31 DAYS DIARY IN SHANGHAI
หากพูดถึง ประเทศจีน เชื่อว่าทุกคนจะต้องรู้จักและมีมุมมองที่ต่างกันออกไป ซึ่งอาจมาจากคำบอกเล่า สิ่งที่ได้พบเห็นกับตัว
หรือสิ่งที่คิดเอาตามคำว่า “จีน”
ดังนั้นขอให้เปิดใจก่อนสักนิดเพราะสิ่งต่อไปนี้เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้
รอบนี้เราจะพาทุกคนออกเดินทางไปพร้อมกันกับเรา จากสิ่งที่เราเคยเขียนบันทึกไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
แพ็คกระเป๋าและเดินทางไปในไดอารี่ของเรา กับ 31 Days diary in Shanghai ได้เลยค่าาา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สถานที่คร่าวๆ : The Bund, Nanjing Road, Shanghai Museam, People's Park, Shanghai Disneyland, Su Zhou, Hang Zhou, ฯลฯ
: If you get this scholarship, how will you share the knowledge about China to other people?
: If I get this scholarship, I’ll share my knowledge which I get from China and the knowledge that I have learned by myself by posting the story in Facebook or social media as much as I can.
และนี่คือเหตุผลที่ให้ไว้ตอนสัมภาษณ์จึงตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับประเทศจีนเท่าที่ได้มาเรียนรู้และได้มาเจอประสบการณ์จริง
ก่อนอื่นขอแนะนำเกี่ยวกับโครงการที่ได้รับทุน ชื่อว่า one belt one road program ซึ่งเป็นโครงการที่มาจากนโยบายของจีนเป็นการรื้อฟื้นเส้นทางสายไหมเดิมมาเป็นเส้นทางสายไหมใหม่ในศตวรรษที่ 21 โดยการสร้างความเชื่อมโยงและการร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ตะวันออกกลาง จนถึงยุโรป ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในระเบียงเศรษฐกิจของจีน (นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ไทยได้มีส่วนร่วมกับโครงการนี้)
Day 1
เดินทางจากกรุงเทพมาเซี่ยงไฮ้กับสายการบินสัญชาติจีน คนจีนทั้งลำเลย คนบนเครื่องคุยกันเสียงดังนิดหน่อย แต่พอเครื่องออกก็เงียบ ใช้เวลาในการเดินทาง 4 ชั่วโมงก็มาถึง เดินทางมาคนเดียวก็กลัวๆหน่อย แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี เดินมาตามป้ายเรื่อยๆเพื่อมาขึ้น Metro ป้ายดูง่ายมากๆ ไม่มีหลงเลย แล้วก็เจอคนๆหนึ่งกำลังกางแผนที่เดินทางไปมอ SISU เลยคิดว่าต้องมาแลกเปลี่ยนเหมือนกันแน่ๆ จึงเดินเข้าไปทัก แล้วเราก็ได้เดินทางไปมอด้วยกัน เค้าชื่อว่า Fyong เป็นคนเวียดนามที่ไปอยู่รัสเซีย ใครจะคิดล่ะว่าเพื่อนที่เราเดินเข้าไปทักครั้งนี้จะเป็นเพื่อนซี้ปึ้กที่อยู่กับเราไปจนจบโครงการ
