ก้อนหินปริศนาในอดีต

Gornaya Shoria  



กลุ่มนักวิจัยได้พบอนุเสาวรีย์หินซึ่งมีน้ำหนักมากกว่า 1,000 ตัน ซ้อนทับกันอยู่ภายในหุบเขาแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของไซบีเรีย  ลักษณะการซ้อนทับของมันค่อนข้างมีความปราณีตอย่างมาก ซึ่งนักวิจัยคาดว่าพวกมันเกิดขึ้นมานานหลายพันปีแล้ว  หินบางก้อนมีขนาดใหญ่กว่าแท่งศิลาหินที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เรารู้จักกันถึง 2-3 เท่า  น้ำหนักโดยรวมของมัน อยู่ที่ราวๆ 3,000 – 4,000 ตัน
 
ความคิดเห็นที่ต่างกันในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่เห็นเพียงแค่ภาพถ่าย แต่ไม่ได้ไปสัมผัสของจริงต่างกล่าวว่า มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการก่อตัวทางธรรมชาติ  พวกเขาเชื่อว่า มันเป็นผลมาจากกระบวนการกัดเซาะทางธรณีวิทยาที่เกี่ยวข้องกับสภาพดินฟ้าอากาศที่รุนแรงภายในภูเขา Shoria   อย่างไรก็ตาม สำหรับนักวิจัยที่ไปสัมผัสพื้นที่ดังกล่าวด้วยตัวเอง กลับมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป
          
Georgy Sidorov นักสำรวจผู้ค้นพบศิลาหินแห่งนี้เป็นคนแรกได้กล่าวว่า ศิลาหินขนาดใหญ่เหล่านี้ มีพื้นผิวที่เรียบแบน มีเหลี่ยมมุมที่ลงตัว และมีรูปทรงคล้ายกับการก่ออิฐแบบโบราณ  ความมหัศจรรย์ของมันคือ หินเหล่านี้ทับซ้อนกันสูงกว่า 40 เมตร  ลักษณะการซ้อนทับค่อนข้างมีความปราณีตอย่างมาก ซึ่งนักวิจัยคาดว่าเกิดขึ้นมานานหลายพันปีแล้ว
ทั้งนี้ ในบริเวณดังกล่าวไม่มีร่องรอยการเกิดกระบวนการทางธรณีวิทยาในลักษณะใกล้เคียงกับศิลาหินนี้มาก่อน  ถ้าเป็นฝีมือของมนุษย์จริงคงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับการขนย้ายและการก่อสร้างศิลาหินขนาดยักษ์เหล่านี้

นอกจากนั้น ยังมีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปสถานที่แห่งนี้ เมื่อนักธรณีวิทยาพบว่า เข็มทิศของพวกเขาเกิดผิดปกติ หันเหออกไปจากศิลาหินดังกล่าว อย่างไม่ทราบสาเหตุ  จนถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่ทราบว่า ศิลาหินยักษ์นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อะไรต้องรอการพิสูจน์ต่อไป
เขียนโดย menmen 
Cr.ภาพ anton-dion.blogspot.com/
Cr. https://generalmenmen.blogspot.com/2019/09/4000.html

Sayhuite


Sayhuite  หินลึกลับที่มีลายเรขาคณิตมากกว่า 200 ลาย ทั้งยังมีใบหน้าของสัตว์เลื้อยคลานอย่าง กบ หรือแม้กระทั่ง แมว อยู่อีกด้วย 
โดยหินก้อนนี้ ตั้งอยู่ห่างไปทางตะวันออกของเมือง Abancay กว่า 47 กิโลเมตร หรืออยู่ห่างจากเมืองกุสโกนาน 3 ชั่วโมง ก้อนหินถูกตั้งไว้บนเนินเขา มีบ่อน้ำเล็กๆ แม่น้ำ อุโมงค์ และทางน้ำล้อมรอบ ซึ่งนักวิจัยยังคงไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่สร้างมันขึ้นมา

แต่นักวิจัย  Dr. Alan Amdrews  คาดว่าหินอาจจะถูกนำมาใช้โดยวิศวกรในยุคโบราณเพื่อเป็นต้นแบบการออกแบบและทดสอบระบบการจัดการน้ำ เพราะหินมีร่องรอยการแก้ไขหลายครั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงทิศทางของน้ำ

