จะมาขอเล่าประสบการณ์ชีวิต ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหน จากเด็กหนีออกจากบ้าน ขอทาน ติดยา สู่ ชีวิตที่ดีขึ้น ในตอนโต
ตั้งแต่เด็กผมโตมา พ่อแม่แยกทางกัน แล้วผมเลยเติบโตมา เป็นเด็กที่มีปมด้อย ไม่ชอบอยู่บ้าน หนีออกจากบ้าน 3 ครั้ง ครั้งสุดท้าย คือตอน 9 ขวบ แล้วไม่เคยกลับบ้านเลย จนอายุ 15 ถามว่าแล้วช่วงที่ผ่านมาผมไปทำอะไรล่ะ?
เอาล่ะ😆 ผมจะเล่า ตั้งแต่ผมออกจากบ้านเลยแล้วกัน สาเหตุที่ผมออกจากบ้าน เพราะผมเป็นคนหัวแข็ง จำได้ว่าวันนั้น วันที่ผมเลือกที่จะออกจากบ้าน วันนั้น แม่ตีผมด้วยสายไฟแล้วผมก็กลับบ้าน ประมาณ 21:00 แม่บอกว่า ไม่ต้องกลับมาเลย ออกไปเลย การที่เป็นเด็กหัวแข็งก็เลยไม่รู้ว่าที่เขาพูด เพราะอารมณ์หรือว่ายังไง แต่ว่า
การที่ผมเป็นเด็กหัวแข็ง ผมก็เลยเดินออกจากบ้านแล้ว ไม่กลับไปอีกเลย แม่ตามหาไหม?? ผมไม่รู้เพราะผมหนีไปไกลมาก วันแรกที่ผมหนี ผมเลือกที่จะไปนอนใต้สะพานลอย ถ้าใครรู้จัก สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง สี่แยกที่ติดโรงเรียนอะไรสักอย่าง อยู่กลางตัวเมืองฉะเชิงเทรา เสาสะพานจะมีช่องเล็กๆ ผมปีนขึ้นไป นอนขดตัวอยู่บนนั้น วันนั้นเป็นอะไร ที่หนาวมาก ผมต้องเอาขาซุกเข้าไปในเสื้อมันเป็นอะไรที่หนาวมาก ผมนอนแบบนั้นจนเช้า ตื่นมาน่ะหรอก็ไม่รู้จะไปไหน ก็เดินไปสวนสมเด็จ พระศรีนครินทร์ศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา แล้วก็อยู่ที่สวนนั้น เย็นมืดที่นี้ ร้านขายน้ำเห็นผมนอน อยู่ก็สงสาร หาของกินมาให้ แล้วขอให้ดูร้านให้เขาด้วย ผมก็อยู่แบบนั้น สิ่งที่ทำให้ผมมีกิน ก็คือไปคุยกับนักศึกษา ไปตีสนิทแล้วก็คุย เขาสงสารก็ให้ตังค์มา ผมก็เอาไปซื้อของกิน นักศึกษาน่าจะเป็นจากมหาวิทยาลัยหลังสวนสมเด็จ ผมอยู่แบบนั้นเรื่อยมาจำไม่ได้ว่ากี่วัน จึงมีวันหนึ่งผมไปเจอคนคนหนึ่ง มันชื่อไอ้ปื๊ด !! ไอ้ปื๊ดมารู้จักกันที่หน้าศาลสมเด็จร 5 ก็ชวนไปอยู่บ้าน ที่บ้านนั้นไอ้ปื๊ดก็อาศัยเขาอยู่โดยที่มีลุงขาพิการข้างขวา เป็นเจ้าของบ้าน คุณลุงท่านนี้มีพระคุณกับผม ให้ที่กินที่อยู่ แต่ถ้าอยากมีเงินใช้ ก็ไปช่วยเขาขายลอตเตอรี่ที่วัดหลวงพ่อโสธร เมื่อก่อนวัดหลวงพ่อโสธรไม่ได้สวยแบบนี้ สมัยนั้นเพิ่งจะขึ้นช่อฟ้าพระอุโบสถ พูดถึงวัดหลวงพ่อโสธร งั้นผมขอเล่าย้อนกลับไป ตอนที่หนีออกจากบ้านครั้งที่ 2 แล้วกัน ออกจากบ้านครั้งที่ 2 ผมก็อาศัยอยู่แถววัดหลวงพ่อโสธร อาศัยนอนบ้านคนแถวๆนั้น หาเงินโดยการจับปลาจับเต่า ที่มีคนเขาทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา แล้วเอามาขายให้กับแม่ค้า เอาตังค์มาหาซื้อของกิน มีอยู่วันหนึ่ง ผมเกือบจะต้องตาย เพราะความหิว ไม่ได้กินอะไร เดชะบุญมีคนคนนึง