วางแผนทางการเงิน สำหรับวัยเริ่มต้นทำงาน


.
        หลังจากเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องการทำงานอยู่หลายกระทู้ วันนี้ขอเปลี่ยนเรื่องมาเขียนถึง การเงินกันบ้าง เพราะถือเป็นเรื่องคู่กัน ในแบบฉบับที่ว่า ต่อให้ทำงานเก่ง เงินเดือนเยอะแค่ไหน ถ้าวางแผนทางการเงินไม่เป็น เงินก็หายหมดเกลี้ยง ดังคำที่ว่า หาเงินได้เก่ง ก็ไม่เท่าใช้เงินให้เป็น
.
         ในบทความนี้ผมจะอ้างอิงจากประสบการณ์ของตัวผมเอง ในวัยเริ่มต้นทำงานหลังเรียนจบ  ได้รับเงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ 16,000 บาท เวลาผ่านไป 2 ปี พูดกันตรงๆก็ยังไม่รวย แต่รู้สึกว่า การที่เราวางแผนทางการเงินมาอย่างดี เราแทบไม่เคยกลัวปัญหาตกงานหรือ หมุนเงินไม่ทันเลย
.

เคล็ดลับข้อที่ 1 ไปเปิดบัญชีธนาคารแยกประเภทของเงินซะ
.
          ไม่ได้บังคับ แต่ถ้ามีเงินฝากบัญชีเดียว รับรองว่าเงินคุณ เละเทะแน่ๆ มันจะทำให้คุณไม่รู้ที่ไปที่มาของเงิน ใช้เงินจนเพลิน  ผมขอแชร์การแบ่งเงินของผมดังนี้
.
บัญชีที่ 1 บัญชีเงินเดือน กินใช้ 
.
          ผมทำบัตรเอทีเอ็มไว้ของ ธนชาต ฟรีเว่อร์ไลฟ์ เพราะกดเงินฟรีทุกตู้สะดวกดี   พอเงินเดือนเข้ามาปุ๊ป ผมก็จะโอนเงินเดือนของผมไปตามสัดส่วนที่วางแผนไว้ โดยเหลือเงินติดบัญชีนี้ไว้สำหรับ กิน ใช้ เดือนละ 4000 บาท ตกอาทิตย์ละ 1000  ผมไม่สนใจว่าแต่ละวันจะต้องกินใช้เท่าไหร่ เพราะความอยากแต่ละวันไม่เหมือนกัน  รู้แต่เพียงว่า ต้องบริหารให้ได้ภายใน 4000 บาท เหลือก็ดี แต่ถ้าไม่เหลือก็อด (แต่จริงๆไม่เคยหมดหรอก ถ้าเราไม่ตามใจปาก)
.

บัญชีที่ 2 บัญชีเงินเก็บ 
.
          ผมเปิดบัญชีออมทรัพย์ที่พ่วงมาด้วยประกันชีวิตของ TMB Saving care (วงเงินประกันชีวิต 20 เท่าของเงินฝาก)  เงินในบัญชีนี้จะไม่ทำบัตรเอทีเอ็ม App ธนาคาร ใดๆทั้งสิ้น เพราะต้องการให้มันใช้งานยากที่สุด  มันจะเป็นเงินที่เก็บไว้ยามฉุกเฉินจริงๆ จะเบิกทีนู้นต้องเดินไปธนาคาร แค่ความคิดจะเข้าธนาคารทุกวันนี้ก็เบื่อพอแล้ว 
.
          โดยผมจะฝากเข้าไปเดือนละ 2,000 บาท  โดยมีเป้าหมายเงินฝากอยู่ที่ 40,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในกรณีตกงาน ที่สามารถอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน (ใช้เดือนละ 6000 มาจากค่ากิน 4000 ค่าห้อง 2000) โดยไม่ต้องทำงาน (เท่านี้ผมก็คิดว่าผมปลอดภัยจากการตกงานระดับนึงแล้ว)  
.
บัญชีที่ 3 บัญชีฟุ้มเฟือย 
.
