เคยเขียนไปก่อนหน้าแต่ตอนนั้นยังเป็นสภาวะซึมเศร้าและเครียด หลังจากนั้นพัฒนาไปเป็นโรคซึมเศร้าเต็มขั้นและต้องใช้ยาในการรักษา ตอนนี้คือทานยามาครบ 1 ปีแล้วเลยอยากมาแชร์ค่ะ
เราอยู่ต่างประเทศและเครียดมาก่อนหน้าแล้วหลายปี คือมันบวกขึ้นเรื่อยๆแต่ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบยอมแพ้เลยทำให้ไม่สังเกตอาการตัวเองเท่าไหร่ คิดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง
อาการเราเริ่มเมื่อ 5 ปีที่แล้วจากปวดเมื่อยกราม กัดฟัน เกร็งปากโดยไม่รู้ตัว ตอนนั้นก็ไปหาหมอที่ไทยได้ยาแก้เครียดมา กินแล้วนอนหลับสบายตายข้ามคืนเลยทีเดียว มันก็ดีขึ้นล่ะแต่มันไม่หายขาดเพราะปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไข พอย้ายมาต่างประเทศก็เจอเรื่องเครียดอีก โดนกดเงินเดือน โดนหัวหน้าตะคอกใส่ คนในครอบครัวบอกให้ทนๆไปเพราะงานมันหายากจนเริ่มมีอาการแพนิค นั่งๆอยู่ตัวสั่น คุมสติไม่ได้ อาการที่เริ่มเยอะขึ้นคืออารมณ์เหวี่ยง เรื่องเล็กๆน้อยๆก็เครียดเหมือนจะตาย รับความกดดันไม่ได้แบบเดิม สมัยยังไม่ป่วยคือทนต่อความกดดันได้ดีสุดๆแทบทุกเรื่อง แล้วบวกกับมีปัญหากับครอบครัวสามี ตัวตนของเราสั่นคลอน เริ่มคิดว่าการเป็นตัวของตัวเองมันไม่ดีเพราะทำร้ายความรู้สึกคนอื่น โดนที่บ้านสามีเอาคำว่าครอบครัวมากดดันด้วย
3 ปีที่แล้วตื่นมาด้วยอาการอยากตาย นอนร้องไห้มองเพดาน คิดว่าจะตายยังไงดี ร้องอยู่สามชั่วโมงจนเริ่มหิวข้าวเลยลุกไปหาอะไรกินแล้วโทรหาจิตแพทย์ในเมือง ความหิวช่วยให้เราไม่ตาย

หลังจากนั้นตัดสินใจหางานใหม่ ได้งานดีกว่าเดิมเยอะมาก หัวหน้าดี เพื่อนร่วมงานแทบทุกคนดีหมดยกเว้นกลุ่มนึงที่ชอบแกล้งเรา ไม่ถึงครึ่งปีหลังจากได้งานพ่อเราเสีย ตอนนั้นเราเริ่มหาจิตแพทย์ของรัฐแล้วเพราะรู้สึกว่าไม่ไหว มันเยอะเกินไป โดนเพื่อนร่วมงานกลุ่มนั้นกดดัน เราเองก็กดดันตัวเองกว่าเดิมเพราะอยากมีเพื่อนเลยพยายามไปไหนมาไหนกับพวกเค้า ตอนนั้นก็โดนแกล้งสารพัด โดนดึงเก้าอี้ โดนตะโกนใส่ให้ตกใจ โดนหนักสุดคือเอาถุงมือตบหน้า แต่เราไม่ได้ทำอะไรนอกจากบอกให้เค้าหยุดทำ รวมๆแล้วบอกไปร้อยรอบได้ แล้วก็ไม่กล้าคุยกับคนอื่นเพราะคนที่แกล้งเราหนักสุดดูเป็นคนดีในสายตาเพื่อนร่วมงานทุกคน มานึกย้อนไปแล้วถ้าเป็นเราคนเก่าก่อนป่วย อินี่ตายแน่นอน ไม่ปล่อยให้มาถึงจุดนี้ได้แน่ๆ แต่ตอนนั้นความเป็นตัวตนเรามันพังไปแล้ว เราคนเก่าที่กล้าเผชิญปัญหาได้หายไปแล้ว