เอาข้าวมาให้กล่องนึง ผมไม่มีวันลืมข้าวกล่องนั้น เป็นข้าวที่ต่อชีวิตให้ผม จนมาถึงทุกวันนี้ ข้าวกล่องนั้นคือข้าวธรรมดาที่ลาดด้วยลาบหมู แต่เป็นข้าวที่อร่อยที่สุด ในชีวิต อาการของคนที่หิว จนไม่มีแรงไม่รู้สึกหิวอีกต่อไป กำลังจะต้องตายไปจากโลกนี้ แล้วก็ได้เข้ากล่องนี้ที่ทำให้มีชีวิตต่อ จนยายของผมมาไหว้พระแล้วเจอผม เลยพาผมกลับบ้าน แล้วแม่ของผมก็เชิญผมไปบวชที่วัดวัดหนึ่งในฉะเชิงเทราตอนนั้นผมอายุ 7 ขวบ ผมได้บวชที่วัดวัดนั้น แล้วได้เป็นสามเณรองค์แรกที่ได้ขึ้นธรรมาสน์พญานาค ขึ้นเทศนาให้ญาติโยมฟัง ตรงนี้เป็นอะไรที่ผมปลื้มมาก55😆😆 ผมเป็นคนที่อ่านเก่ง ตั้งแต่เด็กเพราะชอบอ่านการ์ตูน แต่เขียนหรอไม่ค่อยเก่งสวนทาง กับการอ่านมาก จนผมสึกออกมา แม่พาไปเรียนต่อที่โรงเรียนหัวเฉียว เจ้าแม่กวนอิมลอยน้ำ จนแล้วจนรอด จนหนีออกจากบ้านครั้งที่ 3 เอาละกลับเข้ามาต่อในตอนที่แล้ว
แรกๆผมก็ช่วยคุณลุงที่พิการคนนั้นขายลอตเตอรี่ แล้วไอ้ปื๊ดนี่แหละที่มันชักชวนผมดมกาว ผมก็ดมไปกับมัน จนเวลาผ่านไป ได้มีคณะงิ้วคณะหนึ่ง ไปเล่นที่วัดหลวงพ่อโสธร มีศาลเจ้าศาลเจ้านึง จำไม่ได้ว่าศาลอะไร แล้วผมก็ไปฝากตัวกับโรงงิ้วพร้อมกับไอ้ปื๊ด แล้วได้เล่นงิ้วโดยได้ค่าจ้างวันละ 40 บาท มีข้าวให้กิน 3 มื้อมื้อดึกอีก 1 มื้อ โรงงิ้วพาไปทั่วทุกสารทิศ ได้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆ จากแค่ทหาร ที่ยืนเฉยๆ ก็ได้เริ่มรับบทสำคัญขึ้น เล่นเป็นตัวลูกบ้าง เล่นเป็นลองแม่ทัพบ้าง แต่สมัยนั้นผมเป็นคนตัวเล็ก อายุเพิ่งจะ 12 คนที่โรงงิ้วจะเรียกผมว่าไอ้ตัวเล็ก เพราะอายุน้อยที่สุด แต่ผมชอบที่จะเรียนรู้ จนโรงงิ้วเลิกกองแล้วกลับบ้านกัน ผมเองไม่มีที่จะไป ผมเลยกลับ มาบ้านคุณลุงคนนั้นอีกรอบ แต่ก็เหลือแค่เพียงกองเถ้าถ่าน เพราะบ้านเกิดการไฟไหม้ขึ้น แล้วคุณลุง ก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน จนผมต้องกลับมาผจญภัยอีกครั้ง เพราะไม่มีที่จะไป กลับมาเป็นเด็กเร่ร่อนอีก เหมือนเดิม ที่นี้ผมไปไหนนะหรอ ??ก็หัวลำโพง เพราะเคยมีเพื่อนที่คณะงิ้วคนนึง เคยพามาเที่ยวแถวนี้ แล้วก็ไปนอนค้างบ้านมันด้วย จนผมไม่ได้กลับไปโรงงิ้วอีก ผมอาศัยอยู่ ตู้รถไฟเป็นที่หลับที่นอน ตำรวจรถไฟที่นี้ จะเลี้ยงอาหารตอนเที่ยงสำหรับเด็กเร่ร่อน ผมเริ่มมีเพื่อน ที่หนีออกจากบ้านเหมือนกัน ก็ได้ชวนกันไปอยู่ที่บ้านร้าง ื สมัยนั้นมีบ้านร้างอยู่หน้าหัวลำโพง ก็เริ่มกลับมาดมกาว ที่นี่หนักกว่าเก่า ก็คือเริ่มที่จะเสพยาบ้าแล้วก็เริ่มวนเวียน ขอทานตามสี่แยกไฟแดง โดยการเช็ดกระจกรถให้เขา บางคนเขาก็สงสาร บางคนเขาก็รำคาญ ซึ่งก็เข้าใจแหละครับ เพราะว่าผ้าผมเช็ดมันก็ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ แต่ผมมีแค่นั้น แล้วผมก็เริ่ม ไล่ขอเงินเขาไปทั่ว ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ วันไหนไม่มีตังค์ ผมก็จะแอบย่องเข้าไปที่สถานีรถไฟ แล้วไปที่แคนทีน แอบกินข้าว ที่เขากินเหลือๆไว้ที่โต๊ะนั้นทีโต๊ะนี้ที จนมีอยู่วันนึงเจ้าหน้าที่รถไฟจับได้ ลากผมเข้าไปซ้อมที่ตู้รถไฟ โดยใช้คอมแบทเตะที่หน้าจนเลือดกำเดาพุ่ง ผมต้องเดินโซเซออกมา มีเพื่อน 2 คนมาประคอง ปีกคนละข้างเพราะไปต่อไม่ไหว แล้วก็กลับไปนอนที่บ้านร้าง จนวันหนึ่ง ก็มีเพื่อนที่เคยอยู่รังสิต มาที่หัวลำโพง แล้วผมก็ตามเพื่อนคนนั้นไปรังสิตด้วย แล้วก็เป็นแบบเดิม เดินขอตังค์ตามโต๊ะอาหารโต้รุ่ง เพื่อที่จะมาซื้อของกินเดินขอข้าว ขอก๋วยเตี๋ยว เพื่อให้พอมีอาหารยาไส้ ทุกวันนี้ร้านพวกนั้นก็ยังอยู่ ร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าตลาด 200 ปี อร่อยมากครับ แล้วรังสิตร้านข้าวแกงเขาจะให้ข้าวถุงแกงถุงกับคนเร่ร่อน ถ้าเจ้าของร้านหรือลูกหลานได้เข้ามาเห็นโพสต์นี้ผมขอกราบขอบพระคุณ ที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ ผมขอโทษที่จำชื่อร้านไม่ได้ ถ้าวันไหนผมผ่านผมจะจำชื่อร้านไว้ แล้วจะมาแสดงความขอบคุณอีกที แล้วผมก็อยู่อย่างนั้น จนวันที่ผมโดนตำรวจจับ เขาส่งผมไปอยู่แรกรับปากเกร็ดผมก็หนีออกมา แล้วก็ทำแบบนี้ซ้ำๆครั้งสุดท้ายที่ผมโดน ตำรวจจับ ผมโดนส่งไปอยู่สถานพินิจลาดหลุมแก้ว แล้วผมก็ได้ติดต่อกับครอบครัวอีกครั้งในตอนอายุ 15 นั่นคือเวลา 6 ปีหลังจากที่ผมได้ออกจากบ้านมา หลังจากที่ผมได้ออกมาแล้ว ผมก็ได้บวชอยู่วัดวัดนึงที่จังหวัดอยุธยา และสึกออกมาแต่ผมก็ยังอยู่แถวๆนั้น กับคนรู้จัก ยังไม่ได้กลับบ้านจนแม่ติดต่อกลับมาว่ายายเสีย นั่นแหละผมถึงได้กลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง โดยไปอยู่บ้านยายที่จังหวัดจันทบุรี ที่จังหวัดจันทบุรีบ้านนั้นลุงกับครอบครัว ได้อยู่ที่นั่น แล้วผมก็ไปอยู่โดยไปเป็นกรรมกร ให้กับลุง ลุงผมทำอาชีพรับเหมาเล็กๆอยู่ จนลุงผมกับครอบครัวต้องย้ายไปที่เชียงใหม่ ผมจึงอยู่ที่นั่นคนเดียว โดยทำงานที่โรงงานกระดาษแห่งหนึ่ง ที่เขาแก้วเลยจากตำบลปะตงไป 5 กิโล จนผมลาออกจากโรงงาน แล้วก็มีเพื่อนชวนไปทำฟาร์มไก่ ที่หนองปรือจังหวัดชลบุรี ผมก็มาทำอยู่นี่ได้สักพักนึงก็ปี 2 ปีอยู่นะ แล้วผมก็ได้มาใช้ชีวิต ื อยู่ที่ฟาร์มปลาบ้านหัวไผ่ เขตรอยต่อระหว่างฉะเชิงเทรากับชลบุรีพนัส ที่นี่แหละที่ทำให้ผมได้เริ่มเรียนต่อกศน หลังจากผมออกจากฟาร์มปลา ก็ไปทำร้านอาหารเป็นเด็กเสิร์ฟเด็กล้างจานให้กับร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่มีครูที่สอนอยู่ที่กศนเป็นหุ้นส่วน จนสุดท้ายผมได้กลับไปอยู่กับแม่ที่ชลบุรี