ด้านหน้ามหาวิทยาลัยของเราเองค่า ชื่อว่า Shanghai International Studies Universities (上海外国语大学)
การเดินทางในเซี่ยงไฮ้สะดวกมากๆเพราะมีรถไฟฟ้า Metro ที่ไปได้ทั่วเมือง มีทั้งหมด14 สาย ค่าเดินทางถูกด้วย เริ่มต้น 3 หยวนเท่านั้น และยังมีรถเมล์ที่มีแอร์ สภาพใหม่เอี่ยมวิ้ง ในราคา 2 หยวนตลอดสายเลยจ้า มีรถไฟฟ้าอีกแบบคือ Meglev เป็นรถไฟฟ้าความเร็วสูงระบบแม่เหล็กไฟฟ้าออกจากสนามบินเซี่ยงไฮ้ ความเร็วสูงสุดที่ 431 km/hr แต่เราไม่ได้ลองเลย ฮื่อๆ

เราขึ้น Metro สาย 2 ไปลงสถานี Chifeng road แค่ 7 หยวนเอง ถูกมากๆ รู้สึกว่ารถไฟฟ้าที่นี่ดูง่ายมากๆเลยนะ ขนาดเราเป็นเด็กต่างจังหวัดที่แทบไม่ค่อยได้ใช้รถไฟฟ้า แต่ของที่นี่จะมีรายละเอียดบอกตลอดเลยว่าเราเดินทางมาจากไหน อยู่ตรไหน กำลังจะไปไหน ต้องเปลี่ยนสายที่สถานีไหน โอเคมากๆสำหรับคนที่ขึ้นใหม่ๆ พอมาถึงก็เดินตามหามอ ไม่รู้ว่าไปทางไหนเลยถามคนแถวนั้น คนหนึ่งว่าไปทาง อีกคนว่าไปทาง เพื่อนเราเดาว่าไปทางหนึ่ง ส่วนเราเดาว่าไปอีกทาง เพื่อนดอเคเดินไปทางเรา และสุดท้ายกลายเป็นว่าเดินอ้อม อ้อมแบบอ้อมมากๆ T[]T แถมต้องลากกระเป๋าไปด้วย ขอโทษมากๆค่ะ อันที่จริงเดินไปทางไหนก็ได้ เพราะมอกว้างมากๆๆๆๆๆ มีหลายโซนมากๆๆ กว่าจะหาเจอก็ถามไปประมาณ 5-6 คนได้ พอมาถึงที่รายงานตัวเค้าบอกให้ไปรายงานตัวเข้าที่พักก่อน ต้องเดินไปอีก ฮรืออ ซึ่งเรากับเพื่อนเราได้พักคนละที่ เค้าได้พักที่ Apartment ในมอ ส่วนเราได้พักที่โรงแรมของมอที่ต้องเดินไปอีกประมาณสิบนาที พอเดินมา เพิ่งเห็นว่าใกล้สถานีที่ลงนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น จาร้อง นี่เดินวนเป็นสี่เหลี่ยมเพื่อเดินกลับมาที่เดิมพร้อมของพะรุงพะรัง รู้สึกว่าตอนถามทางถ้าได้ภาษาจีนจะได้เปรียบมากๆ หลายคนพยายามช่วยมาก โดยเฉพาะวัยรุ่น มีคนหนึ่งเปิดแมพพาเดินมาส่งด้วยเลย มาถึงโรงแรมได้รูมเมทเป็นคนสเปน ชื่อว่านูเรีย และมีเพื่อนอีกสองคน คนหนึ่งชื่อคาวิน พูดภาษาอังกฤษและจีนเก่งมาก หลังจากเช็คอินก็ไปรายงานตัวที่มออีกรอบ ได้บัตร คูปองกินข้าวฟรี และตารางเรียนต่างๆมาแล้ว น่าสนุกมาก พรุ่งนี้มีพาเดินชมมอ วันนี้ก็พักก่อน จากการเดินทางที่แสนเหน็ดเหนื่อย อ้อ มีร้านอาหารอิสลามด้วย เดินแค่สิบนาทีก็ถึง รอดแล้วล่ะเรา ฮ่าๆ

Day 2