สวัสดิการประเทศที่เราอยู่ทุกคนสามารถพบจิตแพทย์ของรัฐได้ 5 ครั้ง ซึ่งมันไม่พอและไม่ได้ช่วยอะไรมาก ถ้าไม่ถึงขั้นจะตายแหล่ไม่ตายแหล่เค้าก็ไม่ให้เราพบต่อ เราเลยตัดสินใจถามหัวหน้าว่าบริษัทมีสวัสดิการที่สามารถช่วยเหลือเราได้มั้ย แต่ตอนนั้นเราบอกเค้าไปแค่ว่าเราเครียดและรับมือเรื่องพ่อเสียไม่ค่อยได้ ทางหัวหน้าเลยจัดการให้และส่งเราไปรพ.เอกชนเพื่อเจอจิตแพทย์ นี่เป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ๆในชีวิตเราเลยค่ะ
จิตแพท์ที่เราพบคือดีมากๆ เป็นคนมีอารมณ์ขัน ชอบมุกตลกคล้ายกันๆ เราเลยไม่รู้สึกเกร็งเท่าไหร่ เราเจอหมอประมาณ 6-7 ครั้งได้ก็เริ่มดีขึ้นในการจัดการปัญหาแต่อาการซึมเศร้ามันแรงขึ้นเรื่อยๆเพราะไม่ได้เปลี่ยนสภาพแวดล้อม ยังเจอคนที่แกล้งเราเสมอ หลังจากนั้นเรากลับไทยก็เหมือนสวรรค์ยังคิดว่าชีวิตเรายังไม่แย่พอ เพิ่มเรื่องให้อีกเรื่องดีกว่า เราทะเลาะกับที่บ้านด้วยเรื่องการแต่งตัวของเรา บวกกับอีกหลายๆอย่างทำให้แม่เราพูดทำร้ายจิตใจเรามากๆจนเราคิดว่าตัดแม่ตัดลูกไปเลยดีกว่า เราไม่อยากได้เรื่องปวดหัวเพิ่มอีกเรื่อง พอกลับมาต่างประเทศก็ดิ่งเลยค่ะ ร้องไห้ทุกวัน นอนทั้งวันทำอะไรไม่ได้ จนวันนึงคิดอยากเอามีดจิ้มตัวเอง ไม่ได้อยากตายนะแต่อยากรู้สึกอย่างอื่นนอกเหนือจากความเศร้า ความว่างเปล่า ไร้ค่า เลยบอกสามีให้ช่วยพาไปโรงพยาบาลที สามีก็พาไปทันทีค่ะ พบหมอปั๊บหมอบอกเอายาไปกินเลย ให้เริ่มกินตั้งแต่วันนั้น ตอนนั้นคือไม่อยากไปทำงานแล้วเลยตัดสินใจคุยกับเพื่อนร่วมงานอีกคนที่ตอนนี้กลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทที่สุด เราเล่าให้เค้าฟังทุกอย่าง สรุปว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่เจอปัญหานี้ เพื่อนร่วมงานคนก่อนหน้าที่ลาออกไปก็ลาออกเพราะสาเหตุนี้ค่ะ เราเลยโทรไปหาเพื่อนคนนั้นแล้วคุย ตอนนั้นกำลังใจเริ่มมา เริ่มโมโห เริ่มมีอารมณ์เกลียด พอหาหมอเสร็จรับยาปั๊บ เดินไปที่ทำงานกับสามีเพื่อคุยกับหัวหน้าทันที เราเล่าทุกอย่างให้เค้าฟังตั้งแต่เริ่มจนจบ เล่าอาการของตัวเองให้เค้าฟัง ตอนเล่านี่โกรธจนตัวสั่น หัวหน้าก็สัญญาว่าจะจัดการให้ทันที วันถัดมาหัวหน้าก็เรียกประชุมทุกคน แจ้งอาการของเราให้ทุกคนทราบแล้วเรียกคนนั้นมาคุยตัวต่อตัว