อยู่ได้อาทิตย์เดียวเท่านั้น55 ก็ขอไปทำโรงงานที่เวลโกรว์อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่นี่แหละที่เริ่มต้นความเป็นผู้ใหญ่ของผม แต่ผมก็ยังเหลือเดนเหมือนเดิม ผมกลับไปเล่นยา เข้าโรงงานนั้น ออกโรงงานนี้เรื่อยมาใช้ชีวิตแบบไม่รู้คุณค่า จนมาวันหนึ่ง ผมได้คิดว่าควรพอสักที กับของพวกนี้ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กับแฟนคนใหม่ ผ่านมาแล้ว 8 ปี ผมไม่เคยแตะของเสพติดทุกชนิด เว้นบุหรี่นะอิอิ,😁
ทุกวันนี้ผมทำงานพนักงานระดับหัวหน้างานบริษัทแห่งนึ่ง ที่อมตะนคร ชลบุรี ทุกวันนี้ ผมมีทุกอย่าง ที่ผมไม่เคยมี เมื่อตอนเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ มีเงินใช้ อยากกินอะไรก็กิน ไม่เหมือนตอนเด็ก ที่ต้องคุ้ยขยะหาของกิน อยากได้อะไรก็ได้แต่ฝัน เพราะเราเป็นแค่ขอทาน ที่นั่งขอทาน ตามสะพานลอย บางวันก็หลับ บนสะพานลอย ก็จะมีบางวัน จะมีป้าเอาเงินมายัดใส่มือแล้วบอกว่าเอาไว้กินข้าวนะลูก ตอนนั้นผมยัง งงอยู่บนสะพานลอยอยู่เลย ผมต้องเอากระป๋องใบนึง ไปนั่งบนสะพานลอย และยกมือไหว้ให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเอาเงินใส่ เพื่อที่จะได้มีเงิน ไปซื้อของกิน ทุกวัน"นี้ผมมีทุกอย่างแล้วครับ" ขอบคุณทุกๆคนที่ทำให้ผม มีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ มีโอกาสเมื่อไหร่ผมจะกลับไปตอบแทนบุญคุณพวกท่าน
ทุกอย่างที่เล่ามา ผมไม่สามารถเล่าได้ละเอียดยิบ เพราะว่าผมจำปะติดปะต่อได้นิดหน่อย อาจจะมีตกบ้างอะไรบ้าง
ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ หวังว่าจะเป็น
ประสบการณ์ให้กับเด็กรุ่นหลังที่คิดจะหนีออกจากบ้าน สังคมภายนอกมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด ต้องกัดฟันดิ้นรนสู้กับมันทุกอย่าง อยู่กับครอบครัวมีคนรัก มีคนดูแลดีที่สุดแล้ว น้องคนไหนที่มีโอกาสเรียน ก็ขอให้เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะเรียนได้ เพราะบางคนไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เรียน แต่ก็ยังอยากจะเรียน
ผมขอจบ ไว้แต่เพียงเท่านี้ละกันนะครับ ถ้านึกอะไรได้เดี๋ยวจะมาต่อ ขอบคุณครับ อ๋อลืมไปปัจจุบันผมอายุ 31 แล้ว ตอนนี้ก็คงผ่านมา 22 ปีแล้ว😁😁😁😁😁
จะมาขอเล่าประสบการณ์ชีวิต ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหน จากเด็กหนีออกจากบ้าน ขอทาน ติดยา สู่ ชีวิตที่ดีขึ้น ในตอนโต
ตั้งแต่เด็กผมโตมา พ่อแม่แยกทางกัน แล้วผมเลยเติบโตมา เป็นเด็กที่มีปมด้อย ไม่ชอบอยู่บ้าน หนีออกจากบ้าน 3 ครั้ง ครั้งสุดท้าย คือตอน 9 ขวบ แล้วไม่เคยกลับบ้านเลย จนอายุ 15 ถามว่าแล้วช่วงที่ผ่านมาผมไปทำอะไรล่ะ?