วันนี้เหนื่อยมากๆ เดินไปสิบโลได้ เพิ่งจะวันที่สองเองนะ เหนื่อยจากอะไรน่ะหรอ วันนี้มีนัดเดินชมมอ ตอนเช้าเลยเดินไปสำรวจพลางๆก่อน เจอเพื่อนใหม่เป็นคนมุสลิมจากอียิปต์ ชื่อ Sahar, Nada กับอีกคนลืมชื่อแล้ว (ขอโทษนะ แต่เรามีปัญหากับการจำชื่อคนจริงๆ ขอโทษจากใจ T0T) พดอังกฤษกันไม่ค่อยคล่องแต่ได้จีน อีกคนมาจากเมกาใต้ ชอบตานที่บางคนพูดอิ้งไม่คล่อง พูดจีนไม่คล่อง เวลาคุยกันเลยต้องเปิดพจนานุกรม ดูเป็นภาพที่น่ารักดี และแล้วก็มีคนมาพาเราเดินชมมอ ไปดูสนามกีฬา อาคารเรียน ห้องสมุด สวนสาธารณะ ระหว่างทางเดินเจอคนไทยมาตั้ง 6 คนแหนะ มีคนมาจากหลายประเทศหลายโปรแกรมมากๆ อินเตอร์สุดๆเลย ได้มาเจอคนในชีวิตจริงที่เดินทางมาจากสถานที่ที่ได้แต่อ่านจากในหนังสือนี่ดีจริงๆเลยนะ พอไกด์พาเข้าสถานีรถไฟฟ้าก็เลยหนีไปเที่ยวกะเพื่อนเลย ฮ่าๆ ไปลงที่สถานี East Nanjong road เป็นที่แลนด์มาร์คที่สุดที่คนมาเซี่ยงไฮ้ต้องมา ก็คือที่ที่มีอาคารสไตล์ยุโรป เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน หรือเรียกว่า “ปารีสตะวันออก”

ตรงนี้เรียกว่า เดอะบัน (The Bund) หรือ ไว่ทัน (外滩) ตอนเห็นรอบแรกแล้วคิดว่านี่จีนจริงเนี่ย ระแวกนี้เหมือนยุโรปมากๆเพียงแต่มีป้ายภาษาจีน ธงชาติจีน และคนจีน ที่ทำให้รู้ว่าเราอยู่จีนจริงๆ เดินเล่นชมความเจริญก็มองเห็นธงไทยเพียงประเทศเดียวที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธงชาติจีนทั้งหลาย เป็นธงของธนคารกรุงเทพ เท่ไม่น้อยเลย ใครได้ไปลองเดินหาธงไทยได้เลยนะ
เป็นเมืองที่มีความทันสมัยอย่างมากเนื่องจากเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศจีนตามนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Free trade zone) ของเติ้งเสี่ยวผิงที่กำหนดให้บางพื้นที่เป็นพื้นที่ทดลองในการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ และเซี่ยงไฮ้คือหนึ่งในพื้นที่ทดลอง
ตามที่เรารู้กันว่าประเทศจีนมีการปกครองด้วยระบบการเมืองคอมมิวนิสต์ แต่เนื่องด้วยปัจจุบันเป็นโลกของการบริโภคนิยมอย่างไร้พรมแดนหรือเรียกว่ายุคโลกาภิวัตน์ การปรับตัวของจีนคือยังคงการเมืองเป็นแบบคอมมิวนิสต์แต่มีเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมตามพื้นที่ต่างๆ เป็นที่มาของคำว่า “แมวไม่ว่าจะสีอะไร ขอให้จับหนูได้ก็พอ” – เติ้งเสี่ยวผิง
ถนน หนานจิงลู่ (Nanjing road) แหล่งช้อปปิ้งที่คนเดินล้นหลามมาก ตึกรามบ้านช่องในเขตตัวเมืองจะมีการตกแต่งสไตล์ยุโรป
ด้านตรงข้ามของแม่น้ำเป็นโซนที่มีตึกสูงใหญ่ยเอะมาก ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานบริษัทต่างๆ และมีตึกที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเซี่ยงไฮ้ คือ หอไข่มุก อีกตึกหนึ่งเป็นตึกที่มีขนากสูงเป็นอันดับสองของโลกรองจากดูไบ
