#รีวิวศึกษาศาสตร์PIM
#ถ้าอ่านจบจะเคลียร์ทุกข้อสงสัยค่ะ
หลายคนมักถามว่าเราว่าเรียนที่ไหน พอตอบว่าเรียนคณะศึกษาศาสตร์ ที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์(PIM อ่านว่า พี-ไอ-เอ็ม)
คนส่วนใหญ่ก็มักจะคิ้วขมวด และสงสัยว่า “เอ๊ะ ! ที่นี่ที่ว่าจบไปแล้วทำงานเซเว่นไม่ใช่หรอ” น่ะ คนถามเข้าใจผิด55555 จริง ๆ แล้ว PIM มีมากกว่า 10 คณะ 21 สาขานะย๊ะคุณพวกเธอ และก็ไม่ได้มีความจำเป็นว่าทุกคนเรียนจบไปแล้วต้องทำงานเซเว่นเด้อ
จริง ๆ เราก็พอจะได้ยินคำถามมากมายจากสังคม และหลาย ๆ คนก็มีความเข้าใจผิดกับทางสถาบัน วันนี้ "เรา" ในฐานะบัณฑิตป้ายแดงของคณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาจีน รหัส58 (พึ่งจบมาได้ 3 เดือน และรอรับปริญญาในปีหน้านี้) อยากมาแชร์ประสบการณ์การเรียนที่ PIM ให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ (เน้นไปทางคณะศึกษาศาสตร์นะคะ ขออนุญาตทุกคนในภาพด้วยค่ะ)
1.คณะศึกษาศาสตร์
ก่อตั้งเมื่อปี 2556 ตอนนี้มีทั้งหมด 2 สาขา
1.สาขาการสอนภาษาจีน(TCL) เริ่มดำเนินจัดการเรียนการสอนในปี 2557 (ตอนนี้มีบัณฑิตจบไป 2 รุ่น)
2.สาขาการสอนภาษาอังกฤษ(ELT) เริ่มดำเนินจัดการเรียนการสอนในปี 2560 (นักศึกษารุ่นแรกกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่4)
**เราเรียนสาขาการสอนภาษาจีน หลักสูตร 5 ปี และได้รับใบประกอบวิชาชีพครู สามารถสอบครูผู้ช่วยได้เช่นกัน
ปัจจุบันถูกปรับเป็น 4 ปี ต้องสอบใบประกอบวิชาชีพเอง เหมือนมหาลัยอื่น ๆ ทั่วไป
2.ค่าเทอม
TCL 34,000 บาท
ELT 38,500 บาท
3.ค่าเทอมแพงขนาดนี้ มีทุนให้มั้ย ?
มีค่ะ ตอนสมัครสอบจะมีการสอบชิงทุน และที่นี่จะมีทุนหลายประเภท (ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์มหาลัย)
ตอนเราเรียนได้รับทุนเจียระไนเพชร จ่าย 2,500 บาท/เทอม (แต่ตอนนี้ปรับเป็น 3,500/เทอม)
มีหลายคนสงสัย
• ถ้าเรียนจบต้องชดใช้ทุนมั้ย ?
ตอบ ไม่ต้องค่ะ สำหรับคณะศึกษาศาสตร์เป็นทุนให้เปล่า
• ถ้าเกรดตกทำยังไง ?
เราต้องจ่ายค่าเทอมในราคาเต็ม แต่ มีความเป็นไปได้ยากมากที่จะรักษาเกรดไม่ได้ เพราะ ถ้าเรารู้ว่าเราเด็กทุน ต้องรักษาเกรด เราก็จะต้องหาและรู้วิธีในการรักษาเกรดอยู่แล้ว (สอบได้ทุนยังยากกว่าการรักษาเกรดอีกนะ)
• ถ้าเป็นเด็กทุนแล้วเรียนไม่จบ ?
ต้องใช้คืนทุนทุกบาท ทุกสตางค์ค่ะ ดังนั้น ต้องมั่นใจว่า เข้ามาแล้วจะรักษาเกรดให้ได้ตลอดการเรียนจนจบการศึกษาให้ได้
• ถ้าไม่ได้ทุนทำยังไง ?