เอาล่ะ😆 ผมจะเล่า ตั้งแต่ผมออกจากบ้านเลยแล้วกัน สาเหตุที่ผมออกจากบ้าน เพราะผมเป็นคนหัวแข็ง จำได้ว่าวันนั้น วันที่ผมเลือกที่จะออกจากบ้าน วันนั้น แม่ตีผมด้วยสายไฟแล้วผมก็กลับบ้าน ประมาณ 21:00 แม่บอกว่า ไม่ต้องกลับมาเลย ออกไปเลย การที่เป็นเด็กหัวแข็งก็เลยไม่รู้ว่าที่เขาพูด เพราะอารมณ์หรือว่ายังไง แต่ว่า
การที่ผมเป็นเด็กหัวแข็ง ผมก็เลยเดินออกจากบ้านแล้ว ไม่กลับไปอีกเลย แม่ตามหาไหม?? ผมไม่รู้เพราะผมหนีไปไกลมาก วันแรกที่ผมหนี ผมเลือกที่จะไปนอนใต้สะพานลอย ถ้าใครรู้จัก สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง สี่แยกที่ติดโรงเรียนอะไรสักอย่าง อยู่กลางตัวเมืองฉะเชิงเทรา เสาสะพานจะมีช่องเล็กๆ ผมปีนขึ้นไป นอนขดตัวอยู่บนนั้น วันนั้นเป็นอะไร ที่หนาวมาก ผมต้องเอาขาซุกเข้าไปในเสื้อมันเป็นอะไรที่หนาวมาก ผมนอนแบบนั้นจนเช้า ตื่นมาน่ะหรอก็ไม่รู้จะไปไหน ก็เดินไปสวนสมเด็จ พระศรีนครินทร์ศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา แล้วก็อยู่ที่สวนนั้น เย็นมืดที่นี้ ร้านขายน้ำเห็นผมนอน อยู่ก็สงสาร หาของกินมาให้ แล้วขอให้ดูร้านให้เขาด้วย ผมก็อยู่แบบนั้น สิ่งที่ทำให้ผมมีกิน ก็คือไปคุยกับนักศึกษา ไปตีสนิทแล้วก็คุย เขาสงสารก็ให้ตังค์มา ผมก็เอาไปซื้อของกิน นักศึกษาน่าจะเป็นจากมหาวิทยาลัยหลังสวนสมเด็จ ผมอยู่แบบนั้นเรื่อยมาจำไม่ได้ว่ากี่วัน จึงมีวันหนึ่งผมไปเจอคนคนหนึ่ง มันชื่อไอ้ปื๊ด !! ไอ้ปื๊ดมารู้จักกันที่หน้าศาลสมเด็จร 5 ก็ชวนไปอยู่บ้าน ที่บ้านนั้นไอ้ปื๊ดก็อาศัยเขาอยู่โดยที่มีลุงขาพิการข้างขวา เป็นเจ้าของบ้าน คุณลุงท่านนี้มีพระคุณกับผม ให้ที่กินที่อยู่ แต่ถ้าอยากมีเงินใช้ ก็ไปช่วยเขาขายลอตเตอรี่ที่วัดหลวงพ่อโสธร เมื่อก่อนวัดหลวงพ่อโสธรไม่ได้สวยแบบนี้ สมัยนั้นเพิ่งจะขึ้นช่อฟ้าพระอุโบสถ พูดถึงวัดหลวงพ่อโสธร งั้นผมขอเล่าย้อนกลับไป ตอนที่หนีออกจากบ้านครั้งที่ 2 แล้วกัน ออกจากบ้านครั้งที่ 2 ผมก็อาศัยอยู่แถววัดหลวงพ่อโสธร อาศัยนอนบ้านคนแถวๆนั้น หาเงินโดยการจับปลาจับเต่า ที่มีคนเขาทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา แล้วเอามาขายให้กับแม่ค้า เอาตังค์มาหาซื้อของกิน มีอยู่วันหนึ่ง ผมเกือบจะต้องตาย เพราะความหิว ไม่ได้กินอะไร เดชะบุญมีคนคนนึง เอาข้าวมาให้กล่องนึง ผมไม่มีวันลืมข้าวกล่องนั้น เป็นข้าวที่ต่อชีวิตให้ผม จนมาถึงทุกวันนี้ ข้าวกล่องนั้นคือข้าวธรรมดาที่ลาดด้วยลาบหมู แต่เป็นข้าวที่อร่อยที่สุด ในชีวิต