รู้สึกว่าตัวเองจะมีรางว่าจะเรียนไม่จบทำยังไงดีครับ?

*ขอบอกก่อนที่จะเล่านะครับว่า เนื้อหาที่ผมจะเล่าค่อนข้างที่จะยาว เเต่อยากให้ทุกๆคนได้อ่านเเละช่วยเเชร์ความคิดเห็นให้กับผมด้วยนะครับ
เริ่มต้นเลย ผมชื่อ A ครับ จบ ปวช. สาขาไฟฟ้ากำลัง เเละกำลังจะเข้าศึกษาที่ มหาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) คณะครุศาสตร์ สาขาวิศวะกรรมไฟฟ้าครับ บางคนเเค่เห็นชื่อมหาลัยนี้ก็รู้เเล้วว่ามหาลัยการเรียนค่อนข้างเป็นยังไงใน (3 พระจอม) ส่วนตัวผมไม่ได้คิดว่าจะเข้ามหาลัยนี้ตั้งเเต่เเรก เเต่ด้วยที่ว่า พ่อเเม่ ญาติหลายๆคนอยากให้ผมเข้ามหาลัยนี้เพราะจบมาคงมีการมีงานที่ดีทำ ผมก็เลยตัดสินใจสมัครเข้าศึกษาที่นี่ โดยวิธีสมัคร ผมสมัครรอบ โควต้าเรียนดี เป็นรอบที่เกรดต้องถึง 3.00 ขึ้นไปนะครับ ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่คนที่เรียนเก่ง เข้าใจอะไรยาก เวลาเรียนเยอะๆก็จะมึนหัว เเต่ด้วยที่ว่าวิทยาลัยที่ผมเรียนมาค่อนข้างปล่อยเกรด ถ้าคนที่เรียน ปวช. มาจะรู้ดีว่า เทคนิค/เทคโน ค่อนข้างที่จะปล่อยเกรดพอๆกัน เเค่มาเรียนทุกวัน ส่งงานตามเวลา ก็ได้ไปเเล้ว เกรด 3 ขึ้นเเต่ก็ไม่ใช่ทุกคนเพราะส่วนใหญ่คนที่จะได้เกรด 3 ขึ้นต้องเป็นคนที่ ไม่เคยขาดเรียน ตั้งใจเรียน คบเพื่อนดี ทำให้อาจาร์มองเราในเเง่ดี ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมเลือกคบเพื่อนที่มีนิสัยค่อนข้างที่จะดี เกาะกลุ่มกับเรียน เพราะผมรู้ตัวดีว่าตัวเองเรียนไม่เก่งก็เลยต้องเลือกคบเพื่อนเพื่อที่จะได้ไปรอด เด็ก ปวช. ส่วนใหญ่จะเเบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเด็กเรียน กับ กลุ่มเกเร เข้าเรื่องต่อเลยครับ ผมได้เกรด 3.00 ขึ้นมา 5 เทอมติดทำให้ผ่านเกณฑ์การสมัครรอบ โควต้าเรียนดี ทำให้ผมเข้าไปสอบสัมภาษณ์ได้เลย ก่อนสอบสัมภาษณ์ผมก็เตรียมตัวเรื่องคำพูดต่างๆที่คิดว่ากรรมการน่าจะถามเช่น ทำไมถึงอยากเข้ามหาลัยนี้ ถ้าเข้ามาเรียนเเล้วจะไหวไหม เเละอื่นๆ เเล้วก็จะมีคำถามเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานที่คิดว่าเขาต้องถามเเน่ๆ เราเรียนด้านวิชาชีพมาก็จะเตรียมตัวเรื่องด้านวิชาที่เราเรียนมาเช่น เรื่องไฟฟ้าเบื้องต้น,วงจรไฟฟ้า ผมก็เตรียมไปเยอะมากๆ พอถึงวันสัมภาษณ์ก็จะตื่นเต้นหน่อยๆ เเต่ผมก็ทำตัวให้สบายๆไม่เกรง ก็ไปนั่งรอสัมภาษณ์ผมคิวที่ 6 เวลาคนอื่นออกจากห้องสัมภาษณ์มารุ่นพี่ก็จะให้บอกกับเพื่อนๆที่รอสัมภาษณ์ว่า กรรมการถามอะไรบ้าง ทั้ง 