เห็นเพื่อนหลายคนกู้ กยศ. บางคนก็ได้รับทุนจากกองทุน PIM Smart และทางสถาบันก็มีเพจงานพาร์ทไทม์มาป้อนในนักศึกษาบ่อย ๆ (หลายคนก็ทำหลายอย่างพร้อม ๆ กัน ทั้งได้ทุน กู้ กยศ. ทำงานพาร์ทไทม์) ที่สำคัญในช่วงของการฝึกงาน บางสถานประกอบการมีค่าตอบแทนให้อีกด้วย สรุปคือ ทุกอย่างมีตัวเลือกให้ อยู่ที่ว่าเราพร้อมจะทำหรือเปล่า
4.การลงทะเบียนเรียน
ทีนี่เราไม่จำเป็นต้องอดหลับอดนอน หรือแย่งลงทะเบียนกับเพื่อน ๆ คนอื่น ไม่ต้องกลัวว่าจะลงทะเบียนไม่ทัน การลงทะเบียนของที่นี่สะดวกมาก เพราะทางเว็บไซต์ก็มีการจัดตารางในแต่ละเทอมให้เราเรียบร้อย ว่าเทอมนี้จะต้องเรียนกี่หน่วยกิต วิชาอะไรบ้าง นักศึกษาในคณะก็จะเรียนด้วยกัน และพร้อมกันหมดทุกคน เลือกเวลาเองไม่ได้ และแน่นอนว่า คณะศึกษาศาสตร์ของเรา เตรียมพร้อมเพื่อการเป็นครูมากค่ะ วิชาเรียนส่วนใหญ่ก็มักจะเป็น 8 โมง(ถ้าเรียนตั้งแต่ตี5 ได้คงตี5ไปแล้ว555)
**ลืมบอกไปว่า
คณะศึกษาศาสตร์ของเรา 1 เทอม มี 4 บ๊อก
บ๊อกละ 3 เดือน (ตลอดปี 1-4 เรียน 3 บ๊อก ฝึกงาน 1 บ๊อก)
แต่ละชั้นปีก็จะสลับมาเรียน ฝึกงานไม่ตรงกัน ก็จะไม่ได้มีโอกาสมาเจอหน้ากันตลอด
5.เรียนที่นี่ทำอะไรบ้าง ?
ทางสถาบันจัดการเรียนแบบ Work-based Education เรียนรู้ควบคู่การปฏิบัติงาน และทางคณะศึกษาศาสตร์ก็เน้นสอนให้พวกเราเป็น “ครูนักบริหารจัดการ” ดังนั้นพวกเราจะได้ฝึกงานตั้งแต่ ปี1 จนถึงปี 4 และในชั้นปีที่ 5 ก็ลงปฏิบัติการสอนตลอดทั้งปี ไม่พอเรายังได้ลงสังเกตการสอนตั้งแต่ชั้นปีที่ 2 อีกด้วย ยังไม่รวมการเรียนการสอนที่เข้มข้น ศึกษาดูงานนอกสถานที่และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางคณะและสถาบันจัดขึ้น รวมถึงการออกค่ายอาสาที่เรา(ส่วนตัว)ไปทุก ๆ ปีตั้งแต่ปี1 ปีละไม่ต่ำกว่า2ค่าย เพื่อนบางคนก็ทำงานพาร์ทไทม์ด้วยนะ แล้วปิดเทอม ไม่มี... ไม่มีจริงๆ อาจมีหยุดให้หายใจบ้าง มากสุดคือ 2 สัปดาห์ (จะเรียกว่าปิดเทอมก็ไม่ได้นะ มันนานเกิน5555) ประชดเก่ง!
บางคนมีคำถาม
• กิจกรรมรับน้องโหดมั้ย ?
ไม่ค่ะ ที่นี่เป็นกิจกรรมรับน้องสร้างสรรค์ เน้นพี่-น้อง ทำกิจกรรมร่วมกัน และทุกกิจกรรมต้องผ่านการอนุมัติจากทางอาจารย์
• กิจกรรมเยอะไหม กระทบกับการเรียนหรือเปล่า ?