หลังจากนั้นเราลาป่วยเพราะเริ่มทานยา อาการช่วงนั้นไม่มีอะไรมากนอกจากง่วงตลอดเวลา เบลอ นั่งเหม่อเป็นชั่วโมง ลืมเวลาไปเลย ดีที่ไม่มีอาการดิ่งกว่าเดิม อาการข้างเคียงอื่น เช่น ไม่อยากทานเนื้อเพราะรสชาติเปลี่ยน เหงื่อออกเยอะมาก ปากแห้ง ช่วงนั้นเป็นวีแกนอยู่เดือนนึงได้ สามีเห็นไม่อยากกินเนื้อก็ซื้อผัก ซื้อเห็ดมาให้ทุกวัน ในตู้เย็นมีแต่เห็ดจนต้องบอกสามีว่าหยุดซื้อเห็ดเถิด เราลางานประมาณหนึ่งอาทิตย์ วันไหนไปทำงานแล้วรู้สึกไม่โอเคก็ลากลับก่อน วันไหนง่วงนอนมากๆก็เข้างานสายแทน โชคดีมากๆที่หัวหน้าเข้าใจและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆเข้าใจเรา ส่วนคนที่แกล้งเราก็เงียบๆเลิกยุ่งกับเราไป แต่เรามารู้ทีหลังว่าเค้าไม่ชอบเราเพราะหัวหน้าไปคุยกับเค้า เค้าคิดว่าเค้านิสัยดีและไม่ใช่คนชอบแกล้งคนอื่น ตอนแรกเรารู้สึกโกรธแต่เราก็สามารถปล่อยวางจนได้ค่ะ วันไหนหนักหน่อยก็จะคิดกับตัวเองเล่นๆว่า แหม๊ วันไหนมันจะตายนะ อยากให้มันตายจัง แต่ก็ไม่เคยพูดออกไปนะ
หลังจากนั้นอาการก็ขึ้นๆลงๆช่วงเพิ่มโดสยา ส่วนมากคือง่วงนอน นอนแบบนอนได้ทั้งวัน ตื่นมากินแล้วนอนต่อ ดีมากที่สามีคอยอยู่ข้างๆตลอดเป็นหน่วยป้อนอาหาร แล้วเราก็เจอจิตแพทย์สองครั้งต่อเดือน อาการเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆแบบเห็นได้ชัด มุมมองเปลี่ยนไปแบบตัวเองยังตกใจ กลายเป็นคนมองโลกแง่บวกมากๆ ที่สำคัญคือเห็นคุณค่าในตัวเองเยอะขึ้นมากๆและเลิกกดดันตัวเอง อาทิตย์ล่าสุดนี้จิตแพทย์บอกว่าเราไม่ต้องจองเวลาแล้ว เค้าคิดว่าเราดีขึ้นมาก มีความสุขขึ้นมาก ยิ้มแย้มตลอดเวลาที่คุยกันต่างกับครั้งแรกที่เจอ เราก็หยอกหมอไปว่ารอหมดยาก่อน เดี๋ยวคนมองโลกในแง่ลบจะกลับมา
เรายังต้องกินยาต่ออีกและน่าจะเริ่มลดยาช่วงต้นปีหน้า ก็นั่งนึกว่าเราพัฒนาตัวเองด้านการจัดการอารมณ์และตัวเองออกมาจากเหวยังไง
ข้อแรก เราตัดคนที่ toxic ในชีวิตเราออกไป ช่วงแรกคือตัดครอบครัวสามี ตัดแม่ตัวเอง คนที่ทำงานนี่ตัดไม่ได้แต่เราหาวิธีรับมือตั้งแต่ซื้อหนังสือมาอ่านจนใช้วิธีที่จิตแพทย์แนะนำ ตอนนี้คือสามารถคุยกับแม่ตัวเองและครอบครัวสามีได้โดยไม่รู้สึกอะไรแล้ว
ข้อสอง เราอยากหายจากโรคนี้ เราเลยเต็มที่กับยาและจิตแพทย์ เราไม่เคยลืมกินยา เราเชื่อว่ายาช่วยเราได้แต่ไม่ 100% เพราะฉะนั้นทัศนคติมุมมองต่อชีวิตของเราก็เป็นส่วนสำคัญที่เราต้องแก้ไขเหมือนกัน
