เมื่อธารน้ำแข็งละลาย

ความลับใต้ธารน้ำแข็งนอร์เวย์


(ธารน้ำแข็งแห่งหนึ่งในเขตอ็อปแลนด์ พื้นที่สีเทาอ่อนแสดงบริเวณที่น้ำแข็งละลายในช่วงประมาณ 15 ปีที่ผ่านมา )

คณะนักโบราณคดีจากสหราชอาณาจักรและนอร์เวย์สำรวจขอบธารน้ำแข็งหลายแห่งในอ็อปแลนด์ (Oppland) ซึ่งเป็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในนอร์เวย์มาตั้งแต่ปี 2011 อันเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรโบราณคดีธารน้ำแข็ง (Glacier Archaeology Program) และโครงการความลับของน้ำแข็ง (Secrets of the Ice Project) พบวัตถุนับพัน ๆ ชิ้นที่กำหนดอายุย้อนไปได้ถึงประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในจำนวนนี้มีทั้งสกีไม้ หัวธนูยุคสัมฤทธิ์สภาพเกือบสมบูรณ์ คันธนูไม้ ดาบไวกิ้ง เครื่องนุ่งห่มและกระโหลกฝูงม้า

นักวิจัยประมวลข้อมูลและสรุปเป็นภาพรวมจากการค้นพบครั้งสำคัญนี้ กล่าวคือ จากวัตถุนับพันชิ้น  นักโบราณคดีกำหนดอายุได้ 153 ชิ้น ซึ่งทำให้พบว่าวัตถุเหล่านี้ไม่ได้มีอายุกระจายกันเป็นช่วงเวลาต่อเนื่องยาวนาน วัตถุบางชิ้นอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ขณะที่บางช่วงเวลาแทบจะไม่มีวัตถุของยุคนั้น ๆ เลย

ข้อสรุปอย่างหนึ่งคือ รูปแบบช่วงเวลาที่เกิดจากการกำหนดอายุโบราณวัตถุทำให้ทราบว่ามีกิจกรรมของมนุษย์หนาแน่นในช่วงที่เรียกว่า “ปลายยุคน้ำแข็งน้อยสมัยโบราณ” (Late Antique Little Ice Age) เมื่อประมาณ ค.ศ. 536-660 อันเป็นช่วงเวลาที่หนาวเย็น ผลผลิตทางการเกษตรเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อยและจำนวนประชากรลดลง กระนั้นก็ยังมีวัตถุอีกกลุ่มหนึ่งที่บ่งบอกว่ายังคงมีกิจกรรมของมนุษย์ในการล่าสัตว์บนภูเขา (ส่วนใหญ่เป็นการล่ากวาง) ซึ่งเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรในช่วงอุณหภูมิต่ำลง
 
นอกจากนี้ยังมีวัตถุอีกกลุ่มหนึ่งที่กำหนดอายุได้ระหว่างศตวรรษที่ 8 ถึงศตวรรษที่ 10 อันเป็นช่วงเวลาที่มีกิจกรรมการค้าและการเดินทางที่มากขึ้น ซึ่งต่อมาทำให้เกิดยุคไวกิ้ง (Viking Age)  เมื่อผู้คนในนอร์เวย์เริ่มออกสำรวจดินแดนนอกเหนือจากถิ่นที่อยู่ของตน 

คณะนักสำรวจคาดหวังว่าจะเก็บข้อมูลและรวบรวมโบราณวัตถุให้มากขึ้น เพื่อให้ได้ภาพประวัติศาสตร์โบราณของภูมิภาคสแกนดิเนเวียที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม นอร์เวย์ไม่ใช่สถานที่แห่งเดียวที่พบโบราณวัตถุจากน้ำแข็งอันเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพราะก่อนหน้านี้มีการค้นพบร่างทหารที่สูญหายไประหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ในเขตเทือกเขาแอลป์และมัมมี่อินคาที่โผล่ขึ้นมาจากธารน้ำแข็งในเทือกเขาแอนดีส 

ดาบไวกิ้งที่พบในบริเวณสำรวจ 


คันธนูไม้อายุ 4,000 ปี 


เครื่องใช้ประจำวันซึ่งชนพื้นเมืองเผ่ายูปิก (Yupik) 