เดินลัดเลาะเข้าซอกออกซอย มีห้างเยอะแยะมากมายนับไม่ถ้วนก็เริ่มเข้าสู่บ้านทรงสไตล์จีน ลองเดินออกจากเส้นทางของ Google map แล้วจะได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง ได้เห็นถึงชีวิตปกติประจำวันธรรมดาๆที่ไม่ใช่จุดแลนด์มาร์ค อ้อ เนื่องจากจีนบล็อคโซเชียลมีเดียของต่างประเทศตามนโยบาย Single gateway เช่น Facebook , Google , Line , Instragram โดยจะมีสื่อในเวอร์ชั่นของจีนเอง เช่น Baidu แทน Google หากจะใช้ต้องมี VPN ซึ่งต้องโหลดติดเครื่องไว้หลายๆแอพ เพราะไม่ค่อยเสถียรเท่าไหร่เลย 5555
จากนี้ก็มุ่งหน้าไปพิพิทธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้ ทางเดินมาโอเคสุดๆเมื่อเทียบกับไทย แถมทางเรียบไม่ตะปุ่มตะป่ำด้วย สะพานข้ามถนนก็สวยสะอาด ตั้งแต่เดินมายังไม่เห็นมีใครถมน้ำลายเลยสักกะคน มีแค่คนสูบบุหรี่ที่ส่งกลิ่นเหม็นทำลายบรรยากาศ
อ่านเจอมาว่าจีนมีการเก็บคะแนนทางสังคม (Social credit score) เป็นการเก็บคะแนนส่วนบุคคลในด้านต่างๆเพื่อพัฒนาคุณภาพประชากร โดยเก็บคะแนนจากสามด้านคือ
1 พฤติกรรมด้านการเงิน เช่น การเสียภาษี ค่าปรับ
2 พฤติกรรมด้านสังคม เช่น ความมีวินัย การฝ่าฝืนกฎจราจร การเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสังคม
3 พฤติกรรมในโลกออนไลน์ เช่น การช้อปปิ้ง การสนทนาบนโซเชียล
ซึ่งคะแนนจะแบ่งเป็นระดับๆและคนที่ได้คะแนนสูงจะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ
พอเดินมาถึงพิพิธพัณฑ์ก็ใกล้ปิดแล้วจ้า 555555 เลยได้มาวันอื่นแทน อันนี้คือด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ (ใครอยากรู้ว่าด้านในน่าสนใจแค่ไหน ต้องอย่าลืมติดตามเลยนะคะ)
พวกเราเลยเดินต่ออไปที่ People’s park กับ People square เพราะตั้งใจมาเดินตามหา Bride Market หรือ Marriage market
อ่านต่อได้ในคอมเม้นท์นะคะ
SHANGHAI - ไดอารี่ 31 วันในเซี่ยงไฮ้ [Part 1]
แพ็คกระเป๋าและเดินทางไปในไดอารี่ของเรา กับ 31 Days diary in Shanghai ได้เลยค่าาา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
: If you get this scholarship, how will you share the knowledge about China to other people?
: If I get this scholarship, I’ll share my knowledge which I get from China and the knowledge that I have learned by myself by posting the story in Facebook or social media as much as I can.