กิจกรรมก็จะมีหลัก ๆ เช่น วันไหว้ครู กีฬาสี ฯลฯ แต่การันตีได้เลยค่ะว่าไม่กระทบกับการเรียนแน่นอน เพราะทางคณะและสถาบันจะเลือกจัดในช่วงเวลาที่เหมาะสม ยกเว้นว่าน้องจะเป็นเด็กกิจกรรมที่พร้อมจะมอบกายถวายชีวิตให้กับทุกกิจกรรม อันนี้ก็เป็นอีกประเด็นนึง5555
6.ตลอด 5 ปี ผ่านการฝึกประสบการณ์จากที่ไหนมาบ้าง ? (อันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ)
•
ปี1 ฝึกงาน7-eleven (3 เดือน)
ยอมรับเลยค่ะว่าเป็นปีที่เหน็ดเหนื่อยสุด ๆ เข้ากะเช้าตื่นตั้งแต่ตี4 และต้องนั่งรถเมล์ไปทำงานให้ทัน พอไปถึงก็เรียนรู้ทุกอย่างในร้านเหมือนเป็นพนักงานคนนึง ทำทุกอย่างจริง ๆ ตั้งแต่แคชเชียร์ เข้าตู้วอลล์เติมน้ำ เติมสินค้าตั่งต่าง เป็นกุ๊ก เป็นคนชงกาแฟ ไปจนถึงเป็นแม่บ้านปัดกวาดเช็ดถู ที่พีคที่สุดคือเข้ากะดึกตักบ่อดักไขมัน เหนื่อยมาก ๆ ทำงานไม่รู้วันกันเลยจ้า รู้แค่วันหยุดแค่นั้น วันหยุดบางครั้งก็สะดุ้งตื่นนึกว่าจะไปทำงานสาย ลูกค้าก็หลากหลาย คนบ้าก็เคยเจอ ไหนจะ พี่ ๆ เพื่อนร่วมงานอีก ปี1 นี่เป็นด่านสุดโหดแล้ว ถ้าผ่านด่านนี้ไปอะไรก็เริ่มง่ายละ (ที่นี่ได้ค่าตอบแทนด้วยนะ)
ถามว่า เป็นครูทำไมต้องฝึกงานเซเว่น ?
ตอบ ก็เซเว่นถือเป็นธุรกิจหลักขององค์กร เป็นแหล่งทุน อีกอย่างการฝึกงานที่เซเว่น (ถ้าใครเคยทำงานเซเว่นจะรู้เลยว่ามันหนักมาก)
เราได้ฝึกทุกอย่างจริง ๆ ทั้งความอดทน ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ และหัดบริการและพูดคุยกับลูกค้าที่มีความหลากหลายทางอายุและนิสัย ถ้าเรารับมือกับลูกค้าได้ นักเรียนหรอ มาสิ ! อยู่หมัดแน่ และที่สำคัญประสบการณ์ที่ได้รับจากเซเว่น เราสามารถนำไปต่อยอดในการฝึกงานในปีต่อ ๆ ไปรวมถึงการใช้ชีวิตจริงได้เลย (จะว่าเว่อร์ก็ได้แต่อิชั้นพูดจริง)
•
ปี2 ฝึกงานKing Power (3เดือน)
ปีนี้อัพเกรดงานหน่อย เราได้ฝึกที่สาขาศรีวารีขายของแบรนด์เนมให้กับลูกค้า(99.99% เป็นลูกค้าคนจีน) ที่นี่สนุกดีมาก ได้สื่อสารภาษาจีนกับเจ้าของภาษา อยู่ใกล้ความจริงมากขึ้น อีกอย่างเรานำเอาเทคนิคหรือความรู้จากเซเว่นมาปรับใช้ที่นี่เยอะมาก เหนื่อยนะแต่สนุกมากกว่า (ที่นี่ได้ค่าตอบแทนเหมือนกัน)
•
ปี2 ลงสังเกตการสอนครั้งที่1 โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง 3 เดือน (ทุกๆวันศุกร์)
•
ปี3 ลงสังเกตการสอนครั้งที่2 โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง 3 เดือน (ทุกๆวันศุกร์)
