กลางเดือนกรกฎาคม 2563 นี้ ดาวพระเคราะห์ใหญ่สองดวงคือดาวพฤหัสบดี (5) และดาวเสาร์ (7) ซึ่งกำลังโคจรย้อนวิถีจักรอยู่ในราศีมกรจะยกกลับสู่ราศีธนู โดยวันที่ 12 ก.ค. พระเสาร์ (7) จะยกเข้าสู่ราศีธนูในเวลา 22.07 น. และวันที่ 17 ก.ค. ดาวพฤหัสบดี (5) จะยกเข้าราศีธนูเวลา 18.54 น. และดาวทั้งคู่จะโคจรย้อนจักรในราศีธนูต่อไปจนถึงกลางเดือนกันยายน จึงเปลี่ยนวิถีโคจรเดินหน้าเป็นปกติ
ในราศีธนูซึ่งเป็นภพที่ ๙ ในพื้นชะตาเมืองนั้นมีดาวพฤหัสบดี (๕) และพระเสาร์ (๗) เดิมสถิตสถาพรอยู่ตั้งแต่ครั้งวางเสาร์หลักเมืองกรุงเทพมหานครฯ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 ซึ่งขณะนั้นดาวทั้งคู่ก็กำลังแปรวิถีจักรพักร์องศาอยู่เช่นกัน ฉะนั้น การโคจรย้อนวิถีจักรในราศีธนูของดวงดาวทั้งสองในระยเวลานี้จึงเป็นวิถีโคจรเดียวกันกับดาวพฤหัสฯ และดาวเสาร์ในพื้นชะตาเมือง
“ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวตัวแทนของระบบทุนนิยม และเป็นดาวแห่งผลประโยชน์ของประเทศ ส่วนดาวเสาร์ เป็นดาวที่มีลักษณะของการจำกัด ตระหนี่ถี่เหนียว อนุรักษ์นิยม ยังหมายถึงผู้ใช้แรงงาน โรงงานอุตสาหกรรม เกษตรกรรม เมื่อโคจรวิปริตก็ย่อมส่งผลถึงผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า การลงทุน ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศที่จะต้องล่าช้า ต้องทบทวน ต้องชะลอหรือเลื่อนออกไป การขาดหายไปของเม็ดเงินลงทุนจากภาคเอกชน การค้าของประเทศที่ลดลงหรือชะลอตัวลงจากการยกเลิกคำสั่งซื้อ ตลอดจนการจำกัดการใช้จ่ายและการบริโภคของภาคประชาชน เนื่องจากไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ ปรากฏการณ์ดังกล่าวยังส่งผลต่อภาวะการจ้างงานที่ลดลงจนถึงการปลดคนงานโดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมจะมีการปิดโรงงานและลอยแพพนักงานเป็นจำนวนมากและส่งผลกระทบต่อกันไปเป็นลูกโซ่ เพราะรายได้ของประชาชนหดหายลงไปเป็นจำนวนมาก การทำธุรกิจ ทำมาค้าขายจะอยู่ในภาวะฝืดเคืองอย่างมาก”
ข้อความพยากรณ์ในเครื่องหมายคำพูดทั้งหมดนี้ ผมได้เขียนไว้ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2563 ในบทความชื่อ ส่องดวงเมืองผ่านดวงดาว ซึ่งได้นำเสนอไว้จำนวน 4 ตอนด้วยกัน ซึ่งมีที่มาจากการใช้ดาวพฤหัสบดี (5) และดาวเสาร์ (7) ที่กำลังโคจรร่วมกันในราศีธนู และปรากฏการณ์ที่ดาวทั้งสองได้โคจรทับดาวพฤหัสฯ (๕) และดาวเสาร์ (๗) เดิมในพื้นชะตาเมืองมาเป็นเครื่องมือในการพยากรณ์