อาการของคนที่หิว จนไม่มีแรงไม่รู้สึกหิวอีกต่อไป กำลังจะต้องตายไปจากโลกนี้ แล้วก็ได้เข้ากล่องนี้ที่ทำให้มีชีวิตต่อ จนยายของผมมาไหว้พระแล้วเจอผม เลยพาผมกลับบ้าน แล้วแม่ของผมก็เชิญผมไปบวชที่วัดวัดหนึ่งในฉะเชิงเทราตอนนั้นผมอายุ 7 ขวบ ผมได้บวชที่วัดวัดนั้น แล้วได้เป็นสามเณรองค์แรกที่ได้ขึ้นธรรมาสน์พญานาค ขึ้นเทศนาให้ญาติโยมฟัง ตรงนี้เป็นอะไรที่ผมปลื้มมาก55😆😆 ผมเป็นคนที่อ่านเก่ง ตั้งแต่เด็กเพราะชอบอ่านการ์ตูน แต่เขียนหรอไม่ค่อยเก่งสวนทาง กับการอ่านมาก จนผมสึกออกมา แม่พาไปเรียนต่อที่โรงเรียนหัวเฉียว เจ้าแม่กวนอิมลอยน้ำ จนแล้วจนรอด จนหนีออกจากบ้านครั้งที่ 3 เอาละกลับเข้ามาต่อในตอนที่แล้ว
แรกๆผมก็ช่วยคุณลุงที่พิการคนนั้นขายลอตเตอรี่ แล้วไอ้ปื๊ดนี่แหละที่มันชักชวนผมดมกาว ผมก็ดมไปกับมัน จนเวลาผ่านไป ได้มีคณะงิ้วคณะหนึ่ง ไปเล่นที่วัดหลวงพ่อโสธร มีศาลเจ้าศาลเจ้านึง จำไม่ได้ว่าศาลอะไร แล้วผมก็ไปฝากตัวกับโรงงิ้วพร้อมกับไอ้ปื๊ด แล้วได้เล่นงิ้วโดยได้ค่าจ้างวันละ 40 บาท มีข้าวให้กิน 3 มื้อมื้อดึกอีก 1 มื้อ โรงงิ้วพาไปทั่วทุกสารทิศ ได้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆ จากแค่ทหาร ที่ยืนเฉยๆ ก็ได้เริ่มรับบทสำคัญขึ้น เล่นเป็นตัวลูกบ้าง เล่นเป็นลองแม่ทัพบ้าง แต่สมัยนั้นผมเป็นคนตัวเล็ก อายุเพิ่งจะ 12 คนที่โรงงิ้วจะเรียกผมว่าไอ้ตัวเล็ก เพราะอายุน้อยที่สุด แต่ผมชอบที่จะเรียนรู้ จนโรงงิ้วเลิกกองแล้วกลับบ้านกัน ผมเองไม่มีที่จะไป ผมเลยกลับ มาบ้านคุณลุงคนนั้นอีกรอบ แต่ก็เหลือแค่เพียงกองเถ้าถ่าน เพราะบ้านเกิดการไฟไหม้ขึ้น แล้วคุณลุง ก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน จนผมต้องกลับมาผจญภัยอีกครั้ง เพราะไม่มีที่จะไป กลับมาเป็นเด็กเร่ร่อนอีก เหมือนเดิม ที่นี้ผมไปไหนนะหรอ ??ก็หัวลำโพง เพราะเคยมีเพื่อนที่คณะงิ้วคนนึง เคยพามาเที่ยวแถวนี้ แล้วก็ไปนอนค้างบ้านมันด้วย จนผมไม่ได้กลับไปโรงงิ้วอีก ผมอาศัยอยู่ ตู้รถไฟเป็นที่หลับที่นอน ตำรวจรถไฟที่นี้ จะเลี้ยงอาหารตอนเที่ยงสำหรับเด็กเร่ร่อน ผมเริ่มมีเพื่อน ที่หนีออกจากบ้านเหมือนกัน ก็ได้ชวนกันไปอยู่ที่บ้านร้าง ื สมัยนั้นมีบ้านร้างอยู่หน้าหัวลำโพง ก็เริ่มกลับมาดมกาว ที่นี่หนักกว่าเก่า ก็คือเริ่มที่จะเสพยาบ้าแล้วก็เริ่มวนเวียน ขอทานตามสี่แยกไฟแดง โดยการเช็ดกระจกรถให้เขา บางคนเขาก็สงสาร บางคนเขาก็รำคาญ ซึ่งก็เข้าใจแหละครับ เพราะว่าผ้าผมเช็ดมันก็ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ แต่ผมมีแค่นั้น แล้วผมก็เริ่ม ไล่ขอเงินเขาไปทั่ว ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ วันไหนไม่มีตังค์ ผมก็จะแอบย่องเข้าไปที่สถานีรถไฟ แล้วไปที่แคนทีน แอบกินข้าว ที่เขากินเหลือๆไว้ที่โต๊ะนั้นทีโต๊ะนี้ที จนมีอยู่วันนึงเจ้าหน้าที่รถไฟจับได้ ลากผมเข้าไปซ้อมที่ตู้รถไฟ โดยใช้คอมแบทเตะที่หน้าจนเลือดกำเดาพุ่ง ผมต้องเดินโซเซออกมา มีเพื่อน 2 คนมาประคอง ปีกคนละข้างเพราะไปต่อไม่ไหว แล้วก็กลับไปนอนที่บ้านร้าง จนวันหนึ่ง ก็มีเพื่อนที่เคยอยู่รังสิต มาที่หัวลำโพง แล้วผมก็ตามเพื่อนคนนั้นไปรังสิตด้วย แล้วก็เป็นแบบเดิม เดินขอตังค์ตามโต๊ะอาหารโต้รุ่ง เพื่อที่จะมาซื้อของกินเดินขอข้าว ขอก๋วยเตี๋ยว เพื่อให้พอมีอาหารยาไส้ ทุกวันนี้ร้านพวกนั้นก็ยังอยู่ ร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าตลาด 200 ปี อร่อยมากครับ แล้วรังสิตร้านข้าวแกงเขาจะให้ข้าวถุงแกงถุงกับคนเร่ร่อน ถ้าเจ้าของร้านหรือลูกหลานได้เข้ามาเห็นโพสต์นี้ผมขอกราบขอบพระคุณ ที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ ผมขอโทษที่จำชื่อร้านไม่ได้ ถ้าวันไหนผมผ่านผมจะจำชื่อร้านไว้ แล้วจะมาแสดงความขอบคุณอีกที แล้วผมก็อยู่อย่างนั้น จนวันที่ผมโดนตำรวจจับ เขาส่งผมไปอยู่แรกรับปากเกร็ดผมก็หนีออกมา แล้วก็ทำแบบนี้ซ้ำๆครั้งสุดท้ายที่ผมโดน ตำรวจจับ ผมโดนส่งไปอยู่สถานพินิจลาดหลุมแก้ว แล้วผมก็ได้ติดต่อกับครอบครัวอีกครั้งในตอนอายุ 15 นั่นคือเวลา 6 ปีหลังจากที่ผมได้ออกจากบ้านมา หลังจากที่ผมได้ออกมาแล้ว ผมก็ได้บวชอยู่วัดวัดนึงที่จังหวัดอยุธยา และสึกออกมาแต่ผมก็ยังอยู่แถวๆนั้น กับคนรู้จัก ยังไม่ได้กลับบ้านจนแม่ติดต่อกลับมาว่ายายเสีย นั่นแหละผมถึงได้กลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง โดยไปอยู่บ้านยายที่จังหวัดจันทบุรี ที่จังหวัดจันทบุรีบ้านนั้นลุงกับครอบครัว ได้อยู่ที่นั่น แล้วผมก็ไปอยู่โดยไปเป็นกรรมกร ให้กับลุง ลุงผมทำอาชีพรับเหมาเล็กๆอยู่ จนลุงผมกับครอบครัวต้องย้ายไปที่เชียงใหม่ ผมจึงอยู่ที่นั่นคนเดียว โดยทำงานที่โรงงานกระดาษแห่งหนึ่ง ที่เขาแก้วเลยจากตำบลปะตงไป 5 กิโล จนผมลาออกจากโรงงาน แล้วก็มีเพื่อนชวนไปทำฟาร์มไก่ ที่หนองปรือจังหวัดชลบุรี ผมก็มาทำอยู่นี่ได้สักพักนึงก็ปี 2 ปีอยู่นะ แล้วผมก็ได้มาใช้ชีวิต ื อยู่ที่ฟาร์มปลาบ้านหัวไผ่ เขตรอยต่อระหว่างฉะเชิงเทรากับชลบุรีพนัส ที่นี่แหละที่ทำให้ผมได้เริ่มเรียนต่อกศน