         ผมใช้บัญชีอิเล็กทรอนิกส์ Me by tmb ใช้สำหรับไว้ซื้อของที่อยากได้ โดยจะโอนเงินเข้ามาเดือนละ 2000 บาท ถ้าเงินไม่มีก็ไม่ซื้อ ผมถือคติ ให้ตายไงก็ไม่ผ่อน  และส่วนใหญ่ผมจะซื้อของมือสองทั้งหมด เพราะหลายครั้งได้ราคาถูก ในสภาพเหมือนใหม่ ซึ่งตลอด 2 ปี ที่ผ่านมา ผมก็สามารถซื้อได้ทั้ง มอเตอร์ไซต์ กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ นาฬิกาออกกำลังกาย  รวมทั้งได้เก็บเงินท่องเที่ยวญี่ปุ่น ก็จากเงินก้อนนี้ 
.
          ดังนั้นคนที่อ่านไม่ต้องกลัวว่า ผมจะใช้ชีวิตอย่างลำบาก ขัดสนเลย ผมมีความสุขดี เพราะตลอด 2 ปีที่ผ่านมานี้ เงินเดือนละ 2,000 สามารถเสกความสุข ความสนุก ให้ผมได้อย่างเต็มที่ หากเราใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผมออกเดินทางแทบ 1 เดือนทริป แบบ backpacker ตลอดปีที่ผ่านมา 
(https://pantip.com/topic/39412307 กระทู้ที่ไปญี่ปุ่นมา)
.
บัญชีที่ 4 บัญชีเงินลงทุน 
.
          เดือนละ 3000 บาท ผมเริ่มศึกษาการลงทุนในหุ้นตั้งแต่เรียนจบ อาศัยลองผิด ลองถูกด้วยตนเอง จนทุกวันนี้ภูมิใจมาก ขาดทุนไปเกือบ 20 % -.-  แลกมาด้วยความรู้ที่ได้รับมาก็คุ้ม ผมรู้สึกไม่เสียดายที่ขาดทุน เพราะ มันเป็นเงินจำนวนไม่มาก แถมเราก็ยอมรับ การตัดสินใจที่มาจากตัวเราเอง ไม่ใช่ไปลงทุนตามคนอื่น (ถึงวันนี้ขาดทุนอยู่ ใช่ว่าวันข้างหน้าจะไม่ได้กำไร)
.
          โดยผมเริ่มปรับการลงทุน ย้ายเงินบางส่วนมาซื้อกองทุนด้วย เพราะมันวิเคราะห์ง่ายกว่าซื้อหุ้นเอง (แต่ก็คิดว่ายากอยู่ดี ไม่ใช่หลับตาซื้อได้เลย) เงินบัญชีนี้สำหรับผมมีเป้าหมายคือ สร้างความมั่งคั่งให้กับผมในอีก 20 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย ฟังดูห่างไกล แต่ก็เป็นฝันที่ถ้ามันสำเร็จ ก็คงภูมิใจไม่น้อยเมื่อเทียบกับเวลา 
.
           การลงทุนสำหรับผมไม่ได้จำกัดอยู่แค่หุ้น แค่เงิน เคยคุยกับน้องคนหนึ่ง เขาบอกว่าเขาสนใจวางแผนทางการเงิน แต่เขาชอบปลูกต้นไม้ ผมเลยแนะนำไปว่า การปลูกต้นไม้ก็ถือว่าเป็นการลงทุนนะ แถมเป็นการลงทุนที่เป็นตัวเป็นตนมากกว่าอีก  ให้ตายอย่างไรก็ยังเก็บดอกออกผล มากินได้ ต่อให้เศรษฐกิจจะแย่ขนาดไหนก็ไม่อดตาย แต่ทั้งนี้ผมเชื่อว่าคุณจะลงทุนอะไรก็ลงไปเถอะ ขอเพียงชอบและเข้าใจมันจริงๆก็พอ ใช้เวลาอยู่กับมันบ่อยๆ เวลาจะเป็นตัวช่วยชั้นดี ให้เราประสบความสำเร็จ ผมเชื่ออย่างนั้น
.
