ป้อมปราการเก่าแก่ในประวัติศาสตร์

Ananuri Fortress



ป้อมอันนานูรี  ปราสาทป้อมปราการสุดแข็งแกร่งที่ผ่านการนองเลือดสุดทารุณมากมาย สถานที่ทางประวัติศาสตร์ทรงคุณค่าที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอรากวี   ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอรากวี (Aragvi River) ประเทศจอร์เจีย (Georgia) สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 โดยทำหน้าที่เป็นป้อมปราการและปราสาทของราชวงศ์ผู้ปกครองที่สืบเชื้อสายมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13

ที่น่าสนใจก็คือที่ตั้งของป้อมอันนานูรีนั้นเป็นทางผ่านของเส้นทางสายไหมอันโด่งดัง ตัวป้อมนั้นผ่านสงครามและการนองเลือดมาหลายครั้ง หนึ่งในครั้งที่รุนแรงที่สุดก็คือในปี 1739 เผ่าอรากวีที่เป็นเจ้าของป้อมอันนานูรีถูกสังหารหมู่ ส่วนป้อมปราการของพวกเขาเองก็ถูกเผาทำลาย แต่บางส่วนของป้อมก็ยังเหลือรอดมาได้จนถึงปัจจุบัน
 
ป้อมอันนานูรีนั้นประกอบขึ้นด้วยสองหอคอย หอคอยที่สูงกว่ามีชื่อว่า เชอโปวารี (Sheupovari) สร้างเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมและยังคงอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์แบบ ส่วนหอคอยที่เตี้ยกว่านั้นเป็นหอคอยกลมที่อยู่เป็นซากปรักหักพัง แทบไม่เหลือเค้าเดิมในอดีตอันรุ่งเรือง

ทั้งสองหอคอยมีกำแพงอิฐสุดแข็งแกร่งเชื่อมกันอยู่ ด้านในมีโบสถ์ถึง 2 หลัง หลังแรกคือโบสถ์เก่าแก่แห่งพระนางแมรี่ผู้บริสุทธิ์ (The older Church of the Virgin) ที่มีหลุมฝังศพของเหล่าดยุคแห่งอรากวีอยู่ อีกโบสถ์คือโบสถ์ยิ่งใหญ่แห่งอัสสัมชัญ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมากมายต่างเดินทางมาเพื่อเที่ยวชม
Cr.https://www.worldtourcenter.com/ป้อมอันนานูรี-ananuri-fortress# / by WorldTourCenter

Holstentor Gate


Holstentor Gate ถือเป็นประตูเมืองอยู่ในเขตฝั่งตะวันตกของศูนย์กลางเมืองเก่าของสันนิบาตฮันเซอ รู้จักกันในชื่อ ฮันเซอ หรือ ฮันซา ลือเบกค์ ในเยอรมนี สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1464 สิ่งปลูกสร้างเป็นแบบสถาปัตยกรรมโกธิคที่ใช้อิฐก่อสร้างให้เป็นป้อมปราการมีอาคารรูปทรงกลมสองอาคารขนาบข้างประตูทางเข้าพร้อมกับหลังคารูปทรงแหลมเป็นป้อมปราการ และปัจจุบันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ไปแล้ว และย่านศูนย์กลางของเมืองเก่า Altstadt ของเมืองลือเบ็คนั้นได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987

เป็นประตูเมืองที่ประกอบไปด้วยหอคอยทางด้านเหนือและใต้โดยมีอาคารคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างหอคอยรูปทรงกลมทั้งสองฝั่ง มีทั้งหมด 4 ชั้น ยกเว้นชั้นล่างของตึกที่อยู่อยู่ตรงกลาง ในส่วนฝั่งตะวันตกเรียกว่า "field side" ส่วนฝั่งที่หันหน้าเข้าหาเมืองเรียกว่า "city side" ทั้งสามอาคารที่ตั้งอยู่ติดกันนั้นหากมองจากฝั่งวิวเมือง หรือ ซิตี้ไซด์ จะเห็นเหมือนว่าอาคาร 3 หลังนี้เป็นอาคารหลังเดียว