หลังจากผมออกจากฟาร์มปลา ก็ไปทำร้านอาหารเป็นเด็กเสิร์ฟเด็กล้างจานให้กับร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่มีครูที่สอนอยู่ที่กศนเป็นหุ้นส่วน จนสุดท้ายผมได้กลับไปอยู่กับแม่ที่ชลบุรี อยู่ได้อาทิตย์เดียวเท่านั้น55 ก็ขอไปทำโรงงานที่เวลโกรว์อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่นี่แหละที่เริ่มต้นความเป็นผู้ใหญ่ของผม แต่ผมก็ยังเหลือเดนเหมือนเดิม ผมกลับไปเล่นยา เข้าโรงงานนั้น ออกโรงงานนี้เรื่อยมาใช้ชีวิตแบบไม่รู้คุณค่า จนมาวันหนึ่ง ผมได้คิดว่าควรพอสักที กับของพวกนี้ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กับแฟนคนใหม่ ผ่านมาแล้ว 8 ปี ผมไม่เคยแตะของเสพติดทุกชนิด เว้นบุหรี่นะอิอิ,😁
ทุกวันนี้ผมทำงานพนักงานระดับหัวหน้างานบริษัทแห่งนึ่ง ที่อมตะนคร ชลบุรี ทุกวันนี้ ผมมีทุกอย่าง ที่ผมไม่เคยมี เมื่อตอนเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ มีเงินใช้ อยากกินอะไรก็กิน ไม่เหมือนตอนเด็ก ที่ต้องคุ้ยขยะหาของกิน อยากได้อะไรก็ได้แต่ฝัน เพราะเราเป็นแค่ขอทาน ที่นั่งขอทาน ตามสะพานลอย บางวันก็หลับ บนสะพานลอย ก็จะมีบางวัน จะมีป้าเอาเงินมายัดใส่มือแล้วบอกว่าเอาไว้กินข้าวนะลูก ตอนนั้นผมยัง งงอยู่บนสะพานลอยอยู่เลย ผมต้องเอากระป๋องใบนึง ไปนั่งบนสะพานลอย และยกมือไหว้ให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเอาเงินใส่ เพื่อที่จะได้มีเงิน ไปซื้อของกิน ทุกวัน"นี้ผมมีทุกอย่างแล้วครับ" ขอบคุณทุกๆคนที่ทำให้ผม มีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ มีโอกาสเมื่อไหร่ผมจะกลับไปตอบแทนบุญคุณพวกท่าน
ทุกอย่างที่เล่ามา ผมไม่สามารถเล่าได้ละเอียดยิบ เพราะว่าผมจำปะติดปะต่อได้นิดหน่อย อาจจะมีตกบ้างอะไรบ้าง
ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ หวังว่าจะเป็น
ประสบการณ์ให้กับเด็กรุ่นหลังที่คิดจะหนีออกจากบ้าน สังคมภายนอกมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด ต้องกัดฟันดิ้นรนสู้กับมันทุกอย่าง อยู่กับครอบครัวมีคนรัก มีคนดูแลดีที่สุดแล้ว น้องคนไหนที่มีโอกาสเรียน ก็ขอให้เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะเรียนได้ เพราะบางคนไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เรียน แต่ก็ยังอยากจะเรียน
ผมขอจบ ไว้แต่เพียงเท่านี้ละกันนะครับ ถ้านึกอะไรได้เดี๋ยวจะมาต่อ ขอบคุณครับ อ๋อลืมไปปัจจุบันผมอายุ 31 แล้ว ตอนนี้ก็คงผ่านมา 22 ปีแล้ว😁😁😁😁😁