4-5 คนที่เข้าไปสัมภาษณ์บอกกันเเบบเดียวเลยว่า กรรมการจะถามเรื่องไฟฟ้าเบื้องต้นเช่น บ้านเรือนใช้ไฟฟ้ากี่โวลล์ โรงงานอุตสาหกรรมใช้ไฟฟ้ากี่โวลล์ ประมาณนี้ เเล้วก็จะถามเรื่อง พ่อเเม่ ทำงานอะไร ทำไมถึงอยากเข้ามหาลัยนี้ พอผมได้ยินผมก็โล่งอกมากๆ พอถึงเวลาผมสัมภาษณ์ ผมก็เข้าไป ยื่น Port ให้กรรมการไปเขาเปิดดู Profile เราเขาเลยรู้ว่าเราจบจากวิทยาลัยนี้มา เขาถึงกับส่ายหัว ต้องบอกก่อนว่าวิทยาลัยผมค่อนข้างที่จะมีชื่อเสียงเรื่อง ทะเลาะวิวาทกับสถาบันอื่น อีกอย่างผมเป็นคน กทม. ส่วนใหญ่คนที่มาสัมภาษณ์ก็มาก็จาก ตจว. ทั้งนันผมน่าจะเป็นคนเดียวที่มาจาก กทม. กรรมการเลยรู้ว่าสถาบันนี้เป็นยังไง เเล้วก็ถึงจุดลงเหวจนได้ กรรมการก็ไม่พูดพร่ำทําเพลงถามสูตรคำนวณเกี่ยวกับวิชาวงจรไฟฟ้าที่ใครฟังก็ถึงกับมึดเลยทีเดียว ผมนึกในใจตอนนั้นเลยว่าทำไม 4-5 คนที่เข้าไปทำไมเขาถามเเค่เรื่องง่ายๆเบสิกๆเเต่ทำไมผมถึงโดนถามอะไรเเบบนี้ ทำให้ผมตอบคำถามไม่ได้ซักคำถาม จนกรรมการส่ายหัวเเล้วก็บอกว่า โอกาสหน้ามาสมัครใหม่เเล้วกัน ผมเดินคอตกออกมาจากห้อง พี่ๆก็ถามว่ากรรมการถามอะไรบ้าง ผมก็บอกในสิ่งที่เจอไป พี่ๆเขาถึงกับงงกับสิ่งที่ผมเจอ พี่เขาก็บอกให้ใจเย็นกรรมการอาจจะเเกล้งก็ได้ เเต่วินาทีนั้นผมทำตัวไม่ถูก ก็เลยลาพี่ๆเเล้วกลับบ้านเลย สีหน้าของคนที่เข้าไปสอบสัมภาษณ์เเล้วออกมาดูยิ้มเเย้มเขาคงโล่งที่ได้สัมภาษณ์เสร็จซักที เเต่ผมผิดหวังมากที่ตอบอะไรไม่ได้เลย เเต่ก็โทษตัวเองเเหละว่าตัวเองเตรียมตัวมาไม่ดีเอง เเละผมก็คิดว่าตัวเองคงไม่ติดมหาลัยนี้เเน่นอน เลยคิดว่าจะต่อ ปวส. ก่อนเเล้วค่อยไปมหาลัยจะดีกว่า เเต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ผมมีรายชื่อติดเข้าเรียนที่มหาลัยเเห่งนี้ ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรเลย เพราะส่วนตัวก็ไม่คิดว่าจะติดอยู่เเล้ว ผมเลยมองนึกไปว่าทำไมเราถึงติดได้ทั้งๆที่ตอนสัมภาษณ์ก็ตอบไม่ได้ซักคำถาม เเถมโดนกรรมการบอกว่าให้มาสอบใหม่ เลยถามรุ่นพี่ที่เรียนอยู่ในมหาลัยว่า ผมติดมาได้ยังไง ได้เล่าเรื่องที่ผมเจอมาให้พี่ฟัง พี่ผมก็เลยบอกว่า ถ้าคณะไหนเปิดรับเยอะ เเต่คนสมัครน้อยเขาก็จะรับไปหมดเลย มันก็จริงครับเพราะคณะกับสาขาที่ผมสมัครเปิดรับเยอะเเต่คนสมัครน้อย ส่วนใหญ่คนจะสมัคร คณะวิศวะกันหมด เพราะ (3พระจอม) ขึ้นชื่อเรื่องวิศวะอยู่เเล้ว ส่วนตัวผมก็ไม่ได้อยากเป็นครู ไม่ได้อยากเข้าคณะครุศาสตร์ เเต่คณะวิศวะที่ผมอยากจะเข้า เขาไม่ได้เปิดรับสาย