ส่วนถ้ามองจากอีกด้านคือฝั่ง field side จะมองเห็นเป็นอาคาร 3 อาคารที่เชื่อมติดกันอย่างชัดเจน หอคอย 2 หลังที่เป็นรูปคล้ายครึ่งวงกลมนี้จะมีส่วนที่กว้างที่สุดซึ่งขยายไปถึง 3.5 เมตรเหนืออาคารหลังตรงกลาง หอคอยรูปทรงกลมจะมีหลังคาที่เป็นรูปทรงกรวยคว่ำปลายแหลม ส่วนอาคารตรงกลางนั้นจะเป็นหลังคาทรงหนาๆ

ทางเดินผ่านที่เป็นรูปโค้งซึ่งอยู่ตรงตึกกลางนั้นจะมีประตูสองประตูอยู่ตรงฝั่งฟีลด์ไซด์ ตรงซิตี้ไซด์จะอ่านว่า SPQL ซึ่งจะมีปีระบุไว้ด้วยคือ ปี ค.ศ. 1477 ถึง ค.ศ. 1871 ซึ่งเป็นช่วงปีที่ประตูนี้ได้รับการบูรณะ ตัวอักษรที่ถูกติดอยู่เหนือทางเข้า 4 ตัวนี้มีความเกี่ยวข้องกับยุคของโรมันและมาจากคำว่า Senatus populusque Lubecensis ซึ่งหมายถึง อารยธรรมโรมันโบราณขณะมีรัฐบาลเป็นสาธารณรัฐ
ที่มา en.wikipedia.org
Cr. https://travel.thaiza.com/foreign/473291/

Sidon Sea Castle


ป้อมปราการแห่งดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นหนึ่งในสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดในเมืองท่า  Sidon ประเทศเลบานอน สร้างขึ้นโดยเหล่านักรบครูเสดในศตวรรษที่ 13 ประกอบด้วยหอคอย 2 หอคอยเชื่อมต่อกันด้วยกำแพง กำแพงด้านนอกมีการใช้เสาโรมันเป็นแนวเสริม การสร้างเสาเป็นแนวแบบนี้ ในอดีตมักพบเห็นได้ในป้อมปราการที่สร้างขึ้นใกล้กับแถบถิ่นอาศัยของชาวโรมัน

เมือง Sidon ตั้งอยู่บนชายฝั่งแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของประเทศเลบานอน มีความเชื่อว่าทั้งเกาะและปราสาทแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ตั้งของพระราชวังของกัษัตริย์แห่ง Phoenician และอนุสาวรีย์ของ Phoenician อีกหลายแห่ง แต่ก็ถูกทำลายโดย Esarhaddon และภัยธรรมชาติอย่าง แผ่นดินไหว นอกจากนี้ เกาะแห่งนี้ยังเป็นเกราะป้องกันจากการรุกรานภายในเมืองอีกด้วย

เมือง Phoenician โบราณ อันมีคุณค่าทั้งทางศาสนา การเมือง และการค้า ได้รับการกล่าวขานว่ามีอายุยาวนานถึง 4,000ปี ก่อนคริสตศักราช และในช่วงศตวรรตที่ 13 เหล่านักรบครูเสตก็ได้สร้าง Sidon's Sea Castle แห่งนี้ เพื่อเป็นป้อมปราการ ป้องกันเก่าเล็กๆ แห่งนี้ ถึงแม้จะได้รับความเสียหายจากสงครามไปบ้างบางส่วน แต่ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่จนมีสภาพดังในปัจจุบัน
Cr.en.wikipedia.org
Cr. https://travel.thaiza.com/foreign/450080/