ข้อสาม เราพยายามตั้งเป้าหมายในชีวิต ก่อนหน้านี้มีแค่สามีและแมว ไม่ได้มีจุดหมายอื่นเลย ตอนนี้ตั้งเป้าเรื่องงานและกำลังไปได้ด้วยดี ทำให้รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเองที่มาจากตัวเราจริงๆ ไม่ได้มาจากคนอื่น ก่อนหน้านี้เป็นแบบไม่คิดว่าตัวเองเก่งพอ ได้รับคำชมก็เฉยๆ เป้าหมายอีกอย่างคือเทคโอเวอร์บริษัทแล้วไล่คนนั้นออก
ข้อสี่ ตั้งมั่นกับตัวเองว่าฉันจะไม่กลับไปจุดต่ำสุดในชีวิตแบบนั้นอีกเด็ดขาด จะไม่ยอมให้คนอื่นมาทำร้ายเราแบบนั้นอีก มีครั้งนึงคนที่แกล้งเราพูดกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่เราต้องยืมรถเค้าไปวัดไซต์งาน (ที่นี่ยืมรถกันเป็นปกติ) ว่า "ก็ขับๆไปให้เค้าเถอะ จะได้จบๆ" เพียงเพราะแค่เราถามเค้าว่ารถเค้าสตาร์ทแบบไหน รถเค้ามันต่างจากรถที่เราเคยขับ เลิกงานวันนั้นเราให้สามีพาไปออกรถเลยค่ะ ยังไงก็ไม่สะดวกใจจะยืมรถคนอื่นขับอยู่แล้ว แล้วก็ก็คิดกับตัวเองว่าธุระของเค้าก็ไม่ใช่ รถก็ไม่ใช่ของเค้าแต่ด้วยนิสัยหรือสันดานของเค้าที่ขาดความเห็นอกเห็นใจในคนอื่น เค้าถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมา เราต้องไม่ให้อะไรแบบนั้นมาฝังในใจเราหรือทำร้ายเราเด็ดขาด ดีดมันกลับไป ชิ้วๆ
ถ้าถามว่าเราเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เราเปลี่ยนจากทุกอย่างต้องเป๊ะ ต้องเพอร์เฟค ทุกอย่างต้องควบคุมได้ ถ้ารู้ว่าจะไปตามนัดสายจะเครียดมาก ตอนนี้เราเป็นแบบยืดหยุ่นกับตัวเอง อะไรที่ควบคุมไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ หยุดมองสิ่งรอบตัวมากขึ้น เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น one thing at the time
ชีวิตดีขึ้นเยอะค่ะแต่คงไม่ดีขึ้นขนาดนี้ถ้าไม่มีสามี เพื่อนและคุณหมอ
แชร์ประสบการณ์เป็นโรคซึมเศร้าครบ 1 ปีที่ผ่านมาในต่างแดน
เราอยู่ต่างประเทศและเครียดมาก่อนหน้าแล้วหลายปี คือมันบวกขึ้นเรื่อยๆแต่ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบยอมแพ้เลยทำให้ไม่สังเกตอาการตัวเองเท่าไหร่ คิดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง
อาการเราเริ่มเมื่อ 5 ปีที่แล้วจากปวดเมื่อยกราม กัดฟัน เกร็งปากโดยไม่รู้ตัว ตอนนั้นก็ไปหาหมอที่ไทยได้ยาแก้เครียดมา กินแล้วนอนหลับสบายตายข้ามคืนเลยทีเดียว มันก็ดีขึ้นล่ะแต่มันไม่หายขาดเพราะปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไข พอย้ายมาต่างประเทศก็เจอเรื่องเครียดอีก โดนกดเงินเดือน โดนหัวหน้าตะคอกใส่ คนในครอบครัวบอกให้ทนๆไปเพราะงานมันหายากจนเริ่มมีอาการแพนิค นั่งๆอยู่ตัวสั่น คุมสติไม่ได้ อาการที่เริ่มเยอะขึ้นคืออารมณ์เหวี่ยง เรื่องเล็กๆน้อยๆก็เครียดเหมือนจะตาย รับความกดดันไม่ได้แบบเดิม สมัยยังไม่ป่วยคือทนต่อความกดดันได้ดีสุดๆแทบทุกเรื่อง แล้วบวกกับมีปัญหากับครอบครัวสามี ตัวตนของเราสั่นคลอน เริ่มคิดว่าการเป็นตัวของตัวเองมันไม่ดีเพราะทำร้ายความรู้สึกคนอื่น โดนที่บ้านสามีเอาคำว่าครอบครัวมากดดันด้วย
3 ปีที่แล้วตื่นมาด้วยอาการอยากตาย นอนร้องไห้มองเพดาน คิดว่าจะตายยังไงดี ร้องอยู่สามชั่วโมงจนเริ่มหิวข้าวเลยลุกไปหาอะไรกินแล้วโทรหาจิตแพทย์ในเมือง ความหิวช่วยให้เราไม่ตาย
สวัสดิการประเทศที่เราอยู่ทุกคนสามารถพบจิตแพทย์ของรัฐได้ 5 ครั้ง ซึ่งมันไม่พอและไม่ได้ช่วยอะไรมาก ถ้าไม่ถึงขั้นจะตายแหล่ไม่ตายแหล่เค้าก็ไม่ให้เราพบต่อ เราเลยตัดสินใจถามหัวหน้าว่าบริษัทมีสวัสดิการที่สามารถช่วยเหลือเราได้มั้ย แต่ตอนนั้นเราบอกเค้าไปแค่ว่าเราเครียดและรับมือเรื่องพ่อเสียไม่ค่อยได้ ทางหัวหน้าเลยจัดการให้และส่งเราไปรพ.เอกชนเพื่อเจอจิตแพทย์ นี่เป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ๆในชีวิตเราเลยค่ะ
จิตแพท์ที่เราพบคือดีมากๆ เป็นคนมีอารมณ์ขัน ชอบมุกตลกคล้ายกันๆ เราเลยไม่รู้สึกเกร็งเท่าไหร่ เราเจอหมอประมาณ 6-7 ครั้งได้ก็เริ่มดีขึ้นในการจัดการปัญหาแต่อาการซึมเศร้ามันแรงขึ้นเรื่อยๆเพราะไม่ได้เปลี่ยนสภาพแวดล้อม ยังเจอคนที่แกล้งเราเสมอ หลังจากนั้นเรากลับไทยก็เหมือนสวรรค์ยังคิดว่าชีวิตเรายังไม่แย่พอ เพิ่มเรื่องให้อีกเรื่องดีกว่า เราทะเลาะกับที่บ้านด้วยเรื่องการแต่งตัวของเรา บวกกับอีกหลายๆอย่างทำให้แม่เราพูดทำร้ายจิตใจเรามากๆจนเราคิดว่าตัดแม่ตัดลูกไปเลยดีกว่า เราไม่อยากได้เรื่องปวดหัวเพิ่มอีกเรื่อง พอกลับมาต่างประเทศก็ดิ่งเลยค่ะ ร้องไห้ทุกวัน นอนทั้งวันทำอะไรไม่ได้ จนวันนึงคิดอยากเอามีดจิ้มตัวเอง ไม่ได้อยากตายนะแต่อยากรู้สึกอย่างอื่นนอกเหนือจากความเศร้า ความว่างเปล่า ไร้ค่า เลยบอกสามีให้ช่วยพาไปโรงพยาบาลที สามีก็พาไปทันทีค่ะ พบหมอปั๊บหมอบอกเอายาไปกินเลย ให้เริ่มกินตั้งแต่วันนั้น ตอนนั้นคือไม่อยากไปทำงานแล้วเลยตัดสินใจคุยกับเพื่อนร่วมงานอีกคนที่ตอนนี้กลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทที่สุด เราเล่าให้เค้าฟังทุกอย่าง