รวมไปถึงการละลายของดินเยือกแข็งคงตัวที่รัฐอะแลสกาของสหรัฐฯ ทำให้พบโบราณวัตถุกว่า 2,500 ชิ้น ทั้งตะกร้าสานและหน้ากากไม้ รวมถึงพบร่าง “มนุษย์น้ำแข็งเอิตซี” (Ötzi the iceman) ซึ่งถือเป็นมัมมี่น้ำแข็งที่มีชื่อเสียงที่สุด

การละลายของน้ำแข็งช่วยให้นักวิจัยค้นพบโบราณวัตถุพร้อมทั้งทำให้เข้าใจวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตที่เผชิญกับสภาพอากาศต่าง ๆ เพื่อการวางแผนรับมือความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้
ขอบคุณที่มา: http://www.gypzyworld.com/article/view/1068
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
https://www.smithsonianmag.com/smart-news/2000-artifacts-pulled-edge-norways-melting-glaciers-180967949/?utm_source=facebook.com&utm_medium=socialmedia
http://sciencenordic.com/viking-arrowheads-emerge-melting-norwegian-glaciers
http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-5298649/2-000-artefacts-Norway-insight-mountain-life.html
Cr. https://board.postjung.com/1077792 / โพสท์โดย กะทิ

สารเคมีที่ใช้ในยาฆ่าแมลง


มีงานวิจัยใหม่ใน AGU’s Journal of Geophysical Research : Atmospheres เผยว่า พบสารเคมีที่ใช้ในยาฆ่าแมลงสะสมอยู่ในธารน้ำแข็งและพืดน้ำแข็งหรือที่เรียกว่าธารน้ำแข็งภาคพื้นทวีปในทั่วโลกเมื่อราว 80 ปีที่แล้ว และพบว่ามีการปล่อยออกมาเพราะธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยเกิดการละลาย อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เสี่ยวผิง หวัง นักธรณีเคมีจากสภาวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน ผู้ทำการวิจัยเผยว่า ภาวะโลกร้อนมีส่วนทำให้ธารน้ำแข็งหิมาลัยเกิดการละลายในอัตราที่ไม่เคยมีมาก่อน และปล่อยมลพิษมาหลายสิบปีเข้าสู่ระบบนิเวศ สารที่เป็นมลพิษได้สะสมในทะเลสาบบนเทือกเขาหิมาลัย สร้างความกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำและการสะสมทางชีวภาพในสัตว์อย่างปลา ในระดับที่อาจเป็นพิษต่อการบริโภคของมนุษย์

การวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่พื้นที่ห่างไกลที่สุดของโลกก็ยังสามารถเป็นแหล่งเก็บกักมลพิษได้ อีกทั้งเปิดประตูให้นักวิทยาศาสตร์ล่วงรู้ถึงการกระจายตัวของสารที่เป็นพิษทั่วโลก ซึ่งธารน้ำแข็งหิมาลัยนั้นมีระดับมลพิษในชั้นบรรยากาศสูงกว่าธารน้ำแข็งในส่วนอื่นๆของโลก เพราะอยู่ใกล้กับเอเชียใต้ที่นักวิจัยระบุว่าเป็นภูมิภาคมีมลพิษมากที่สุดในโลก.
Cr. https://www.thairath.co.th/news/foreign/1632470
 
 

ธารน้ำแข็งแห่งแรกที่ละลายหมด


(ภาพที่เผยแพร่โดยNASA จะเห็นได้ว่าธารน้ำแข็งละลายไปจนเกือบหมดในเวลาเพียง 33 ปี โดยภาพด้านซ้ายถ่ายในปี 1986 ส่วนภาพด้านขวาคือสภาพในปี 2019)

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2562 ชาวไอซ์แลนด์ร่วมไว้อาลัยการสูญเสียธารน้ำแข็งอ็อกโยคุลล์ (Okjokull) ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งแห่งแรกที่ละละลายจนหมดสิ้นเนื่องจากจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าธารน้ำแข็งอีกราว 400 แห่งในไอซ์แลนด์เสี่ยงที่จะพบกับชะตากรรมเดียวกัน นั่นคือถูกโลกร้อนละลายจนหมด
 