          ลืมบอกไปอีกข้อหนึ่ง การลงทุนยังหมายรวมถึง การศึกษาในตัวเองด้วย ผมมักจะซื้อหนังสือ (ตอนี้อ่านอยู่ 2 หมวดคือ 1 การลงทุนในหุ้น ใช้สำหรับเรื่องการเงินของเรา และ 2 หมวดวรรณกรรม ใช้สำหรับเป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิต)  ลงเรียนคอร์ส หรืออะไรต่างๆนานาที่พัฒนาตัวเอง จากเงินส่วนนี้ การลงทุนในตัวเองสำคัญที่สุดในวัยเริ่มต้น  และไม่มีคำว่าขาดทุนแน่นอน  ถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็จงลงทุนกับตัวเองนี่แหละดีที่สุด
.
บัญชีที่ 5 ผมโอนเงินให้แม่เริ่มจากเดือนละ 2,000 บาท โดยบอกกับตัวเองว่าจะขึ้นเงินให้ได้ทุกปี ปีละ 500 บาท  ปัจจุบันผมก็ให้แม่เดือนละ 3000 บาท 
.
บัญชีที่  6  จ่ายค่าห้องเฉลี่ยกับแฟนเดือนละ 3,000 บาท รวมน้ำไป ของกองกลาง ผมเลือกอาศัยหอพักไม่ไกลจากที่ทำงานนัก ค่าห้องเดือนละ 3500 ไม่มีแอร์ ค่าน้ำค่าไฟ ไม่เกิน 400 บาท  
.
         มีคนชอบมาบอกกับผมเสมอว่า ทำไมไม่ซื้อคอนโด เช่าเขาเสียตังฟรี ผมกับไม่ได้คิดอย่างนั้น เพราะผมมองว่า มันเร็วไปที่เราจะซื้อของชิ้นใหญ่ การซื้อของชิ้นใหญ่ๆ จะผูกมัดตัวเราให้ไปทำอะไรแปลกใหม่ไม่ได้ เพราะเราจะกลัวความไม่แน่นอน กลับกันวันนี้ผมเช่าห้องอยู่ วันข้างหน้าผมอยากจะไปเรียนเมืองนอก เปลี่ยนที่ทำงาน หรือจะไปทำอะไร ผมก็สามารถทำได้ ไม่ต้องมาห่วงเรื่องผ่อน เพราะค่าเช่าเดือนละ 2-3 พัน ผมว่าคุ้มกับการซื้อเวลา ซื้ออิสรภาพ ในการค้นหาตัวเอง  
         ผมคิดว่าเรื่องคอนโดสำหรับผม คงค่อยมาคิดเมื่อวัย 30 ในวัยที่ผมเรียนรู้ เพิ่มทักษะตัวเองจนครบถ้วน วันนั้นการซื้อคอนโดเล็กๆ สำหรับผม คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ และไม่เป็นภาระจนเกินไปนัก เมื่อเทียบกับตอนนี้ (ผมคิดไว้ว่าจะซื้อคอนโดสักราคา 1.5 ล้าน ในวันที่เงินเดือนเกิน 35K )
.
สรุปกันอีกที
ค่ากิน 4000 บาท
เก็บออม 2000 บาท
ลงทุน 3000 บาท
ฟุ้มเฟือย 2000 บาท
ให้แม่  2000 บาท
ค่าห้อง 3000 บาท
16000 บาท   ทั้งหมด 4 บัญชี ไม่มีเงินส่วนไหนอยู่ปนกันเลย
.
           พอดิบพอดี  ไม่ขาดไม่เกิน และจะไม่มีทางให้แต่ละบัญชีมาปนกัน มันจะไม่เกิดเหตุการณ์เงินกินหมด และมาขอยืมเงินออม แต่มันจะมีแต่เงินกินเหลือและโอนไปยังเงินลงทุนแทนตังหาก  การทำอย่างนี้เงินเราจะเป็นสัดส่วน มีระเบียบ  และเห็นพัฒนาการชัดเจน
.
