*เนื้อหาก็อปมาจากเพจผม*
โพสต์นี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับน้อง ๆ โดยตรง แต่ก็สืบเนื่องจากการได้ดูซีรีส์ The Underclass ห้องนี้...ไม่มีห่วย ไป 2 ตอน ในเรื่องจะเห็นว่ามีการแบ่งห้องเรียนตามระดับผลการเรียน ทำให้นึกถึงตอนสมัยผมอยู่ ม.2 (ปี พ.ศ. 2549)
ในตอนแรกที่ผมเข้า ม.1 ปีนั้น การจัดห้องเรียนของนักเรียนชั้น ม.ต้นทั้งหมดจะเป็นแบบคละกัน คือมีทั้งเด็กอ่อนและเด็กเก่งเรียนรวมกัน และ ม.2-ม.3 ยังสามารถเลือกแผนการเรียนเสริมได้ตามความถนัดและความสนใจได้ด้วย ใครชอบวิทย์-คณิตก็เลือกไป ใครชอบไทย-สังคมก็เลือกไป หรือใครชอบวิชาปฏิบัติอย่างเช่น งานช่าง,งานเกษตร,พลศึกษา ก็มีให้เลือกเช่นกัน
ตอนนั้นผมตั้งใจจะเลือกแผนการเรียนไทย-สังคม แต่พอขึ้น ม.2 จริง ๆ ก็ปรากฏว่ามีรอง ผอ.ฝ่ายวิชาการคนใหม่และนโยบายใหม่คือการจัดห้องเรียนตามเกรดตอน ม.1 ใครเกรดดี ๆ ก็อยู่ห้อง 1 และลดหลั่นไปเรื่อย ๆ จนถึงห้อง 10 (แต่โรงเรียนผมไม่มีระบบบ้าบอ หรือเด็กห้องเก่งได้สิทธิพิเศษมากกว่าแบบในซีรีส์นะ ถ้าพวกแผนการเรียนพิเศษก็จะต้องจ่ายเงินเพิ่มมากกว่าห้องอื่น)
ที่แย่กว่านั้นคือ แต่ละห้องจะมีแผนการเรียนที่ "เขาคิดว่า" เหมาะกับนักเรียนห้องนั้น ๆ อย่างห้อง 1-3 เป็นห้องเด็กเก่ง ก็จัดให้เรียนวิทย์-คณิตมันซะเลย ส่วนห้องท้าย ๆ ก็จัดแผนการเรียนที่เป็นพวกวิชาปฏิบัติให้ได้เรียนอย่าง เกษตร,ดนตรีไทย,พละ ซึ่งการจัดแบบนี้เป็นปัญหากับผมมาก ผมโดนจัดอยู่วิทย์-คณิตทั้งที่หัวไม่ได้ไปทางนั้น ทำให้ช่วง ม.2-3 เป็นช่วงที่ผมค่อนข้างทรมานกับการเรียน เพราะต้องมีวิชาวิทย์กับคณิตตัวเสริมเพิ่มขึ้นมาจากห้องแผนการเรียนอื่นอีก
ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบวิธีการแบบนี้ อย่างเคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งในโรงเรียนกล่าวว่า จัดห้องแยกเด็กอ่อน เด็กเก่งแบบนี้ ห้องอ่อน ๆ มันก็จะเกาะกันตก เพราะไม่มีคนเก่งคอยช่วยเหลือ
แต่ตอนที่ผมไปตั้งกระทู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้ว ก็มีคนเห็นต่างเหมือนกัน คือจัดห้องแบบนี้ดีแล้ว เพราะถ้าห้องเก่งครูก็สอนแบบไปเร็วได้เลย ส่วนห้องอ่อนก็ไปแบบช้า ๆ ได้ ไม่ต้องกลัวว่าเด็กเก่งจะบ่นว่าช้า หรือเด็กที่อ่อนจะตามไม่ทันเด็กเก่ง ทำให้ง่ายต่อการสอนและทำคะแนนของครู แต่ในประเด็นของการจัดแผนการเรียนอันนี้หลายคนก็เห็นด้วยกับผม เพราะควรจะให้นักเรียนได้เลือกแผนตามที่ตัวเองชอบมากกว่า
ที่ผมเล่ามันก็ 10 กว่าปีมาแล้ว และไม่รู้ว่าตอนนี้โรงเรียนผมมีระบบอะไรใหม่ ๆ รึเปล่า แต่อยากจะรู้ว่าตอนนี้ยังมีโรงเรียนไหนจัดแบบนั้นรึเปล่า และทุกท่านคิดอย่างไรกับเรื่องดังกล่าว
