
จะมีคนอยู่จำพวกหนึ่งที่เราได้แต่สงสัยว่าทำไมเค้าถึงได้เกลียดชังโลกใบนี้นัก ทำไมมุมมองต่อโลกใบนี้ของเค้าถึงมีแต่เรื่องลบๆ ร้ายๆ แล้วแม้ว่าเราจะแอบรู้สึกได้ว่าเค้าช่างเหงาและโดดเดี่ยวมากแค่ไหน แต่เค้าก็ไม่ยินยอมให้ใครหยิบยื่นมิตรภาพให้เลย หรือไม่ก็เต็มไปด้วยความระแวดระวังเมื่อมีใครสักคนทำอะไรดีๆ ให้ ... แล้วบางทีก็เป็นตัวเราเองที่กลายเป็นคนแบบที่ว่านั้น
.
Can You Ever Forgive Me? สร้างจากเรื่องจริงของ Lee Israel นักเขียนรุ่นใหญ่ที่กำลังตกอับสิ้นไร้หนทาง ทั้งหน้าที่การงานที่ถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์ คนรักที่เลิกราไปก็เหมือนจะเกลียดชังเธอ เงินทองที่ร่อยหรอ จนค้างค่าเช่าห้องมาหลายเดือน แม้กระทั่งเงินรักษาเจ้าแมวเหมียว สิ่งมีชีวิตที่นับว่าเป็นเพื่อนเพียงตัวเดียวของเธอก็ไม่มีปัญญาจะจ่าย แล้วในช่วงเวลาอันมืดมน Lee ก็ค้นพบพรสวรรค์ของตัวเอง เมื่อเธอสามารถปลอมแปลงจดหมายของเหล่านักเขียนคนดังในอดีตได้ราวกับพวกเค้ามานั่งเขียนเอง จากนั้นก็นำออกขายให้ร้านหนังสือและนักสะสม แล้วจากการหาเงินมาใช้จ่ายเรื่องจำเป็น มันก็เลยเถิดกลายเป็นอาชญากรรมจากความตั้งใจ
.
มีหนังหลายเรื่องที่เรามักจะหงุดหงิดเมื่อเห็นตัวละครพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยาก แต่กับ Lee Israel ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะแม้ตัวเธอจะมีนิสัยน่ารังเกียจ (โวยวายโผงผาง ปากร้าย สกปรกเลอะเทอะ ทำตัวอยู่เหนือคนอื่น ทั้งที่จริงแล้วเธอน่ะโคตรจะไม่มั่นใจในตัวเองเลย) แต่เราก็ได้เห็นด้านเป็นมนุษย์อันแสนเปราะบางของเธอ ชอบมากที่มิตรภาพระหว่างเธอกับ Jack Hock เพื่อนเกย์ที่บังเอิญเจอในร้านเหล้านั้นถูกสานสัมพันธ์อย่างง่ายๆ แต่ก็แนบแน่น มันเป็นมิตรภาพของคนที่ไม่เหลืออะไรแล้วให้พึ่งพา มิตรภาพของคนเหมือนๆ กันที่โคจรมาเจอกัน และปลอบประโลมกันและกัน ชอบมากขึ้นไปอีกที่มันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเลสเบี้ยนและเกย์ผู้โดดเดี่ยว แต่ก็ไม่ได้สิ้นหวังซะทีเดียว
.
Melissa McCarthy มอบการแสดงที่เรารักมาก เธอสลัดคราบนักแสดงตลกเล่นใหญ่แบบเดิมๆ สู่ดราม่าหนักๆ ที่เจือกลิ่นอายตลกหน้าตายแบบจางๆ ได้อย่างงดงาม ไม่ใช่แค่ลุคเสื้อผ้าหน้าผม แต่มันคือการแสดงจากภายในที่ตีความละเอียดยิบ เช่นเดียวกับ Richard E. Grant ที่กอดคอกันชิงออสการ์ โอ้โห เหมือนเราได้เห็นคุณปู่เกย์แก่อย่างนี้ที่ไหนสักแห่งในเมืองไทยนี่แหละ ที่สำคัญเคมีของทั้งคู่คือดีมาก!
.
เหนือสิ่งอื่นใด มันคือหนังที่ดูสนุกมาก ยิ่งพอเราไม่รู้จักคดีนี้มาก่อน เราก็ยิ่งลุ้นว่าสุดท้ายแล้วชะตากรรมและอาชญากรรมของ Lee Israel จะลงเอยเช่นใด พาร์ตครึ่งหลังนี่ระทึกราวกับนั่งดูหนังโจรกรรมชั้นดี แล้วดราม่าก็บีบคั้นจนเราเผลอร้อง โอ๊ย! แต่ก็นั่นแหละ Can You Ever Forgive Me? ทำให้เราย้อนมองความผิดพลาดล้มเหลว ไปจนถึงความผิดบาปของตัวเราเอง บ่อยครั้งที่เราชอบหยิบเรื่องเหล่านั้นยัดใส่ลิ้นชักแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และอีกบ่อยครั้งที่เราเลือกตัดความสัมพันธ์กับผู้คนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเอ่ยปากขอโทษขอโพย แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นไม่ได้เคยเกิดขึ้นเลย มิใช่หรือ?