.
แผนการเงินปัจจุบัน

ค่ากิน 4000 เท่าเดิม (เคยอ่านเจอมาว่า ถ้าคุณกินให้ได้เท่ากับวันแรกที่คุณทำงาน คุณจะมีเก็บมากขึ้น)
เก็บออม 6000 บาท (กำลังตั้งใจเก็บเงินเรียนอยู่)
ลงทุน 4000 บาท (กองทุนดัชนี 2500 ซื้อหุ้นเอง 1500 ) 
ฟุ้มเฟือย 1500 ลดลง 500 เพราะได้ของที่อยากได้หมดแล้ว และเอาเงินไปทุ่มเรียน
ให้แม่ 3000 บาท
ค่าห้อง 2000 บาท ลดลง 1000 (เพราะมีเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องครบถ้วน)
.
         ผมถือคติที่ว่า อันไหนเท่าเดิมได้ไม่เพิ่ม อันไหนลดได้ลด อันไหนเพิ่มแล้วเป็นประโยชน์อย่าไปงก  ผมจะทำการปรับแผนการเงินของตนเองทุกปี โดยคาดหวังการปรับเงินเดือนประมาณปีละ 10% หากเป็นไปได้ 
.
         สุดท้าย ขอแชร์แผนการเงินในอนาคต และหลักคิดของแต่ละส่วนให้ฟัง เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ โดยหลักคิดที่สำคัญที่สุดของผมก็คือ

"ชาตินี้กูจะไม่เป็นหนี้ใคร มีแค่ไหนก็กิน ก็อยู่แค่นั้น มีความสุขอยู่กับที่มี  และหาความสุขจากสิ่งที่ไม่ได้ใช้เงิน"
.
 ค่ากิน
         ผมวางแผนไว้ว่าจะคงเดิมในระดับเงินเท่านี้ให้ได้นานที่สุด เพราะปกติผมเป็นคนไม่กินพวก ชา กาแฟ อยู่แล้ว แต่จุดสำคัญของข้อนี้คือ ห้ามอด และกินแต่อาหารที่มีประโยชน์ไม่แพงเกินไป อย่างของผมปัจจุบันนี้ ผมจะแวะตลาดทุกเช้าซื้อแกงถุงละ 20-30 2 ถุง กินสองมื้อ เน้นผัก 1 อย่าง เนื้อ1 อย่างพอ ส่วนระหว่างวันก็มีกินผลไม้ นม ชาร้อน ผลัดเปลี่ยนกันไปบ้าง เพื่อสุขภาพ  ที่สำคัญอย่าลืมออกกำลังกายด้วยนะ ส่วนมื้อเย็นวันไหนมีเวลาก็ทำกับข้าวกิน  วันไหนไม่มีเวลาก็ตามสั่ง

เก็บออม 
         ผมจะคงอัตราเงินฉุกเฉินให้ได้ 6 เดือนตลอด  โดยในอนาคตอาจขยับขึ้นเป็น 1 ปี เพื่อความปลอดภัย โดยในระหว่างที่เงินมันครบแล้ว ผมก็จะเก็บเงินไปเรียนอยู่ โดยวางแผนไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศสัก 1 ปี
.
ลงทุน 
         ข้อนี้ผมจะหาทางเพิ่มจำนวนเงินให้ได้ทุกปี และหากได้โบนัสประจำปีมา ก็จะมาใส่ไว้เรื่อยๆ  โดยผมยึดหลักเริ่มจากเงินน้อยๆ เจ็บก็เจ็บไม่หนัก ให้ความผิดพลาดเป็นครูสอน และผมมักจะติดหนังสือการลงทุนไว้อ่านเพิ่มเติมเสมอ ผมมีแผนอยากสร้างพอร์ตให้มีมูลค่า 2-3 ล้าน  โดยหวังปันผลปีละ 5 % ผมคิดว่าด้วยเงินจำนวนเท่านี้ (ปันละปีละ 100,000 บาท)  ผมจะสามารถมีอิสรภาพทางการเงิน อาจไม่ 100% แต่ผมก็คิดว่าสามารถเลือกทำในสิ่งที่รักได้อย่างสบายแล้ว หากมีเงินเข้ามาเรื่อยๆ เพราะผมกินน้อย ใช้น้อยเป็นทุนเดิม
.