การไว้อาลัยครั้งนี้ มีการติดตั้งป้ายอนุสรณ์เขียนคำว่า Okjokull ซึ่งแปลว่า ธารน้ำแข็งอ็อก ปกคลุมภูเขาไฟอ็อกซึ่งอยู่ทางตะวันตกของไอซ์แลนด์ แผ่นโลหะยังจารึกข้อความที่เรียกว่า "จดหมายถึงอนาคต" มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการลดลงของธารน้ำแข็งและผลกระทบของภาวะโลกร้อน
ใจความของจดหมายเขียนไว้ว่า "ในอีก 200 ปีข้างหน้าธารน้ำแข็งของพวกเราทุกคน คาดว่าจะพบกับชะตากรรมเดียวกัน อนุสรณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อยืนยันว่า เราตระหนักและเรารู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และเราต้องทำอะไร มีแต่พวกคุณ (ในอนาคต) เท่านั้นที่จะรู้ว่าเราทำสำเร็จหรือไม่" พร้อมกันนี้มีข้อความ "415 ppm CO2" ซึ่งหมายถึงระดับคาร์บอนไดอ็อกไซด์ที่วัดได้ในเดือนพฤษภาคม 2562

งานนี้ มีสักขีพยานคือนักวิจัยท้องถิ่นและนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไรซ์ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการ นอจากนี้นายกรัฐมนตรีคาทริน ยาค็อบสดอตทีร์ของไอซ์แลนด์ พร้อมด้วยรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม และข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แมรี่ โรบินสัน ก็เข้าร่วมงานนี้ด้วยเช่นกัน

ไซมีน ฮาว รองศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาที่มหาวิทยาลัยไรซ์กล่าวไว้ว่า "นี่จะเป็นอนุสาวรีย์แห่งแรกของธารน้ำแข็งที่สูญเสียไปเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ในโลกนี้" ซึ่งคำกล่าวนี้หมายความว่า แม้แต่ที่ไอซ์แลนด์ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นก็ไม่รอดพ้นจากวิกฤตเช่นกัน
Cr. https://www.posttoday.com/world/598030?fbclid=IwAR2h_MRc43MWTfuX0hkZfR6rQF8l1gGn2cX4_-OZn1VvXtP1Cal30cF3_hc
 

ภูมิประเทศในยุคโบราณ


สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า นาย Simon Pendleton นักศึกษาปริญญาเอก และหนึ่งในทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Colorado Boulder ได้เปิดเผยการวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่า ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนกำลังทำให้ธารน้ำแข็งยุคโบราณในแถบหมู่เกาะ Baffin ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอ่าวฮัตสัน ในประเทศแคนาดากำลังละลายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเริ่มเผยให้เห็นภูมิประเทศใหม่จากยุคโบราณ ที่เคยถูกน้ำแข็งทับถมปกคลุมมานานกว่า 40,000 ปี
รายงานระบุว่า ทีมวิจัยของเขาได้เดินทางไปยังพื้นที่ของเกาะแห่งนี้ เพื่อเก็บตัวอย่างมอส และไลเคนจำนวน 48 ตัวอย่าง ช่วงฤดูร้อนระหว่างปี 2010-2015 ที่ถูกพบหลังจากที่น้ำแข็งละลาย

หลังจากเก็บตัวอย่างดังกล่าวทีมวิจัยของเขาได้นำตัวอย่างเหล่านี้คาดคะเนอายุด้วยวิธี กัมมันตรังสีคาร์บอนคาด (Radiocarbon dating) จึงพบว่า
ตัวอย่างมอสและไลเคนพวกนี้มีอายุมากกว่า  40,000 ปีแล้ว ซึ่งมันปรากฎขึ้นมาหลังจากน้ำแข็งหนาหลายชั้นบนเกาะเริ่มละลายลง

งานวิจัยดังกล่าวซึ่งเปิดเผยในวารสาร Nature Communications ระบุว่า การละลายของน้ำแข็งยังเผยให้เห็นภูมิประเทศ ฟยอร์ด และก้อนหิน จากยุคโบราณที่เผยขึ้นพร้อมกับพืชที่เติบโตในเขตอากาศแบบทุนดรา
นาย Pendleton ยังระบุอีกว่า "สภาพอากาศในแถบอาร์กติกนั้นอุ่นขึ้นเร็วกว่าส่วนอื่นๆของโลก ถึง 2-3 เท่า ซึ่งจะส่งผลให้ธารน้ำแข็งในส่วนอื่นๆละลายเร็วขึ้นเช่นกัน และหากยังเป็นเช่นนี้ น้ำแข็งบนเกาะ Baffin จะละลายหมดในไม่กี่ศตวรรษ"
Cr.ภาพ  NASA
Cr. https://www.posttoday.com/world/578657
 

