สวัสดีครับ คือพ่อของผมมีค่าน้ำตาลที่ค่อนข้างสูง และถูกวินิจฉัยว่ามีความเสี่ยงสูงในการเป็นเบาหวาน ตอนนี้คุณพ่อของผมท่านอายุ 64 ปีแล้ว
ปัญหาคือ ทุกๆครั้งที่ผมชวนคุณพ่อคุยเรื่องสุขภาพ ท่านจะคอยบ่ายเบี่ยงตลอด คุยกันได้ไม่ถึง 1 นาทีก็จะลุกเดินหนี หรือถ้าเดินหนีไม่ได้ก็จะอืมๆ (ทำเป็นฟัง) แล้วหาจังหวะเปลี่ยนเรื่อง คือสรุปได้ว่าแทบไม่เคยได้พูดคุยกันเรื่องสุขภาพและการดูแลสุขภาพจริงๆจังๆเลยซักครั้ง
แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมพยายามจะอธิบายว่าพฤติกรรมของเค้ามันเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานนะ เค้าก็จะพยายามหาข้ออ้าง โดยใช้ fact จากคุณหมอมาอ้างตลอดเพื่อให้ตัวเองถูก (ตรงนี้อาจจะงงๆ อย่าเพิ่งงงนะครับ เดี๋ยวยกตัวอย่างให้ฟัง)
อย่างเช่น เค้ามีพฤติกรรมกินอาหารตอนดึกเป็นประจำ เวลาโดยเฉลี่ยคือ 3 ทุ่ม ซึ่งผมพยายามโน้มน้าวให้เค้าเปลี่ยนเวลาในการกินให้เร็วขึ้นดีมั้ย? เพราะการกินอาหารตอนดึกมันไม่ดี เค้าก็จะบอกว่า "แต่หมอบอกว่ากินดึกไม่เป็นไรนะ" (ตรงนี้ผมไม่ได้สงสัยในตัวคุณหมอนะ ผมว่าข้อมูลของคุณพ่อผมน่าจะ based on คำแนะนำของคุณหมอล้วนๆ ตรงไหนที่คุณหมอไม่ได้ติหรือห้าม คุณพ่อผมอาจจะมองว่ามันไม่ใช้ปัญหาอะไรที่ควรเปลี่ยน) ผมจึงบอกว่ามันมีงานวิจัยจริงๆนะ ที่บอกว่าการกินดึกมันส่งผลเสียต่อระบบเผาผลา... - ผมพูดยังไม่จบประโยค คุณพ่อผมก็เดินหนีไปแล้ว (ซึ่งเอาจริงๆผมพยายามโน้มน้าวให้คุณพ่อผมเปลี่ยนพฤติกรรมการกินมาตั้งแต่ผมอยู่ม.ปลาย จนตอนนี้ผมอยู่ปี 4 ก็ยังไม่สำเร็จ)
ผมเลยลองเข้าหาด้วยวิธีอื่น ลองทั้งเปลี่ยนวิธีการกินตัวเองให้ดู ให้เค้ารู้นะว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินมันง่ายนิดเดียว แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะพ่อไม่ชอบรสชาติอาหารสุขภาพ ลองทั้งอธิบายข้อดีของการดูแลสุขภาพ ก็ไม่ได้ผล ลองจนถึงขั้นที่บอกว่า ผมอยากให้พ่ออยู่กับผมไปนานๆนะ พ่อผมก็เปลี่ยนพฤติกรรมได้ซัก 2 สัปดาห์ก็กลับไปทำพฤติกรรมเหมือนเดิม
ถ้าพูดตรงๆคือผมทั้งเครียด เป็นห่วง แล้วก็จนปัญญาในเวลาเดียวกัน ผมไม่รู้จริงๆว่าจะโน้มน้าวให้เค้าดูแลสุขภาพอย่างไง
ทำอย่างไงให้พ่อวัย 60 กว่าๆหันมาดูแลสุขภาพ?
ปัญหาคือ ทุกๆครั้งที่ผมชวนคุณพ่อคุยเรื่องสุขภาพ ท่านจะคอยบ่ายเบี่ยงตลอด คุยกันได้ไม่ถึง 1 นาทีก็จะลุกเดินหนี หรือถ้าเดินหนีไม่ได้ก็จะอืมๆ (ทำเป็นฟัง) แล้วหาจังหวะเปลี่ยนเรื่อง คือสรุปได้ว่าแทบไม่เคยได้พูดคุยกันเรื่องสุขภาพและการดูแลสุขภาพจริงๆจังๆเลยซักครั้ง
แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมพยายามจะอธิบายว่าพฤติกรรมของเค้ามันเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานนะ เค้าก็จะพยายามหาข้ออ้าง โดยใช้ fact จากคุณหมอมาอ้างตลอดเพื่อให้ตัวเองถูก (ตรงนี้อาจจะงงๆ อย่าเพิ่งงงนะครับ เดี๋ยวยกตัวอย่างให้ฟัง)
อย่างเช่น เค้ามีพฤติกรรมกินอาหารตอนดึกเป็นประจำ เวลาโดยเฉลี่ยคือ 3 ทุ่ม ซึ่งผมพยายามโน้มน้าวให้เค้าเปลี่ยนเวลาในการกินให้เร็วขึ้นดีมั้ย? เพราะการกินอาหารตอนดึกมันไม่ดี เค้าก็จะบอกว่า "แต่หมอบอกว่ากินดึกไม่เป็นไรนะ" (ตรงนี้ผมไม่ได้สงสัยในตัวคุณหมอนะ ผมว่าข้อมูลของคุณพ่อผมน่าจะ based on คำแนะนำของคุณหมอล้วนๆ ตรงไหนที่คุณหมอไม่ได้ติหรือห้าม คุณพ่อผมอาจจะมองว่ามันไม่ใช้ปัญหาอะไรที่ควรเปลี่ยน) ผมจึงบอกว่ามันมีงานวิจัยจริงๆนะ ที่บอกว่าการกินดึกมันส่งผลเสียต่อระบบเผาผลา... - ผมพูดยังไม่จบประโยค คุณพ่อผมก็เดินหนีไปแล้ว (ซึ่งเอาจริงๆผมพยายามโน้มน้าวให้คุณพ่อผมเปลี่ยนพฤติกรรมการกินมาตั้งแต่ผมอยู่ม.ปลาย จนตอนนี้ผมอยู่ปี 4 ก็ยังไม่สำเร็จ)
ผมเลยลองเข้าหาด้วยวิธีอื่น ลองทั้งเปลี่ยนวิธีการกินตัวเองให้ดู ให้เค้ารู้นะว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินมันง่ายนิดเดียว แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะพ่อไม่ชอบรสชาติอาหารสุขภาพ ลองทั้งอธิบายข้อดีของการดูแลสุขภาพ ก็ไม่ได้ผล ลองจนถึงขั้นที่บอกว่า ผมอยากให้พ่ออยู่กับผมไปนานๆนะ พ่อผมก็เปลี่ยนพฤติกรรมได้ซัก 2 สัปดาห์ก็กลับไปทำพฤติกรรมเหมือนเดิม
ถ้าพูดตรงๆคือผมทั้งเครียด เป็นห่วง แล้วก็จนปัญญาในเวลาเดียวกัน ผมไม่รู้จริงๆว่าจะโน้มน้าวให้เค้าดูแลสุขภาพอย่างไง