ด้วยความแปลกและเป็นปริศนาลึกลับทำให้โบราณสถานแห่งนี้กลายเป็นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม แต่นักวิจัยบางคน ก็เชื่อว่ามันเป็นศูนย์กลางทางศาสนา
เพื่อใช้ในการบูชาน้ำและจัดพิธีกรรมเพื่อบูชาน้ำ ร่องรอยการแกะสลักบนหินเป็นหลักฐานที่ช่วยยืนยัน แต่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น 

นอกจากนี้วิศวกร สมัยใหม่ยังคาดว่าอาจเป็นหินที่สร้างขึ้นโดยชาวอินคา ซึ่งหินนี้อาจเป็นชิ้นส่วนหนึ่งทางวัฒนธรรมของชาวอินคาที่หลงเหลืออยู่ แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปแต่อย่างใด 
Cr.https://handwork-manman.blogspot.com/2019/07/sayhuite.html?m=0

แผนที่โลกหิน

แผนที่โลกหินนี้ถูกค้นพบในปี 1984 โดยนักขุดทองในเอกวาดอร์ในระบบอุโมงค์ใต้ดินที่มีสิ่งประดิษฐ์อีก 350 รายการที่ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมยุคพรีโคลัมเบียนของอเมริกาใต้ นี่คือด้านหน้าของแผนที่หินโลกและคุณสามารถดูประมาณตะวันออกใกล้ใกล้กับซาอุดีอาระเบีย

โบราณวัตถุนี้ ถูกค้นพบโดยการสำรวจนำโดย Elias Sotomayor  ในเทือกเขาเอกวาดอร์ของ La Mana ในอุโมงค์ที่มีความลึกกว่า 90 เมตร ไม่พบอายุที่แน่นอนของการค้นหาในปัจจุบัน  มีสัญลักษณ์ที่สลักอยู่บนหินซึ่งนักวิชาการจำนวนหนึ่งระบุว่าภาษานี้เป็นภาษาสันสกฤต

ถือเป็นหนึ่งในลูกโลกที่เก่าแก่ที่สุดที่ทำด้วยหิน   บนลูกโลกหินจะเห็นโครงร่างของทวีปต่าง ๆ ที่ยังมีไม่มากเท่ายุคใหม่ ภาพของแผ่นดินมีเพียงเล็กน้อยนอกนั้นเป็นทะเลอันกว้างใหญ่ที่เป็นลักษณะของคลื่นทั่วไป
   
ด้านล่างของเส้นศูนย์สูตรในมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นเกาะขนาดมหึมาประมาณขนาดของมาดากัสการ์ในปัจจุบัน และยังมีลายละเอียดอื่นๆที่ต่างไป แต่ก็ถือว่ามันเป็นแผนที่ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกด้วย
Cr. http://firij.georgetown.domains/indian-ocean/prehistory-world-map-10000-bc/  

The Coso Artifact


ในช่วงฤดูหนาวของปี 1961 ขณะออกไปหาเก็บก้อนแร่และหินสวยงามบนเทือกเขาโอ ลัน คา ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย วอลเลซ เลน (Wallace Lane), เวอร์จิเนีย แม็กซี (Virginia Maxey) และไมค์ ไมค์เซล(Mike Mikesell)  ได้เจอหินที่เข้าใจว่าเป็นแก้วผลึกก้อนหนึ่ง ทั้งสามชอบใจมาก เพราะคิดว่าถ้าเอากลับไปขายที่ร้านอัญมณี ของตัวเอง คงได้ราคาพอควร
 
 แต่เมื่อกะเทาะออกดู ไมค์เซลก็เจอวัตถุชิ้นหนึ่งอยู่ข้างใน มองเหมือนเครื่องเคลือบสีขาว ตรงกลางมีแท่งโลหะแวววาว ผู้เชี่ยวชาญประมาณว่า ต้องใช้เวลาร่วม 500,000 ปี กว่าที่เจ้าก้อนผลึกนี้จะก่อตัวห่อหุ้มวัตถุนี้ไว้ภายในได้เช่นนี้ ทั้งๆ ที่วัตถุดังกล่าวมองเหมือนเป็นผลงานจากน้ำมือของมนุษย์
  