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่
เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
[CR] [Review] Can You Ever Forgive Me? (2018)
จะมีคนอยู่จำพวกหนึ่งที่เราได้แต่สงสัยว่าทำไมเค้าถึงได้เกลียดชังโลกใบนี้นัก ทำไมมุมมองต่อโลกใบนี้ของเค้าถึงมีแต่เรื่องลบๆ ร้ายๆ แล้วแม้ว่าเราจะแอบรู้สึกได้ว่าเค้าช่างเหงาและโดดเดี่ยวมากแค่ไหน แต่เค้าก็ไม่ยินยอมให้ใครหยิบยื่นมิตรภาพให้เลย หรือไม่ก็เต็มไปด้วยความระแวดระวังเมื่อมีใครสักคนทำอะไรดีๆ ให้ ... แล้วบางทีก็เป็นตัวเราเองที่กลายเป็นคนแบบที่ว่านั้น
.
Can You Ever Forgive Me? สร้างจากเรื่องจริงของ Lee Israel นักเขียนรุ่นใหญ่ที่กำลังตกอับสิ้นไร้หนทาง ทั้งหน้าที่การงานที่ถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์ คนรักที่เลิกราไปก็เหมือนจะเกลียดชังเธอ เงินทองที่ร่อยหรอ จนค้างค่าเช่าห้องมาหลายเดือน แม้กระทั่งเงินรักษาเจ้าแมวเหมียว สิ่งมีชีวิตที่นับว่าเป็นเพื่อนเพียงตัวเดียวของเธอก็ไม่มีปัญญาจะจ่าย แล้วในช่วงเวลาอันมืดมน Lee ก็ค้นพบพรสวรรค์ของตัวเอง เมื่อเธอสามารถปลอมแปลงจดหมายของเหล่านักเขียนคนดังในอดีตได้ราวกับพวกเค้ามานั่งเขียนเอง จากนั้นก็นำออกขายให้ร้านหนังสือและนักสะสม แล้วจากการหาเงินมาใช้จ่ายเรื่องจำเป็น มันก็เลยเถิดกลายเป็นอาชญากรรมจากความตั้งใจ
.
มีหนังหลายเรื่องที่เรามักจะหงุดหงิดเมื่อเห็นตัวละครพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยาก แต่กับ Lee Israel ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะแม้ตัวเธอจะมีนิสัยน่ารังเกียจ (โวยวายโผงผาง ปากร้าย สกปรกเลอะเทอะ ทำตัวอยู่เหนือคนอื่น ทั้งที่จริงแล้วเธอน่ะโคตรจะไม่มั่นใจในตัวเองเลย) แต่เราก็ได้เห็นด้านเป็นมนุษย์อันแสนเปราะบางของเธอ ชอบมากที่มิตรภาพระหว่างเธอกับ Jack Hock เพื่อนเกย์ที่บังเอิญเจอในร้านเหล้านั้นถูกสานสัมพันธ์อย่างง่ายๆ แต่ก็แนบแน่น มันเป็นมิตรภาพของคนที่ไม่เหลืออะไรแล้วให้พึ่งพา มิตรภาพของคนเหมือนๆ กันที่โคจรมาเจอกัน และปลอบประโลมกันและกัน ชอบมากขึ้นไปอีกที่มันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเลสเบี้ยนและเกย์ผู้โดดเดี่ยว แต่ก็ไม่ได้สิ้นหวังซะทีเดียว
.
Melissa McCarthy มอบการแสดงที่เรารักมาก เธอสลัดคราบนักแสดงตลกเล่นใหญ่แบบเดิมๆ สู่ดราม่าหนักๆ ที่เจือกลิ่นอายตลกหน้าตายแบบจางๆ ได้อย่างงดงาม ไม่ใช่แค่ลุคเสื้อผ้าหน้าผม แต่มันคือการแสดงจากภายในที่ตีความละเอียดยิบ เช่นเดียวกับ Richard E. Grant ที่กอดคอกันชิงออสการ์ โอ้โห เหมือนเราได้เห็นคุณปู่เกย์แก่อย่างนี้ที่ไหนสักแห่งในเมืองไทยนี่แหละ ที่สำคัญเคมีของทั้งคู่คือดีมาก!
.
เหนือสิ่งอื่นใด มันคือหนังที่ดูสนุกมาก ยิ่งพอเราไม่รู้จักคดีนี้มาก่อน เราก็ยิ่งลุ้นว่าสุดท้ายแล้วชะตากรรมและอาชญากรรมของ Lee Israel จะลงเอยเช่นใด พาร์ตครึ่งหลังนี่ระทึกราวกับนั่งดูหนังโจรกรรมชั้นดี แล้วดราม่าก็บีบคั้นจนเราเผลอร้อง โอ๊ย! แต่ก็นั่นแหละ Can You Ever Forgive Me? ทำให้เราย้อนมองความผิดพลาดล้มเหลว ไปจนถึงความผิดบาปของตัวเราเอง บ่อยครั้งที่เราชอบหยิบเรื่องเหล่านั้นยัดใส่ลิ้นชักแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และอีกบ่อยครั้งที่เราเลือกตัดความสัมพันธ์กับผู้คนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเอ่ยปากขอโทษขอโพย แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นไม่ได้เคยเกิดขึ้นเลย มิใช่หรือ?
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่ เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้