และนี่คือเหตุผลที่ให้ไว้ตอนสัมภาษณ์จึงตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับประเทศจีนเท่าที่ได้มาเรียนรู้และได้มาเจอประสบการณ์จริง
เดินทางจากกรุงเทพมาเซี่ยงไฮ้กับสายการบินสัญชาติจีน คนจีนทั้งลำเลย คนบนเครื่องคุยกันเสียงดังนิดหน่อย แต่พอเครื่องออกก็เงียบ ใช้เวลาในการเดินทาง 4 ชั่วโมงก็มาถึง เดินทางมาคนเดียวก็กลัวๆหน่อย แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี เดินมาตามป้ายเรื่อยๆเพื่อมาขึ้น Metro ป้ายดูง่ายมากๆ ไม่มีหลงเลย แล้วก็เจอคนๆหนึ่งกำลังกางแผนที่เดินทางไปมอ SISU เลยคิดว่าต้องมาแลกเปลี่ยนเหมือนกันแน่ๆ จึงเดินเข้าไปทัก แล้วเราก็ได้เดินทางไปมอด้วยกัน เค้าชื่อว่า Fyong เป็นคนเวียดนามที่ไปอยู่รัสเซีย ใครจะคิดล่ะว่าเพื่อนที่เราเดินเข้าไปทักครั้งนี้จะเป็นเพื่อนซี้ปึ้กที่อยู่กับเราไปจนจบโครงการ
วันนี้เหนื่อยมากๆ เดินไปสิบโลได้ เพิ่งจะวันที่สองเองนะ เหนื่อยจากอะไรน่ะหรอ วันนี้มีนัดเดินชมมอ ตอนเช้าเลยเดินไปสำรวจพลางๆก่อน เจอเพื่อนใหม่เป็นคนมุสลิมจากอียิปต์ ชื่อ Sahar, Nada กับอีกคนลืมชื่อแล้ว (ขอโทษนะ แต่เรามีปัญหากับการจำชื่อคนจริงๆ ขอโทษจากใจ T0T) พดอังกฤษกันไม่ค่อยคล่องแต่ได้จีน อีกคนมาจากเมกาใต้ ชอบตานที่บางคนพูดอิ้งไม่คล่อง พูดจีนไม่คล่อง เวลาคุยกันเลยต้องเปิดพจนานุกรม ดูเป็นภาพที่น่ารักดี และแล้วก็มีคนมาพาเราเดินชมมอ ไปดูสนามกีฬา อาคารเรียน ห้องสมุด สวนสาธารณะ ระหว่างทางเดินเจอคนไทยมาตั้ง 6 คนแหนะ มีคนมาจากหลายประเทศหลายโปรแกรมมากๆ อินเตอร์สุดๆเลย ได้มาเจอคนในชีวิตจริงที่เดินทางมาจากสถานที่ที่ได้แต่อ่านจากในหนังสือนี่ดีจริงๆเลยนะ พอไกด์พาเข้าสถานีรถไฟฟ้าก็เลยหนีไปเที่ยวกะเพื่อนเลย ฮ่าๆ ไปลงที่สถานี East Nanjong road เป็นที่แลนด์มาร์คที่สุดที่คนมาเซี่ยงไฮ้ต้องมา ก็คือที่ที่มีอาคารสไตล์ยุโรป เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน หรือเรียกว่า “ปารีสตะวันออก”
ตามที่เรารู้กันว่าประเทศจีนมีการปกครองด้วยระบบการเมืองคอมมิวนิสต์ แต่เนื่องด้วยปัจจุบันเป็นโลกของการบริโภคนิยมอย่างไร้พรมแดนหรือเรียกว่ายุคโลกาภิวัตน์ การปรับตัวของจีนคือยังคงการเมืองเป็นแบบคอมมิวนิสต์แต่มีเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมตามพื้นที่ต่างๆ เป็นที่มาของคำว่า “แมวไม่ว่าจะสีอะไร ขอให้จับหนูได้ก็พอ” – เติ้งเสี่ยวผิง
จากนี้ก็มุ่งหน้าไปพิพิทธภัณฑ์เซี่ยงไฮ้ ทางเดินมาโอเคสุดๆเมื่อเทียบกับไทย แถมทางเรียบไม่ตะปุ่มตะป่ำด้วย สะพานข้ามถนนก็สวยสะอาด ตั้งแต่เดินมายังไม่เห็นมีใครถมน้ำลายเลยสักกะคน มีแค่คนสูบบุหรี่ที่ส่งกลิ่นเหม็นทำลายบรรยากาศ
1 พฤติกรรมด้านการเงิน เช่น การเสียภาษี ค่าปรับ
2 พฤติกรรมด้านสังคม เช่น ความมีวินัย การฝ่าฝืนกฎจราจร การเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสังคม
3 พฤติกรรมในโลกออนไลน์ เช่น การช้อปปิ้ง การสนทนาบนโซเชียล
ซึ่งคะแนนจะแบ่งเป็นระดับๆและคนที่ได้คะแนนสูงจะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