Narikala Fortress


ป้อมนาริกาลา ป้อมปราการเก่าแก่ที่มีอายุยาวนานมากกว่าพันปี  ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เพื่อใช้สำหรับปกป้องเมือง ว่ากันว่าถ้ามาที่เมืองทบิลิซี
แล้วไม่ได้มาเที่ยวชมป้อมปราการแห่งนี้ถือว่ายังมาไม่ถึง  ชื่อของป้อมปราการนาริกาลาเป็นภาษาเปอร์เซีย แปลว่าป้อมที่ไม่สามารถตีแตก  และก็เป็นป้อมที่ผ่านศึกสงครามมานานแต่ก็ไม่สามารถโดนตีแตกได้เสียที

ในช่วงศตวรรษที่ 4 นั้น ป้อมแห่งนี้ถูกสร้างโดยชาวเปอร์เซีย ในช่วงศตวรรษที่ 8  ได้มีการต่อเติมและซ่อมแซมโดยชาวอาหรับ ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 11
ป้อมปราการได้รับการต่อเติมอีกครั้งโดยกษัตริย์เดวิด ฉะนั้นป้อมปราการที่นักท่องเที่ยวได้เห็นในปัจจุบันนั้นเป็นป้อมปราการที่ได้รับการซ่อมแซมมาแล้วในช่วงศตวรรษที่ 16 และ 17  ปัจจุบันป้อมปราการนาริกาลา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์คยอดนิยม
Photo By  sunnytravel.org/  travel.sygic.com
                 trover.com  dissolve.com  inyourpocket.com
Cr.https://yougoigo.co/ป้อมนาริกาลา-narikala-fortress/ By yougoigo_admin

Belogradchik Fortress


 ป้อมปราการเบโลกราดชิค (Belogradchik Fortress) ตั้งอยู่ที่เมืองวิดิน อยู่บนเนินเขาบอลข่าน เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจในแถบยุโรปตะวันออกเฉียงใต้  เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญระดับชาติของบัลแกเรีย สมัยก่อนที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันที่สร้างขึ้นเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันเมือง เคยผ่านสงครามมาแล้วมามากมาย แต่ยังเป็นซากปรักหักพังที่ยังสมบูรณ์ เพราะได้รับการดูแลรักษาอย่างดี 
 
ป้อมนี้มีกำแพงสูงประมาณ 2 เมตรและมีความหนา แบ่งโซนเฝ้าระวังต่างๆ นอกจากตัวป้อมที่เป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวแล้ว พื้นที่รอบๆโดยเฉพาะเทือกเขาหินรูปร่างแปลกที่ตั้งอยู่รอบๆ ทำให้เกิดเป็นวิวที่น่าอัศจรรย์หากมองไกลๆหินจะมีรูปร่างคล้ายกับปราสาท  หินบางก้อนอยู่ใกล้กับป้อมจนผสมเป็นหนึ่งเดียวกันจากความเก่าแก่ นอกจากนี้ยังมีภาพเขียนโขดหินให้เยี่ยมชม ทำให้นักท่องเที่ยวมากมายหลั่งไหลเข้ามาชมโบราณสถานที่มีคุณค่าแห่งนี้
Cr. http://www.pentorexchange.com/news_view.php?id=806

Murud Janjira


ในช่วงปลายยุค 1200 ชาวโคลี หรือที่ถูกเรียกว่าเป็น “ราชาแห่งชาวประมง” ได้สร้างป้อมปราการแรกนอกชายฝั่ง Maharastra บนเกาะหินในทะเลอาหรับ อย่างไรก็ตาม เกาะแห่งนี้ได้ถูกซ่อนสิ่งสำคัญเอาไว้อย่างดี ในส่วนกลางด้านในของป้อมปราการ เคยเป็นบ่อกักเก็บน้ำดื่มที่ไม่ปนเปื้อนน้ำเค็ม