ในคัมภีร์โหราศาสตร์ชะตาเมืองได้กล่าวถึงการโคจรมาต้องกัน ไม่ว่าจะมาเล็งกันหรือร่วมกันของดวงดาวคู่นี้ไว้ว่า เป็นคู่แห่งความอัตคัดขาดแคลน ความฝืดเคือง เมื่อมาสัมพันธ์สนิทแนบแน่นกันก็ก่อให้เกิดความวิตถารแก่บ้านเมือง เช่น ทำให้เกิดแผ่นดินไหว เกิดโรคระบาด และในฐานะที่ลัคนาเมืองสถิตอยู่ในราศีเมษ การโคจรมาสัมพันธ์กันทั้งดาวจรและดาวเดิมในพื้นดวงเมืองก็จะทำให้บังเกิดลาภแก่ประชาชนพลเมือง แต่ก็เป็นไปแบบทุกข์ลาภ คือ ลาภที่ได้มานั้นจะทำให้เกิดความทุกข์ยากในภายหลัง ซึ่งเราต่างก็ได้เห็นกันแล้วว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ผิดไปจากคำพยากรณ์เลยและทุกข์ลาภที่รออยู่ข้างหน้าก็คือหนี้ก้อนโตที่รัฐบาลได้กู้มาเพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนนั่นเอง
ฉะนั้น นับตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไปที่ดาวทั้งสองได้โคจรย้อนกลับเข้าสู่ราศีธนูและจะมาทับดาวพฤหัสฯ และดาวเสาร์เดิมในพื้นดวงเมือง ก็คงต้องระวังเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วจะกลับมาเกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะโรคระบาดที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก แม้ว่าประเทศไทยจะควบคุมได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นในหลายประเทศที่โรคร้ายกลับมาระบาดเป็นรอบที่สอง หากดูในเกณฑ์ทางโหราศาสตร์ก็ต้องระมัดระวังให้มากในช่วงวันที่ 3 ส.ค. - 2 ก.ย. ซึ่งดาวศุกร์ (6) โคจรเข้าสู่ราศีมิถุนแล้วมาเล็งฉกาจกับพระเสาร์ (๗) เดิมในพื้นดวงเมืองและพระเสาร์จร (7) ที่โคจรย้อนจักรอยู่ในราศีธนู มีบทพยากรณ์อยู่ว่า
“เสาร์ถูกพระเคราะห์ศุกร์ ปะทะทุกข์พยาธิเยือน โรคร้ายมลายเลือน ก็จะกลายจะกลับเป็น
โจรภัยเขม้นมอง อริปองกระทำเข็ญ อายุบ่ยืนเย็น มฤตย์ภัยและเร่งเกรง”
หากเป็นชะตาคนก็ต้องบอกว่าโรคเก่าจะกำเริบ เมื่อเป็นชะตาเมืองก็หมายความว่ามีโอกาสเป็นอย่างมากที่โรคร้ายที่ได้สงบลงไปนั้นจะกลับมาระบาดอีกครั้งอย่างฉับพลันไม่ทันคาดคิด
นอกจากนี้ การที่พระเสาร์จร (7) มาทับพระเสาร์ (๗) เดิมในพื้นดวงเมือง ก็เป็นเกณฑ์ให้โทษร้ายแรง
“เสาร์ถึงสถิตเสาร์ ปะทะกันและกันเอง โทษทุกข์แต่ปางเพรง ก็จะก่อจะเกิดมี
สิ่งสินระส่ายทรัพย์ ภยทับระทมทวี เกรงอายุชนม์ชีวี จะพินาสประไลยตู”
เมื่อพระเสาร์โคจรมาทับตัวเองเข้า หากเป็นชะตาคนก็พอจะพยากรณ์ได้ว่า เคยทำความผิดอะไรไว้ในอดีตก็ถึงเวลาต้องชดใช้ รับกรรมที่ก่อเอาไว้ เมื่อเป็นชะตาเมืองก็พอจะพยากรณ์ได้ว่า ความทุกข์ที่เคยมีเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตจะหวนกลับมาให้โทษ ทำให้เกิดความทุกข์อีกครั้ง จะสิ้นเปลืองและเดือดร้อนเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ความทุกข์ถาโถมเข้ามาทับถมจนทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ง่ายๆ
ราศีธนู ภพที่ ๙ ในดวงเมือง หมายถึงการต่างประเทศ การเดินทางไกล ที่พึ่ง ความสำเร็จ ฯลฯ เมื่อคู่ดาวแห่งความฝืดเคือง อัตคัดขาดแคลนเข้ามาโคจรร่วมกันเช่นนี้ การจะหวังพึ่งพารายได้ ผลประโยชน์จากต่างประเทศจึงยังคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งเรื่องการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ การส่งออกสินค้า การลงทุนจากต่างชาติ ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ อย่างน้อยก็กินเวลาไปถึงสิ้นปี 2563
