเกี่ยวพันกันอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคพปชร.มีการทำ โพลสอบถามความเห็นของประชาชนหรือไม่ ในเรื่องผลงานรัฐมนตรี นายณัฏฐพล กล่าวว่า เราก็มีโพลภายในของพวกเราเอง ในการทำงานการเมืองจะต้องมีการสอบถามความคิดเห็นประชาชนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพรรค พปชร.มั่นใจว่าแนวทางที่เราทำงานอยู่มีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน
เมื่อถามว่ามีความเป็นไปหรือไม่ ว่าเป็นฝีมือของคนที่อยู่ตรงข้ามตนเองในพรรคพปชร. นายณัฏฐพล กล่าวว่า ไม่อยากคิดว่ามาจากไหน เพราะมันเป็นเรื่องที่สร้างความขัดแย้ง วันนี้ประเทศไม่ต้องการความขัดแย้ง ประเทศต้องเดินไปข้างหน้า ซึ่งนายกฯมีแนวทางที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ผงะ! เด็กๆไม่มีห้องเรียน ต้องกางเต็นท์ ผอ.เผย งบสร้างตึกใหม่ถูกตัดไปช่วยโควิด
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_4493568
ผงะ! เด็กๆไม่มีห้องเรียน ต้องกางเต็นท์ ผอ.เผย งบสร้างตึกใหม่ถูกตัดไปช่วยโควิด
วันที่ 13 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงเรียนบ้านตาพวนสร้างแซ่ง ต.สร้างแซ่ง อ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม กำลังประสบปัญหาเดือดร้อนอย่างหนัก ห้องเรียนไม่เพียงพอ ต้องกางเต็นท์ให้นักเรียนออกมานั่งเรียนข้างนอก ผู้ปกครองขาดความเชื่อมั่น พากันย้ายบุตรหลานออกไปเรียนที่อื่นถึง 17 คน
นายวรวิทย์ มิทราวงศ์ ผอ.โรงเรียนบ้านตาพวนสร้างแซ่ง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางโรงเรียนได้รับหนังสือเรื่องการแจ้งจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบลงทุนค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง (รายการปีเดียว) จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2 ว่า ทางโรงเรียนได้รับจัดสรรงบประมาณ โดยให้เตรียมการจัดซื้อจัดจ้างรอไว้ก่อน
ซึ่งทางโรงเรียนได้จัดหาไว้เรียบร้อย เหลือแต่ทำสัญญาเท่านั้น นอกจากนั้นยังได้มีการรื้อถอนอาคารเรียนออก ซึ่งอาคารที่รื้อออกไปเป็นอาคารเก่าสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 อายุกว่า 44 ปี ตัวอาคารผุพัง มีปลวกขึ้นตามกาลเวลา พอมีงบประมาณมาทางโรงเรียนก็เร่งรื้อถอน
แต่ด้วยสถานการณ์โรคโควิด19 ทำให้โรงเรียนถูกระงับการจัดสรรงบประมาณ ทำให้ห้องเรียนและห้องพิเศษต่างๆ ไม่เพียงพอ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือ หาเต็นท์มากางให้เด็กนักเรียนได้ใช้เป็นห้องเรียนชั่วคราว ย้ายเด็กไปเรียนในห้องสมุด ห้องวิทยาศาสตร์แทน เพื่อให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนได้
แต่นักเรียนจะไม่มีห้องปฏิบัติการพิเศษ ไม่มีห้องสมุดได้ใช้ศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ ทำให้ผู้ปกครองของนักเรียนโดยเฉพาะชั้น ม.3 ขาดความเชื่อมั่น เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่นักเรียนจะต้องนำความรู้ที่ได้เป็นเข้าเรียนต่อในชั้น ม.4 ทำให้ผู้ปกครองตัดสินใจย้ายบุตรหลานออกไปถึง 17 คน
อยากขอให้ภาครัฐ ได้จัดสรรงบฉุกเฉินงบประมาณมาช่วยเหลือก่อสร้างอาคารให้เสร็จสิ้น เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ปกครองกลับมา นักเรียนจะได้มีห้องเรียนที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี เอื้อต่อการเรียนรู้ เข้าใจว่างบถูกดึงไปช่วยโควิด ซึ่งก็เป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ครูและนักเรียนก็เดือดร้อนเช่นกัน