ในส่วนของลงโรงเรียนสังเกตการสอน ที่นี่เป็นโรงเรียนรัฐบาล เราก็ไปในฐานะครูคนนึง ไปสังเกตการสอน แต่เราเองก็ต้องสอบสอนด้วย เพราะสัปดาห์สุดท้ายจะมีอาจารย์มานิเทศ และจะดูการพัฒนาในแต่ละเทอม ก่อนสอบสอนก็จะมี Micro-Teaching 5-10 นาที ให้เพื่อน ๆ มาเป็นนักเรียนให้ จะมีอาจารย์นั่งดูหลังห้อง พอจบการMicro-Teaching อาจารย์ก็จะคอมเมนท์ว่าดีหรือยัง ปรับเพิ่มหรือลดตรงไหนบ้าง เริดที่สุดไปเลย
อีกอย่างเราต้องทำแผนการสอนตั้งแต่ปี2 (ตอนนั้นอายุ18-19) บางทีได้ไปสอน ม.6 อายุไม่ได้ต่างกันเลย แต่เราก็ต้องสวมบทบาทครูให้ได้ งานอื่น ๆ ก็ทำ เช่น คุมสอบ ฯลฯ
•
ปี3 ฝึกงานที่บริษัทTrue Clicklife
เป็นงานในออฟฟิศ เรียนรู้สถานประกอบการทำสื่อและนวัตกรรมที่ทำขายให้กับโรงเรียน ครั้งนี้ก็ได้เห็นถึงความแตกต่างจากการฝึกงานที่ผ่านๆมา นั่งรถ4-5 ต่อ เสียเงินค่ารถเยอะนะ และฝึกครั้งนี้ก็ไม่ได้เงินเดือนด้วย สำหรับเราก็รู้สึกว่างานมันน่าเบื่อ เราน่าจะได้ทำอะไรมากกว่าการนั่งอยู่ในออฟฟิศ แต่ก็ไม่เป็นไรทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาย่อมดีเสมอ (ปี3 มีสถานประกอบการให้เราเลือกไปฝึกงานเยอะมากเลย บางที่มีค่าตอบแทน บางที่ไม่มีค่าตอบแทน)
•
ปี3 ศึกษาดูงานที่ไต้หวัน 19 วัน
เราได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานที่ไต้หวัน ได้ไปเรียนรู้วัฒนธรรม และใช้ภาษาจีนในการสื่อสาร สนุกมาก ได้อะไรเยอะมาก (ปี3 นี้เพื่อนบางคนไม่ฝึกงาน แต่เลือกไปเรียนที่ประเทศจีน 4 เดือนก็มี ทางคณะไม่ได้บังคับแล้วแต่ความสมัครใจเพราะต้องใช้ทุนตัวเอง)
•
ปี3 ลงสังเกตการสอนครั้งที่3 โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ 3 เดือน (ทุกๆวันอังคาร)
•
ปี4 ลงสังเกตการสอนครั้งที่4 โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ 3 เดือน (ทุกๆวันอังคาร)
สังเกตการสอน 2 ครั้งนี้ เป็นโรงเรียนเอกชน และเป็นโรงเรียนเครือข่าย ค่าเทอม 7x,xxx ห้องเรียนทั้งหมดเป็น smart classroom ทำให้เราได้เห็นความแตกต่างของโรงเรียนรัฐบาลกับโรงเรียนเอกชน
ครั้งนี้แตกต่างจาก 2 ครั้งที่แล้ว เพราะนอกจาก Micro-Teaching ให้เพื่อนและอาจารย์ที่คณะดู เราต้องมา Demo ให้ทางผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาและครูที่โรงเรียนดูอีกครั้งนึง ถามว่าเกร็งมั้ย มากค่ะ แต่ทุกอย่างที่เขาให้ทำก็เพื่อพัฒนาการของตัวเราทั้งนั้น
•
ปี4 ฝึกงานที่ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา มูลนิธิกระจกเงา
ฝึกงานครั้งสุดท้าย เป็นการฝึกงานที่สุดยอดมาก ๆ ทำทุกอย่างจริง ๆ สามารถติดตามอ่านได้ที่กระทู้นี้เลยค่ะ