ปวช. ผมเลยเบื่ยงเบนมาเข้า คณะครุศาสตร์ เเทนเเต่ สาขาที่ผมเข้าก็ยังเป็น วิศวะไฟฟ้า เลยไม่ได้ซีเรียสอะไรเพราะการเรียนก็คงคล้ายๆกันต่างกันเเค่ ครุไฟฟ้า จะสอนไปในเเนวเชิงครูมากกว่าพอผมมีชื่อติดมหาลัยก็ทิ้งทุกอย่าง เรื่อง เกมส์,เที่ยว ไปเเล้วเตรียมตัวกับมหาลัยเเต่ด้วยเรื่อง อีก 3 เดือนกว่ามหาลัยจะเปิดกับโควิด ทำให้มหาลัยเปิดช้ากว่ากำหนด ในเวลาว่างๆช่วง 3 เดือนผมก็เล่นเกมส์บ้างทำอะไรเรื่องให้ผ่านไป 2 เดือนเเละอีก 1 เดือนค่อยเตรียมตัวเรื่องมหาลัย ก่อนมหาลัยจะเปิด 1 เดือนเขาจะมีสอบเทสความรู้เพื่อที่จะวัดความรู้ก่อนที่จะเข้าศึกษา สำหรับคนที่สอบไม่ผ่านก็จะต้องเรียนปรับพื้นฐานเพื่อให้มีพื้นฐานความรู้ เป็นไปตามที่คิดครับ ผมสอบไม่ผ่านทุกวิชาส่วนตัวจบ ปวช. มา วิชาพวก คณิต ฟิสิกส์ เคมี เเคลคูลัส ไม่เคยเตะมาก่อน ผมเลยมีรายชื่อที่ต้องเรียนปรับพื้นฐานครับ ส่วนใหญ่คนที่มีรายชื่อที่ต้องเรียนปรับพื้นฐานจะเป็นสาย ปวช. ทั้งนั้น ในการเรียนก็จะเป็นเเบบเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยจะมีคลิปวีดีโอการสอนที่อาจาร์อัดเเล้วเอามาลงในเว็ป เเล้วให้นักศึกษาเรียนด้วยตนเอง ผมก็เรียนมาซักพัก เริ่มรู้สึกว่ามันยากกว่าที่คิด ยิ่งเรียนยิ่งยากยิ่งไม่เข้าใจ เนื้อหาจะเกี่ยวกับพวก ม.ปลาย ขอบอกก่อนสำหรับสาย ปวช. ที่จะจบปี3 เเล้วอยากจะเข้ามหาลัยว่า ความรู้ที่ได้จากการ ปวช.ไม่สามารถเอามาใช้ในมหาลัยได้ครับ เพราะเนื้อหาที่จะเรียนในมหาลัยเกี่ยวกับคำนวณเน้นๆซะส่วนใหญ่ วิชาปฎิบัติก็จะมีบ้างนิดๆหน่อยๆเช่น ตะใบ เขียนเเบบ เป็นต้นซึ่งเราก็เคยผ่านมาเเล้ว เเต่ในมหาลัยคงไม่ง่ายเหมือนที่เรียน ปวช. มาผมเริ่มคิดหนักว่าตัวเองจะผ่านไปได้ไหม ไปอ่านตามกระทู้ ก็มีคนบอกว่า ตอนปี1 มีนักเรียนเข้ามาเรียน 40 คนตอนจบ ปี1 เหลือประมาณ 20 คน ผมเริ่มคิดว่าตัวเองมีรางว่าจะเรียนไม่จบ ผมไม่ได้ท้อไม่ใช่ว่าไม่สู้นะครับ เเต่ผมรู้ตัวเองดีว่าตัวเองอยู่ระดับไหนผมอาจจะไม่ได้เรียนเก่งเหมือนกับคนอื่นเขา ทั้งเรียนไม่เก่ง เข้าใจยาก ทำให้ผมเหมือนเจอทางตันกลัวว่าตัวเองจะเรียนไม่จบ เพราะ พ่อเเม่ คาดหวังกับผมตัวเองมากๆ ทั้งซื้อรถ จ่ายค่าชุด/ค่าเรียนให้ ผมไม่อยากให้เสียตังไปปล่าวๆ  *สิ่งที่อยากถามกับพี่ๆที่ก้าวข้ามผ่านเรื่องพวกนี้มาได้หรือคนที่เรียน (3พระจอม) ว่า ตอนนี้ผมต้องทำยังไงกับตัวเองดี จะก้าวผ่านมันยังไงดีครับ ขอคำเเนะนำด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่