สรุปว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่เจอปัญหานี้ เพื่อนร่วมงานคนก่อนหน้าที่ลาออกไปก็ลาออกเพราะสาเหตุนี้ค่ะ เราเลยโทรไปหาเพื่อนคนนั้นแล้วคุย ตอนนั้นกำลังใจเริ่มมา เริ่มโมโห เริ่มมีอารมณ์เกลียด พอหาหมอเสร็จรับยาปั๊บ เดินไปที่ทำงานกับสามีเพื่อคุยกับหัวหน้าทันที เราเล่าทุกอย่างให้เค้าฟังตั้งแต่เริ่มจนจบ เล่าอาการของตัวเองให้เค้าฟัง ตอนเล่านี่โกรธจนตัวสั่น หัวหน้าก็สัญญาว่าจะจัดการให้ทันที วันถัดมาหัวหน้าก็เรียกประชุมทุกคน แจ้งอาการของเราให้ทุกคนทราบแล้วเรียกคนนั้นมาคุยตัวต่อตัว
หลังจากนั้นเราลาป่วยเพราะเริ่มทานยา อาการช่วงนั้นไม่มีอะไรมากนอกจากง่วงตลอดเวลา เบลอ นั่งเหม่อเป็นชั่วโมง ลืมเวลาไปเลย ดีที่ไม่มีอาการดิ่งกว่าเดิม อาการข้างเคียงอื่น เช่น ไม่อยากทานเนื้อเพราะรสชาติเปลี่ยน เหงื่อออกเยอะมาก ปากแห้ง ช่วงนั้นเป็นวีแกนอยู่เดือนนึงได้ สามีเห็นไม่อยากกินเนื้อก็ซื้อผัก ซื้อเห็ดมาให้ทุกวัน ในตู้เย็นมีแต่เห็ดจนต้องบอกสามีว่าหยุดซื้อเห็ดเถิด เราลางานประมาณหนึ่งอาทิตย์ วันไหนไปทำงานแล้วรู้สึกไม่โอเคก็ลากลับก่อน วันไหนง่วงนอนมากๆก็เข้างานสายแทน โชคดีมากๆที่หัวหน้าเข้าใจและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆเข้าใจเรา ส่วนคนที่แกล้งเราก็เงียบๆเลิกยุ่งกับเราไป แต่เรามารู้ทีหลังว่าเค้าไม่ชอบเราเพราะหัวหน้าไปคุยกับเค้า เค้าคิดว่าเค้านิสัยดีและไม่ใช่คนชอบแกล้งคนอื่น ตอนแรกเรารู้สึกโกรธแต่เราก็สามารถปล่อยวางจนได้ค่ะ วันไหนหนักหน่อยก็จะคิดกับตัวเองเล่นๆว่า แหม๊ วันไหนมันจะตายนะ อยากให้มันตายจัง แต่ก็ไม่เคยพูดออกไปนะ
หลังจากนั้นอาการก็ขึ้นๆลงๆช่วงเพิ่มโดสยา ส่วนมากคือง่วงนอน นอนแบบนอนได้ทั้งวัน ตื่นมากินแล้วนอนต่อ ดีมากที่สามีคอยอยู่ข้างๆตลอดเป็นหน่วยป้อนอาหาร แล้วเราก็เจอจิตแพทย์สองครั้งต่อเดือน อาการเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆแบบเห็นได้ชัด มุมมองเปลี่ยนไปแบบตัวเองยังตกใจ กลายเป็นคนมองโลกแง่บวกมากๆ ที่สำคัญคือเห็นคุณค่าในตัวเองเยอะขึ้นมากๆและเลิกกดดันตัวเอง อาทิตย์ล่าสุดนี้จิตแพทย์บอกว่าเราไม่ต้องจองเวลาแล้ว เค้าคิดว่าเราดีขึ้นมาก มีความสุขขึ้นมาก ยิ้มแย้มตลอดเวลาที่คุยกันต่างกับครั้งแรกที่เจอ เราก็หยอกหมอไปว่ารอหมดยาก่อน เดี๋ยวคนมองโลกในแง่ลบจะกลับมา