พล พยากรณ์
ส่องดวงเมืองผ่านดวงดาว (ตอนที่ 6) โดย พล พยากรณ์
ในราศีธนูซึ่งเป็นภพที่ ๙ ในพื้นชะตาเมืองนั้นมีดาวพฤหัสบดี (๕) และพระเสาร์ (๗) เดิมสถิตสถาพรอยู่ตั้งแต่ครั้งวางเสาร์หลักเมืองกรุงเทพมหานครฯ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 ซึ่งขณะนั้นดาวทั้งคู่ก็กำลังแปรวิถีจักรพักร์องศาอยู่เช่นกัน ฉะนั้น การโคจรย้อนวิถีจักรในราศีธนูของดวงดาวทั้งสองในระยเวลานี้จึงเป็นวิถีโคจรเดียวกันกับดาวพฤหัสฯ และดาวเสาร์ในพื้นชะตาเมือง
“ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวตัวแทนของระบบทุนนิยม และเป็นดาวแห่งผลประโยชน์ของประเทศ ส่วนดาวเสาร์ เป็นดาวที่มีลักษณะของการจำกัด ตระหนี่ถี่เหนียว อนุรักษ์นิยม ยังหมายถึงผู้ใช้แรงงาน โรงงานอุตสาหกรรม เกษตรกรรม เมื่อโคจรวิปริตก็ย่อมส่งผลถึงผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า การลงทุน ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศที่จะต้องล่าช้า ต้องทบทวน ต้องชะลอหรือเลื่อนออกไป การขาดหายไปของเม็ดเงินลงทุนจากภาคเอกชน การค้าของประเทศที่ลดลงหรือชะลอตัวลงจากการยกเลิกคำสั่งซื้อ ตลอดจนการจำกัดการใช้จ่ายและการบริโภคของภาคประชาชน เนื่องจากไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ ปรากฏการณ์ดังกล่าวยังส่งผลต่อภาวะการจ้างงานที่ลดลงจนถึงการปลดคนงานโดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมจะมีการปิดโรงงานและลอยแพพนักงานเป็นจำนวนมากและส่งผลกระทบต่อกันไปเป็นลูกโซ่ เพราะรายได้ของประชาชนหดหายลงไปเป็นจำนวนมาก การทำธุรกิจ ทำมาค้าขายจะอยู่ในภาวะฝืดเคืองอย่างมาก”
ข้อความพยากรณ์ในเครื่องหมายคำพูดทั้งหมดนี้ ผมได้เขียนไว้ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2563 ในบทความชื่อ ส่องดวงเมืองผ่านดวงดาว ซึ่งได้นำเสนอไว้จำนวน 4 ตอนด้วยกัน ซึ่งมีที่มาจากการใช้ดาวพฤหัสบดี (5) และดาวเสาร์ (7) ที่กำลังโคจรร่วมกันในราศีธนู และปรากฏการณ์ที่ดาวทั้งสองได้โคจรทับดาวพฤหัสฯ (๕) และดาวเสาร์ (๗) เดิมในพื้นชะตาเมืองมาเป็นเครื่องมือในการพยากรณ์
ในคัมภีร์โหราศาสตร์ชะตาเมืองได้กล่าวถึงการโคจรมาต้องกัน ไม่ว่าจะมาเล็งกันหรือร่วมกันของดวงดาวคู่นี้ไว้ว่า เป็นคู่แห่งความอัตคัดขาดแคลน ความฝืดเคือง เมื่อมาสัมพันธ์สนิทแนบแน่นกันก็ก่อให้เกิดความวิตถารแก่บ้านเมือง เช่น ทำให้เกิดแผ่นดินไหว เกิดโรคระบาด และในฐานะที่ลัคนาเมืองสถิตอยู่ในราศีเมษ การโคจรมาสัมพันธ์กันทั้งดาวจรและดาวเดิมในพื้นดวงเมืองก็จะทำให้บังเกิดลาภแก่ประชาชนพลเมือง แต่ก็เป็นไปแบบทุกข์ลาภ คือ ลาภที่ได้มานั้นจะทำให้เกิดความทุกข์ยากในภายหลัง ซึ่งเราต่างก็ได้เห็นกันแล้วว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ผิดไปจากคำพยากรณ์เลยและทุกข์ลาภที่รออยู่ข้างหน้าก็คือหนี้ก้อนโตที่รัฐบาลได้กู้มาเพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชนนั่นเอง