https://m.pantip.com/topic/40023466มีบางคนไปฝึกงานที่ไต้หวันด้วยนะ 3 เดือน (มีหลากหลายสถานประกอบการให้เลือก บางที่มีค่าตอบแทน บางที่ไม่มีค่าตอบแทน)
•
ปี5 ปฏิบัติการสอน โรงเรียนถาวรานุกูล (1 ปีการศึกษา)
เป็นปีที่ได้สวมบทบาทการเป็นครูอย่างเต็มตัว ตอนอยู่โรงเรียนทำหน้าที่เหมือนครูคนนึง มีเวรยืนหน้าโรงเรียน เป็นที่ปรึกษา มีคาบสอนเป็นของตัวเอง (ต้องทำทุกอย่างเอง สอน ออกข้อสอบ ตัดเกรด) รวมถึง คุมสอบและอยู่กองกลางตรวจข้อสอบด้วย อีกอย่างเราก็ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ กับทางโรงเรียน นั่นแหละค่ะ ถือเป็นการฝึกเตรียมความพร้อมก่อนไปเป็นครูอย่างแท้จริง
สำหรับคณะศึกษาศาสตร์ PIM ของเรา จะมีการนิเทศ รวมทั้งหมด 4 ครั้ง จะมีอาจารย์มาดูการสอน และให้คำแนะนำและอาจารย์จะเห็นการพัฒนาของเราทุกครั้ง ว่าไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง ตลอดการเรียน 5 ปี พูดได้คำเดียวว่า สุดยอดมากจริง ๆ เข้มข้นมาก ๆ
(ยังไม่จบค่ะ มีต่อในความเห็นที่ 1)
รีวิวคณะศึกษาศาสตร์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์(PIM) ฉบับละเอียดกว่าหมูบด
คนส่วนใหญ่ก็มักจะคิ้วขมวด และสงสัยว่า “เอ๊ะ ! ที่นี่ที่ว่าจบไปแล้วทำงานเซเว่นไม่ใช่หรอ” น่ะ คนถามเข้าใจผิด55555 จริง ๆ แล้ว PIM มีมากกว่า 10 คณะ 21 สาขานะย๊ะคุณพวกเธอ และก็ไม่ได้มีความจำเป็นว่าทุกคนเรียนจบไปแล้วต้องทำงานเซเว่นเด้อ
จริง ๆ เราก็พอจะได้ยินคำถามมากมายจากสังคม และหลาย ๆ คนก็มีความเข้าใจผิดกับทางสถาบัน วันนี้ "เรา" ในฐานะบัณฑิตป้ายแดงของคณะศึกษาศาสตร์ สาขาการสอนภาษาจีน รหัส58 (พึ่งจบมาได้ 3 เดือน และรอรับปริญญาในปีหน้านี้) อยากมาแชร์ประสบการณ์การเรียนที่ PIM ให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ (เน้นไปทางคณะศึกษาศาสตร์นะคะ ขออนุญาตทุกคนในภาพด้วยค่ะ)
ก่อตั้งเมื่อปี 2556 ตอนนี้มีทั้งหมด 2 สาขา
1.สาขาการสอนภาษาจีน(TCL) เริ่มดำเนินจัดการเรียนการสอนในปี 2557 (ตอนนี้มีบัณฑิตจบไป 2 รุ่น)
2.สาขาการสอนภาษาอังกฤษ(ELT) เริ่มดำเนินจัดการเรียนการสอนในปี 2560 (นักศึกษารุ่นแรกกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่4)
**เราเรียนสาขาการสอนภาษาจีน หลักสูตร 5 ปี และได้รับใบประกอบวิชาชีพครู สามารถสอบครูผู้ช่วยได้เช่นกัน
ปัจจุบันถูกปรับเป็น 4 ปี ต้องสอบใบประกอบวิชาชีพเอง เหมือนมหาลัยอื่น ๆ ทั่วไป
2.ค่าเทอม
TCL 34,000 บาท
ELT 38,500 บาท
3.ค่าเทอมแพงขนาดนี้ มีทุนให้มั้ย ?