คุณคิดอย่างไรกับการจัดห้องตามเกรดแบบใน The Underclass
โพสต์นี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับน้อง ๆ โดยตรง แต่ก็สืบเนื่องจากการได้ดูซีรีส์ The Underclass ห้องนี้...ไม่มีห่วย ไป 2 ตอน ในเรื่องจะเห็นว่ามีการแบ่งห้องเรียนตามระดับผลการเรียน ทำให้นึกถึงตอนสมัยผมอยู่ ม.2 (ปี พ.ศ. 2549)
ในตอนแรกที่ผมเข้า ม.1 ปีนั้น การจัดห้องเรียนของนักเรียนชั้น ม.ต้นทั้งหมดจะเป็นแบบคละกัน คือมีทั้งเด็กอ่อนและเด็กเก่งเรียนรวมกัน และ ม.2-ม.3 ยังสามารถเลือกแผนการเรียนเสริมได้ตามความถนัดและความสนใจได้ด้วย ใครชอบวิทย์-คณิตก็เลือกไป ใครชอบไทย-สังคมก็เลือกไป หรือใครชอบวิชาปฏิบัติอย่างเช่น งานช่าง,งานเกษตร,พลศึกษา ก็มีให้เลือกเช่นกัน
ตอนนั้นผมตั้งใจจะเลือกแผนการเรียนไทย-สังคม แต่พอขึ้น ม.2 จริง ๆ ก็ปรากฏว่ามีรอง ผอ.ฝ่ายวิชาการคนใหม่และนโยบายใหม่คือการจัดห้องเรียนตามเกรดตอน ม.1 ใครเกรดดี ๆ ก็อยู่ห้อง 1 และลดหลั่นไปเรื่อย ๆ จนถึงห้อง 10 (แต่โรงเรียนผมไม่มีระบบบ้าบอ หรือเด็กห้องเก่งได้สิทธิพิเศษมากกว่าแบบในซีรีส์นะ ถ้าพวกแผนการเรียนพิเศษก็จะต้องจ่ายเงินเพิ่มมากกว่าห้องอื่น)
ที่แย่กว่านั้นคือ แต่ละห้องจะมีแผนการเรียนที่ "เขาคิดว่า" เหมาะกับนักเรียนห้องนั้น ๆ อย่างห้อง 1-3 เป็นห้องเด็กเก่ง ก็จัดให้เรียนวิทย์-คณิตมันซะเลย ส่วนห้องท้าย ๆ ก็จัดแผนการเรียนที่เป็นพวกวิชาปฏิบัติให้ได้เรียนอย่าง เกษตร,ดนตรีไทย,พละ ซึ่งการจัดแบบนี้เป็นปัญหากับผมมาก ผมโดนจัดอยู่วิทย์-คณิตทั้งที่หัวไม่ได้ไปทางนั้น ทำให้ช่วง ม.2-3 เป็นช่วงที่ผมค่อนข้างทรมานกับการเรียน เพราะต้องมีวิชาวิทย์กับคณิตตัวเสริมเพิ่มขึ้นมาจากห้องแผนการเรียนอื่นอีก
ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบวิธีการแบบนี้ อย่างเคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งในโรงเรียนกล่าวว่า จัดห้องแยกเด็กอ่อน เด็กเก่งแบบนี้ ห้องอ่อน ๆ มันก็จะเกาะกันตก เพราะไม่มีคนเก่งคอยช่วยเหลือ
แต่ตอนที่ผมไปตั้งกระทู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้ว ก็มีคนเห็นต่างเหมือนกัน คือจัดห้องแบบนี้ดีแล้ว เพราะถ้าห้องเก่งครูก็สอนแบบไปเร็วได้เลย ส่วนห้องอ่อนก็ไปแบบช้า ๆ ได้ ไม่ต้องกลัวว่าเด็กเก่งจะบ่นว่าช้า หรือเด็กที่อ่อนจะตามไม่ทันเด็กเก่ง ทำให้ง่ายต่อการสอนและทำคะแนนของครู แต่ในประเด็นของการจัดแผนการเรียนอันนี้หลายคนก็เห็นด้วยกับผม เพราะควรจะให้นักเรียนได้เลือกแผนตามที่ตัวเองชอบมากกว่า
ที่ผมเล่ามันก็ 10 กว่าปีมาแล้ว และไม่รู้ว่าตอนนี้โรงเรียนผมมีระบบอะไรใหม่ ๆ รึเปล่า แต่อยากจะรู้ว่าตอนนี้ยังมีโรงเรียนไหนจัดแบบนั้นรึเปล่า และทุกท่านคิดอย่างไรกับเรื่องดังกล่าว