ในการสู้รบบนเกาะแห่งนี้ สิ่งสำคัญการยังชีพคือ น้ำจืดสะอาดสำหรับการดื่ม และปลาสำหรับอาหาร เกาะที่เป็นป้อมปราการเช่นนี้นี้ยากมากที่จะเอาชนะได้ และเป็นเวลากว่า 200 ปี ชาวประมงชาวอินเดียได้ต่อสู้กับการรุกรานของกองทัพมุสลิม จนกระทั่งมีการบุกโจมตีม้าโทรจัน ซึ่งเป็นแผนการทางทหารที่แกล้งทำเป็นพ่อค้าขายเหล้าซ่อนตัวอยู่ในถังเหล้าและทำให้ทหารโคลีเกิดเมาก่อนการโจมตีโดย Habashi ในที่สุดคว่ำราชาชาวประมงได้ในที่สุด

เมื่อจักรวรรดิอังกฤษขยายสู่อินเดียอังกฤษพยายามจะเข้าสู่ป้อม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ชาวอังกฤษได้ลงนามในสนธิสัญญากับกลุ่มชาวมุสลิมชาวมุสลิม Siddis ที่ได้รับมอบอำนาจในการปกครองเกาะนี้จากชาว Habashi การลงนามสนธิสัญญาส่งผลให้ป้อมนี้อยู่ภายใต้การปกครองท้องถิ่น ซึ่งเป็นเอกราชจากอาณานิคมอินเดียทั้งหมด เมื่ออินเดียได้ประกาศอิสรภาพเมื่อปี 1947 เกาะแห่งนี้ได้ถูกรวมเข้ากับรัฐบอมเบย์ ประเทศอินเดีย

เกาะแห่งนี้ เปิดให้นักท่องเที่ยวเกาะนี้สามารถเข้าถึงได้โดยเรือใบ มีเนื้อที่บนเกาะมั้งหมดประมาณ 22 เอเคอร์ เมื่อไปยังเกาะแห่งนี้ นอกจากเกาะที่สวยงามแล้ว เราจะได้พบกันป้อมโบราณและซากปรักหักพังของปราสาทที่ถูกทำลายอีกด้วย
Cr.ภาพ tripoto.com/
Cr.atlasobscura.com   holidify.com
Cr.https://travel.thaiza.com/foreign/371805/

Suomenlinna


ซัวเม็นลินนา หมายถึง ปราสาทแห่งฟินแลนด์ เป็นสถานที่ที่อยู่อาศัยได้ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะในทะเล ประกอบไปด้วย 6 เกาะ คือ (Kustaanmiekka(sv:Vargskär / Gustavssvärd), Susisaari(sv:Vargö), Iso-Mustasaari(sv:Stora Östersvartö), Pikku-Mustasaari(sv:Lilla Östersvartö), Länsi-Mustasaari(sv:Västersvartö) and Långören) และเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวงของฟินแลนด์ นั่นก็คือ เฮลซิงกิ

ซัวเม็นลินนาได้เป็นมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO และมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่นี่มากเนื่องจากความสวยงามของที่นี่ ก่อนหน้าที่ป้อมปราการแห่งนี้จะมีชื่อว่า Suomenlinna ซึ่งแปลว่าปราสาทแห่งฟินแลนด์ สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า Sveaborg สเวียบอรี ซัวเม็นลินนาถูกสร้างโดยกษัตริย์แห่งสวีเดนในปี 1748 ซึ่งเป็นการปกป้องการรุกรานของรัสเซีย ผู้ที่รับหน้าที่ในการก่อสร้างป้อมคือ Augustin Ehrensvärd

การสร้างป้อมปราการนี้มีความคิดมาจากทหารที่เป็นวิศวกรและยังได้แรงบันดาลใจการออกแบบมาจากกลุ่มหินที่เกาะการที่ป้อมปราการถูกออกแบบให้หันหน้าเข้าหาท้องทะเลเพื่อให้สามารถมองเห็นศัตรูผู้รุกรานได้ ซึ่งที่นี่ใช้สำหรับเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ของทหารสวีเดน รวมทั้งทหารเรือด้วย ในสงครามระหว่างฟินแลนด์กับรัสเซีย ฟินแลนด์เป็นฝ่ายพ่ายสงครามในปี 1808
Cr.en.wikipedia.org / jrrny.com / bjorngrotting.photoshelter.com
Cr.https://travel.thaiza.com/foreign/403309/

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่