ภัยคุกคามที่ซุ่มอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง


นักวิทยาศาสตร์ทราบมานานแล้วว่าอุณหภูมิของอากาศที่สูงขึ้นนั้น ส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งของกรีนแลนด์เริ่มละลาย แต่การศึกษาใหม่พบว่ามีภัยคุกคามอื่นที่เริ่มโจมตีน้ำแข็งจากด้านล่าง น้ำทะเลอุ่นๆ เคลื่อนตัวใต้ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ทำให้พวกมันละลายเร็วยิ่งขึ้น  การค้นพบนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร
Nature Geoscience โดยนักวิจัยที่ศึกษาหนึ่งใน “ice tongues” ของธารน้ำแข็ง Nioghalvfjerdsfjorden ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามธารน้ำแข็ง 79° เหนือ ในกรีนแลนด์ตะวันออกเฉียงเหนือ

ice tongues คือแถบน้ำแข็งที่ลอยอยู่บนน้ำโดยไม่แตกออกจากน้ำแข็งบนบก อันที่ใหญ่ที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ศึกษา มีความยาวเกือบ 50 ไมล์
จากการสำรวจพบกระแสน้ำด้านล่าง กว้างกว่าหนึ่งไมล์ซึ่งน้ำอุ่นจากมหาสมุทรแอตแลนติกสามารถไหลไปสู่ธารน้ำแข็งโดยตรง ทำให้เกิดความร้อนจำนวนมากสัมผัสกับน้ำแข็งและเร่งการละลายของธารน้ำแข็ง

นักวิทยาศาสตร์ยังพบกระแสน้ำที่คล้ายกัน ซึ่งไหลอยู่ใกล้กับธารน้ำแข็งของกรีนแลนด์อีกแห่งหนึ่ง ซึ่ง ice tongues ขนาดใหญ่เพิ่งแตกออกและไหลสู่มหาสมุทร
การสูญเสียมวลจากแผ่นน้ำแข็งของกรีนแลนด์ในปัจจุบันเป็นตัวขับเคลื่อนที่ใหญ่ที่สุดของระดับน้ำทะเลทั่วโลก และจากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในเดือนธันวาคม ในวารสาร Nature แผ่นน้ำแข็งของกรีนแลนด์กำลังละลายเร็วกว่าที่เคยเป็นในปี 1992 ถึง 7 เท่า ซึ่งแผ่นน้ำแข็งนี้มีน้ำพอที่จะยกระดับน้ำทะเลทั่วโลกให้สูงขึ้นกว่า 24 ฟุต

นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า อุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์ของอาร์กติกเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ธารน้ำแข็งของกรีนแลนด์สูญเสียพื้นที่น้ำแข็ง 11,000 ตันลงสู่มหาสมุทรในเวลาเพียงหนึ่งวัน หรือเทียบเท่ากับสระว่ายน้ำโอลิมปิกประมาณ 4.4  ล้านสระ ในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียวธารน้ำแข็งของกรีนแลนด์ก็สูญเสียน้ำแข็งไป 197 พันล้านตัน หรือเทียบเท่ากับสระว่ายน้ำโอลิมปิกประมาณ 80 ล้านสระ ตามรายงานของ Ruth Mottram นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศของสถาบันอุตุนิยมวิทยาเดนมาร์ก

อุณหภูมิของน้ำก็ทำลายสถิติในปี 2019 จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Advance Advances in Atmospheric Sciences กล่าวว่าอุณหภูมิของมหาสมุทรปีที่แล้วอยู่ที่ 0.075 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 1981-2010  ผู้มีความรู้ด้านการศึกษากล่าวว่า ความร้อนที่มหาสมุทรดูดซับในวันนี้เทียบเท่ากับการทิ้งระเบิดฮิโรชิมา 5 ลูกลงในทุก วินาทีในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา
ที่มา cnn
Cr.http://realmetro.com/greenlands-glaciers/
 
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่