ฟุ้มเฟือย 
         ข้อนี้ไม่รู้เป็นโชคดีของผมไหม เสื้อผ้าผมไม่ซื้อ โทรศัทพ์ผมไม่อยากได้  คือผมไม่ค่อยมีความต้องการวัตถุมากนัก (ได้แนวคิดนี้มาจาก การใส่ใจต่อภาวะโลกร้อน) ผมมักจะหมดเงินไปกับการเดินทาง หรือสิ่งของที่ผมชอบจริงๆ เช่น กล้อง โนคบุค เป็นของที่ผมซื้อมาแล้วสามารถหาประโยชน์จากมันต่อได้อีกด้วย ด้วยแผนของข้อนี้ก็คงจำนวนเงินเท่าเดิมไว้เรื่อยๆ เพราะ 2 สิ่งที่ผมอยากได้จริงๆก็คงเป็น บ้านหรือคอนโดเล็กๆสัก 1 ที่ รถคันเล็กๆ สัก 1 คัน ที่บอกกับตัวเองไว้ว่า ถ้ามีตังก็ซื้อ ไม่มีตัง กูก็อยู่ของกูอย่างนี้ได้ไม่เดือดร้อนอะไร
.
***note****
1.ผมไม่ใช้บัตรเครดิต ถึงแม้บางคนบอกว่าคุ้ม แต่ผมไม่รู้จักมันดีพอ ผมเลยเลือกไม่ใช้
2. ผมไม่ใช้เบอร์มือถือรายเดือน เพราะมองว่าคุมค่าใช้จ่ายยาก ผมเลือกใช้ซิมอินเตอร์เน็ตรายปี จ่ายครั้งเดียวจบเลย (แต่มีเบอร์หลักแบบเติมเงินที่ใช้งานมาหลายปีแล้ว)
3. ก่อนซื้อของทุกชิ้น ผมจะพยายามยืดระยะเวลาซื้อออกไปให้นานที่สุด ถึงแม้มันจะทำไม่ค่อยได้ แต่ก็มีหลายอย่างที่พอเรารอไปสักพัก พอกลับมาก็ไม่อยากซื้อมันเสียแล้ว
4. หากมีเงินเหลือเงินเพิ่มพิเศษ เช่นโบนัส ผมก็จะแบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ  ผมพยายามจะไม่บ้ากับการลงทุน หรือออมมากจนเกินไป จนไม่ได้เอาเงินมาใช้เพื่อความสุขบางอย่างที่พอหาได้ ด้วยเงินน้อยๆ เช่น อ่านหนังสือที่ชอบ ออกเดินทางทริปนึง 1000 - 1500 บาท หรือหมดเงินไปกับการเล่นกีฬาต่างๆที่ผมชอบเล่น
.
         หวังว่ามันคงจะไม่ยากไปนะสำหรับทุกคน ผมว่ามันไม่ยากหรอก จะมียากก็ตรง ส่วนของการลงทุนที่จำเป็นต้องศึกษาจริงๆ นอกนั้นวินัยล้วนๆ ขอให้โชคดี อย่าเป็นหนี้ แล้วชีวิตจะอิสระเสรี กันถ้วนหน้าทุกคน
 .
.
กระทู้อื่นๆ
หางานให้ได้งาน สำหรับเด็กจบใหม่ (ฉบับโคตรละเอียด)         https://pantip.com/topic/40019394
จากวันแรก จนถึงวันสุดท้ายที่ตัดสินใจลาออก จากบริษัทแรก  https://pantip.com/topic/39988592
"เงามืด" ของการทำงานบริษัทเอกชน          https://pantip.com/topic/39844699

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่