มีค่ะ ตอนสมัครสอบจะมีการสอบชิงทุน และที่นี่จะมีทุนหลายประเภท (ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์มหาลัย)
มีหลายคนสงสัย
• ถ้าเรียนจบต้องชดใช้ทุนมั้ย ?
ตอบ ไม่ต้องค่ะ สำหรับคณะศึกษาศาสตร์เป็นทุนให้เปล่า
• ถ้าเกรดตกทำยังไง ?
เราต้องจ่ายค่าเทอมในราคาเต็ม แต่ มีความเป็นไปได้ยากมากที่จะรักษาเกรดไม่ได้ เพราะ ถ้าเรารู้ว่าเราเด็กทุน ต้องรักษาเกรด เราก็จะต้องหาและรู้วิธีในการรักษาเกรดอยู่แล้ว (สอบได้ทุนยังยากกว่าการรักษาเกรดอีกนะ)
• ถ้าเป็นเด็กทุนแล้วเรียนไม่จบ ?
ต้องใช้คืนทุนทุกบาท ทุกสตางค์ค่ะ ดังนั้น ต้องมั่นใจว่า เข้ามาแล้วจะรักษาเกรดให้ได้ตลอดการเรียนจนจบการศึกษาให้ได้
• ถ้าไม่ได้ทุนทำยังไง ?
เห็นเพื่อนหลายคนกู้ กยศ. บางคนก็ได้รับทุนจากกองทุน PIM Smart และทางสถาบันก็มีเพจงานพาร์ทไทม์มาป้อนในนักศึกษาบ่อย ๆ (หลายคนก็ทำหลายอย่างพร้อม ๆ กัน ทั้งได้ทุน กู้ กยศ. ทำงานพาร์ทไทม์) ที่สำคัญในช่วงของการฝึกงาน บางสถานประกอบการมีค่าตอบแทนให้อีกด้วย สรุปคือ ทุกอย่างมีตัวเลือกให้ อยู่ที่ว่าเราพร้อมจะทำหรือเปล่า
4.การลงทะเบียนเรียน
ทีนี่เราไม่จำเป็นต้องอดหลับอดนอน หรือแย่งลงทะเบียนกับเพื่อน ๆ คนอื่น ไม่ต้องกลัวว่าจะลงทะเบียนไม่ทัน การลงทะเบียนของที่นี่สะดวกมาก เพราะทางเว็บไซต์ก็มีการจัดตารางในแต่ละเทอมให้เราเรียบร้อย ว่าเทอมนี้จะต้องเรียนกี่หน่วยกิต วิชาอะไรบ้าง นักศึกษาในคณะก็จะเรียนด้วยกัน และพร้อมกันหมดทุกคน เลือกเวลาเองไม่ได้ และแน่นอนว่า คณะศึกษาศาสตร์ของเรา เตรียมพร้อมเพื่อการเป็นครูมากค่ะ วิชาเรียนส่วนใหญ่ก็มักจะเป็น 8 โมง(ถ้าเรียนตั้งแต่ตี5 ได้คงตี5ไปแล้ว555)
**ลืมบอกไปว่า
คณะศึกษาศาสตร์ของเรา 1 เทอม มี 4 บ๊อก
บ๊อกละ 3 เดือน (ตลอดปี 1-4 เรียน 3 บ๊อก ฝึกงาน 1 บ๊อก)
แต่ละชั้นปีก็จะสลับมาเรียน ฝึกงานไม่ตรงกัน ก็จะไม่ได้มีโอกาสมาเจอหน้ากันตลอด
5.เรียนที่นี่ทำอะไรบ้าง ?