ฉะนั้น นับตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไปที่ดาวทั้งสองได้โคจรย้อนกลับเข้าสู่ราศีธนูและจะมาทับดาวพฤหัสฯ และดาวเสาร์เดิมในพื้นดวงเมือง ก็คงต้องระวังเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วจะกลับมาเกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะโรคระบาดที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก แม้ว่าประเทศไทยจะควบคุมได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นในหลายประเทศที่โรคร้ายกลับมาระบาดเป็นรอบที่สอง หากดูในเกณฑ์ทางโหราศาสตร์ก็ต้องระมัดระวังให้มากในช่วงวันที่ 3 ส.ค. - 2 ก.ย. ซึ่งดาวศุกร์ (6) โคจรเข้าสู่ราศีมิถุนแล้วมาเล็งฉกาจกับพระเสาร์ (๗) เดิมในพื้นดวงเมืองและพระเสาร์จร (7) ที่โคจรย้อนจักรอยู่ในราศีธนู มีบทพยากรณ์อยู่ว่า
“เสาร์ถูกพระเคราะห์ศุกร์ ปะทะทุกข์พยาธิเยือน โรคร้ายมลายเลือน ก็จะกลายจะกลับเป็น
โจรภัยเขม้นมอง อริปองกระทำเข็ญ อายุบ่ยืนเย็น มฤตย์ภัยและเร่งเกรง”
หากเป็นชะตาคนก็ต้องบอกว่าโรคเก่าจะกำเริบ เมื่อเป็นชะตาเมืองก็หมายความว่ามีโอกาสเป็นอย่างมากที่โรคร้ายที่ได้สงบลงไปนั้นจะกลับมาระบาดอีกครั้งอย่างฉับพลันไม่ทันคาดคิด
นอกจากนี้ การที่พระเสาร์จร (7) มาทับพระเสาร์ (๗) เดิมในพื้นดวงเมือง ก็เป็นเกณฑ์ให้โทษร้ายแรง
“เสาร์ถึงสถิตเสาร์ ปะทะกันและกันเอง โทษทุกข์แต่ปางเพรง ก็จะก่อจะเกิดมี
สิ่งสินระส่ายทรัพย์ ภยทับระทมทวี เกรงอายุชนม์ชีวี จะพินาสประไลยตู”
เมื่อพระเสาร์โคจรมาทับตัวเองเข้า หากเป็นชะตาคนก็พอจะพยากรณ์ได้ว่า เคยทำความผิดอะไรไว้ในอดีตก็ถึงเวลาต้องชดใช้ รับกรรมที่ก่อเอาไว้ เมื่อเป็นชะตาเมืองก็พอจะพยากรณ์ได้ว่า ความทุกข์ที่เคยมีเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตจะหวนกลับมาให้โทษ ทำให้เกิดความทุกข์อีกครั้ง จะสิ้นเปลืองและเดือดร้อนเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ความทุกข์ถาโถมเข้ามาทับถมจนทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ง่ายๆ
ราศีธนู ภพที่ ๙ ในดวงเมือง หมายถึงการต่างประเทศ การเดินทางไกล ที่พึ่ง ความสำเร็จ ฯลฯ เมื่อคู่ดาวแห่งความฝืดเคือง อัตคัดขาดแคลนเข้ามาโคจรร่วมกันเช่นนี้ การจะหวังพึ่งพารายได้ ผลประโยชน์จากต่างประเทศจึงยังคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งเรื่องการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ การส่งออกสินค้า การลงทุนจากต่างชาติ ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ อย่างน้อยก็กินเวลาไปถึงสิ้นปี 2563