เรายังต้องกินยาต่ออีกและน่าจะเริ่มลดยาช่วงต้นปีหน้า ก็นั่งนึกว่าเราพัฒนาตัวเองด้านการจัดการอารมณ์และตัวเองออกมาจากเหวยังไง
ข้อแรก เราตัดคนที่ toxic ในชีวิตเราออกไป ช่วงแรกคือตัดครอบครัวสามี ตัดแม่ตัวเอง คนที่ทำงานนี่ตัดไม่ได้แต่เราหาวิธีรับมือตั้งแต่ซื้อหนังสือมาอ่านจนใช้วิธีที่จิตแพทย์แนะนำ ตอนนี้คือสามารถคุยกับแม่ตัวเองและครอบครัวสามีได้โดยไม่รู้สึกอะไรแล้ว
ข้อสอง เราอยากหายจากโรคนี้ เราเลยเต็มที่กับยาและจิตแพทย์ เราไม่เคยลืมกินยา เราเชื่อว่ายาช่วยเราได้แต่ไม่ 100% เพราะฉะนั้นทัศนคติมุมมองต่อชีวิตของเราก็เป็นส่วนสำคัญที่เราต้องแก้ไขเหมือนกัน
ข้อสาม เราพยายามตั้งเป้าหมายในชีวิต ก่อนหน้านี้มีแค่สามีและแมว ไม่ได้มีจุดหมายอื่นเลย ตอนนี้ตั้งเป้าเรื่องงานและกำลังไปได้ด้วยดี ทำให้รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเองที่มาจากตัวเราจริงๆ ไม่ได้มาจากคนอื่น ก่อนหน้านี้เป็นแบบไม่คิดว่าตัวเองเก่งพอ ได้รับคำชมก็เฉยๆ เป้าหมายอีกอย่างคือเทคโอเวอร์บริษัทแล้วไล่คนนั้นออก
ข้อสี่ ตั้งมั่นกับตัวเองว่าฉันจะไม่กลับไปจุดต่ำสุดในชีวิตแบบนั้นอีกเด็ดขาด จะไม่ยอมให้คนอื่นมาทำร้ายเราแบบนั้นอีก มีครั้งนึงคนที่แกล้งเราพูดกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่เราต้องยืมรถเค้าไปวัดไซต์งาน (ที่นี่ยืมรถกันเป็นปกติ) ว่า "ก็ขับๆไปให้เค้าเถอะ จะได้จบๆ" เพียงเพราะแค่เราถามเค้าว่ารถเค้าสตาร์ทแบบไหน รถเค้ามันต่างจากรถที่เราเคยขับ เลิกงานวันนั้นเราให้สามีพาไปออกรถเลยค่ะ ยังไงก็ไม่สะดวกใจจะยืมรถคนอื่นขับอยู่แล้ว แล้วก็ก็คิดกับตัวเองว่าธุระของเค้าก็ไม่ใช่ รถก็ไม่ใช่ของเค้าแต่ด้วยนิสัยหรือสันดานของเค้าที่ขาดความเห็นอกเห็นใจในคนอื่น เค้าถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมา เราต้องไม่ให้อะไรแบบนั้นมาฝังในใจเราหรือทำร้ายเราเด็ดขาด ดีดมันกลับไป ชิ้วๆ
ถ้าถามว่าเราเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เราเปลี่ยนจากทุกอย่างต้องเป๊ะ ต้องเพอร์เฟค ทุกอย่างต้องควบคุมได้ ถ้ารู้ว่าจะไปตามนัดสายจะเครียดมาก ตอนนี้เราเป็นแบบยืดหยุ่นกับตัวเอง อะไรที่ควบคุมไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ หยุดมองสิ่งรอบตัวมากขึ้น เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น one thing at the time
ชีวิตดีขึ้นเยอะค่ะแต่คงไม่ดีขึ้นขนาดนี้ถ้าไม่มีสามี เพื่อนและคุณหมอ