ทางสถาบันจัดการเรียนแบบ Work-based Education เรียนรู้ควบคู่การปฏิบัติงาน และทางคณะศึกษาศาสตร์ก็เน้นสอนให้พวกเราเป็น “ครูนักบริหารจัดการ” ดังนั้นพวกเราจะได้ฝึกงานตั้งแต่ ปี1 จนถึงปี 4 และในชั้นปีที่ 5 ก็ลงปฏิบัติการสอนตลอดทั้งปี ไม่พอเรายังได้ลงสังเกตการสอนตั้งแต่ชั้นปีที่ 2 อีกด้วย ยังไม่รวมการเรียนการสอนที่เข้มข้น ศึกษาดูงานนอกสถานที่และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางคณะและสถาบันจัดขึ้น รวมถึงการออกค่ายอาสาที่เรา(ส่วนตัว)ไปทุก ๆ ปีตั้งแต่ปี1 ปีละไม่ต่ำกว่า2ค่าย เพื่อนบางคนก็ทำงานพาร์ทไทม์ด้วยนะ แล้วปิดเทอม ไม่มี... ไม่มีจริงๆ อาจมีหยุดให้หายใจบ้าง มากสุดคือ 2 สัปดาห์ (จะเรียกว่าปิดเทอมก็ไม่ได้นะ มันนานเกิน5555) ประชดเก่ง!
• กิจกรรมรับน้องโหดมั้ย ?
ไม่ค่ะ ที่นี่เป็นกิจกรรมรับน้องสร้างสรรค์ เน้นพี่-น้อง ทำกิจกรรมร่วมกัน และทุกกิจกรรมต้องผ่านการอนุมัติจากทางอาจารย์
• กิจกรรมเยอะไหม กระทบกับการเรียนหรือเปล่า ?
กิจกรรมก็จะมีหลัก ๆ เช่น วันไหว้ครู กีฬาสี ฯลฯ แต่การันตีได้เลยค่ะว่าไม่กระทบกับการเรียนแน่นอน เพราะทางคณะและสถาบันจะเลือกจัดในช่วงเวลาที่เหมาะสม ยกเว้นว่าน้องจะเป็นเด็กกิจกรรมที่พร้อมจะมอบกายถวายชีวิตให้กับทุกกิจกรรม อันนี้ก็เป็นอีกประเด็นนึง5555
6.ตลอด 5 ปี ผ่านการฝึกประสบการณ์จากที่ไหนมาบ้าง ? (อันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ)
• ปี1 ฝึกงาน7-eleven (3 เดือน)
ถามว่า เป็นครูทำไมต้องฝึกงานเซเว่น ?
ตอบ ก็เซเว่นถือเป็นธุรกิจหลักขององค์กร เป็นแหล่งทุน อีกอย่างการฝึกงานที่เซเว่น (ถ้าใครเคยทำงานเซเว่นจะรู้เลยว่ามันหนักมาก)
เราได้ฝึกทุกอย่างจริง ๆ ทั้งความอดทน ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ และหัดบริการและพูดคุยกับลูกค้าที่มีความหลากหลายทางอายุและนิสัย ถ้าเรารับมือกับลูกค้าได้ นักเรียนหรอ มาสิ ! อยู่หมัดแน่ และที่สำคัญประสบการณ์ที่ได้รับจากเซเว่น เราสามารถนำไปต่อยอดในการฝึกงานในปีต่อ ๆ ไปรวมถึงการใช้ชีวิตจริงได้เลย (จะว่าเว่อร์ก็ได้แต่อิชั้นพูดจริง)
• ปี2 ฝึกงานKing Power (3เดือน)
• ปี2 ลงสังเกตการสอนครั้งที่1 โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง 3 เดือน (ทุกๆวันศุกร์)
• ปี3 ลงสังเกตการสอนครั้งที่2 โรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง 3 เดือน (ทุกๆวันศุกร์)
• ปี3 ฝึกงานที่บริษัทTrue Clicklife
• ปี3 ลงสังเกตการสอนครั้งที่3 โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ 3 เดือน (ทุกๆวันอังคาร)
• ปี4 ลงสังเกตการสอนครั้งที่4 โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ 3 เดือน (ทุกๆวันอังคาร)
• ปี4 ฝึกงานที่ศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา มูลนิธิกระจกเงา
https://m.pantip.com/topic/40023466มีบางคนไปฝึกงานที่ไต้หวันด้วยนะ 3 เดือน (มีหลากหลายสถานประกอบการให้เลือก บางที่มีค่าตอบแทน บางที่ไม่มีค่าตอบแทน)
• ปี5 ปฏิบัติการสอน โรงเรียนถาวรานุกูล (1 ปีการศึกษา)
(ยังไม่จบค่ะ มีต่อในความเห็นที่ 1)