เมื่อตรวจสอบเจ้าแท่งโลหะดังกล่าวอย่างละเอียดพบว่า สิ่งที่ดูคล้ายขั้วไฟฟ้านี้ทำมาจากโลหะแข็ง สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีเดียวกับการสร้าง ‘ตัวนำยิ่งยวด’ (Super Conductor) ซึ่งเป็นสารที่มีความต้านทานเป็นศูนย์ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน และเมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยการเอกซเรย์ก็พบว่า มันมีสปริงเล็กๆ ติดอยู่ที่ปลายข้างหนึ่ง ซึ่งดูยังไงก็น่าจะเป็นผลงานการสร้างจากน้ำมือของมนุษย์

น่าเสียดายที่ยังไม่มีใครพบหลักฐานอย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน ปริศนาเรื่องจุดกำเนิดของขั้วไฟฟ้าที่มีอายุมากกว่าห้าแสนปีชิ้นนี้นั้นจึงเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายต้องหาคำตอบกันต่อไป
เขียนโดย menmen 
Cr. https://generalmenmen.blogspot.com/2017/01/the-coso-artifact.html

ก้อนหิน 3,500 ล้านปี


นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวลส์ ออกมาประกาศในวันพฤษหัสบดีที่ 26 กันยายน 2019  ว่าพวกเขาได้ทำการค้นพบสิ่งมีชีวิตยุคแรกสุดที่ปรากฎตัวขึ้นมาบนโลกนี้เข้าแล้ว มีข้อมูลอยู่ภายในก้อนหินอายุ 3,500 ล้านปีจากประเทศออสเตรเลีย  อ้างอิงจากนักวิทยาศาสตร์ หินเก่าแก่ก้อนนี้เป็นสิ่งที่เรียกกันว่า “สโตรมาโตไลต์” ถูกค้นพบครั้งแรกที่ชั้นหิน Dresser Formation ในทางตะวันตกของออสเตรเลียตั้งแต่เมื่อช่วงยุค 1980 แต่เพิ่งจะสามารถวิเคราะห์ตัวอย่างจุลินทรีย์ได้เมื่อไม่นานนี้

เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทำการวิจัยก้อนหินชิ้นนี้ พวกเขาได้รู้สึกตัวถึงลวดลายบนหินที่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งมีตัวต้นจริงๆ เป็นจุลินทรีย์นับล้านตัว รวมตัวกันเป็นกระจุกและกลายเป็นฟอสซิลไป  และสามารถตรวจสอบได้ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนกำลังสูง เทคโนโลยีสเปกโตรสโคปี และการวิเคราะห์ไอโซโทป
 
ด้วยอายุของหินที่พบทำให้นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจุลินทรีย์เหล่านี้ น่าจะมีชีวิตขึ้นมาบนโลกตั้งแต่ช่วงเวลา 1,000 ล้านปีหลังจากโลกก่อตัวขึ้นเท่านั้น (โลกอายุราวๆ 4,500 ล้านปี)  และแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่น่าสนใจของดาวอีกดวงใกล้ๆโลกด้วย  เพราะ ชั้นหินในแถบทะเลทรายของออสเตรเลียอันเป็นสถานที่ที่สโตรมาโตไลต์ถูกพบนั้น มีอายุเท่าๆ กับเปลือกของดาวอังคาร

ดังนั้นบนดาวอังคารเพื่อนบ้านอาจจะมีสโตรมาโตไลต์ที่มีจุลินทรีย์อยู่ภายในเช่นกัน ซึ่งความเป็นไปได้นี้ก็ทำให้ในช่วงปี 2019 ที่ผ่านมา ทางนาซาจึงได้เข้ามาร่วมศึกษาหินดังกล่าวในเขต Pilbara ของออสเตรเลีย

“หินโบราณของออสเตรเลียและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของเรากำลังทำสิ่งที่มีความสำคัญต่อการค้นหาชีวิตนอกโลกและไขความลับของดาวอังคารอยู่”
คุณ Martin Van Kranendonk ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวลส์หนึ่งในทีมนักวิจัยกล่าวอย่างภูมิใจ 
ที่มา livescience, cnet, thesun และ geoscienceworld
Cr.https://www.catdumb.tv/earliest-signs-of-life-378/ By เหมียวศรัทธา

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่