TIA Column : My Liverpool...Champions of England

ไม่รู้ว่า คิดถูกหรือเปล่าที่มาตั้งกระทู้ในวันนี้ วันที่ทีมรักอย่างลิเวอร์พูลเพิ่งแพ้แมน ซิตี้ ยับ ถึง 4-0 ...แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่อารมณ์ความรู้สึกมันพร้อมที่จะกลับมาเขียนที่นี่ในวันนี้พอดี 555+
 
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆสมาชิกที่อยู่มานาน อาจจะจำกระทู้ของ howk_ky ได้ ที่แบบ...ชอบมาเขียนอะไรต่างๆนานา เวิ้นเว้อเรื่องลิเวอร์พูลไปเรื่อย เมื่อซัก 10 ปีที่แล้ว ...เอิ่มมมม มันนานขนาดนั้นจริงๆเหรอเนี่ยยยยยย หรือทุกคนอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ ><
 
แต่ไม่เป็นไรคะ เอาเป็นว่า เพราะวันที่รอคอยนั้นมันมาถึงแล้ว howk_ky เลยอยากจะกลับมาเขียนอะไรๆให้เพื่อนๆแฟนหงส์หรือที่ไม่ใช่แฟนหงส์ก็ได้นะคะ ในห้องศุภฯ ที่ยังอยากจะอ่าน ได้อ่านเล่นๆกัน เพราะที่นี่เป็นที่ที่ทำให้ howk_ky ได้รู้จักเพื่อนๆมากมาย แถมเริ่มต้นเขียนบทความที่นี่ด้วย เลยตั้งใจมากๆว่า ต้องกลับมาเขียนให้ได้เมื่อถึงวันที่ฝันของพวกเราชาวหงส์แดงเป็นจริงเสียที 
 
---------------------------------------------------------------------------
 
ลิเวอร์พูลได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกแล้วในที่สุด...บางคนรอคอยมา 30 ปีจริงๆ บางคนอาจไม่ถึง 30 ปี แต่เท่ากับว่าได้รอเท่ากับจำนวนปีที่เชียร์ทีมมาแน่ๆ สำหรับเราไม่มากไม่น้อยค่ะ แค่ครึ่งเดียวของเวลาที่นานที่สุดเท่านั้น ใช่แล้วค่ะ 15 ปี เราเชียร์ลิเวอร์พูลอย่างแท้จริงในเกมรอบรองชนะเลิศ แชมเปียนส์ลีก กับเชลซี เมื่อปี 2005 จนถึงวันนี้ ลิเวอร์พูลก็สามารถกลับไปคว้าแชมป์ลีกที่รอคอยสำเร็จจนได้
 
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ที่การได้และไม่ได้แชมป์ลีกของลิเวอร์พูล ต้องมาเกี่ยวข้องกับเชลซีถึง 2 ครั้ง ...ครั้งแรก เมื่อปี 2014 เชลซีบุกไปชนะลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ 2-0 ซึ่งเป็นเกมที่เราจะไม่มีวันลืม ไม่มีวันหายจากความเจ็บปวดเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราไม่เคยกล้าย้อนกลับไปดูจังหวะนั้นอีก จังหวะ "ลื่น" ของกัปตัน ที่ถึงจะไม่ย้อนกลับไปดู แต่มันแจ่มชัดเหลือเกินในความทรงจำ ถึงวันนี้ แม้เราจะยังคงเศร้าเสียใจกับมัน แต่เราก็พร้อมและยินดีที่จะมีมันอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไปเช่นกัน และครั้งนี้ เชลซีก็เป็นทีมที่หยุดแมน ซิตี้ ทำให้แต้มขาดทั้งๆที่เหลือเกมอีก 7 นัด มันก็จริงที่ว่าถึงเชลซีหยุดแมน ซิตี้ ไม่ได้ และต่อให้ลิเวอร์พูลแพ้แมน ซิตี้ อีก ก็ยังเหลืออีก 6 เกมให้เก็บ 2 คะแนน มองมุมไหน ก็ไม่แน่พลาด แต่ถึงอย่างนั้น การที่เชลซีชนะแมน ซิตี้ และทำให้เราเป็นแชมป์ทันทีย่อมดีกว่าแน่นอน
 
หลายคนอาจรู้สึกว่า อยากจะเป็นแชมป์ในวันที่เราลงแข่ง อยากจะเป็นแชมป์จากเกมที่เราเล่นเอง ใช่ค่ะ ตัวเราก็เคยคิดแบบนั้นเมื่อ 3 เดือนก่อน แต่เมื่อเจอสถานการณ์โควิด-19 ขึ้นมา มันเลยเกิดความรู้สึกแบบว่า อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ ขอให้ได้ซักทีเถอะ ดังนั้น เมื่อคืนวันที่ 25 มิถุนายน เราเลยตื่นขึ้นมาเชียร์เชลซีสุดใจ ไม่เคยเชียร์ทีมอื่นที่ไม่ใช่ลิเวอร์พูลขนาดนั้นมาก่อน ไม่เคยดีใจที่ทีมอื่นยิงประตูได้มากเท่านั้นมาก่อน ยิ่งถึงช่วงท้ายเกม มันยิ่งตื้นตัน และสมองมันก็พาใจให้ย้อนไปคิดถึงวันที่กัปตันลื่นพลาดแชมป์ นาทีที่กรรมการเป่านกหวีดหมดเวลา ...มันคิดถึง สตีเวน เจอร์ราร์ด สุดหัวใจ...
 
มันเป็นความจริงที่นี่ไม่ใช่ผลงานของเขา ไม่ใช่ทีมของเขา และเขาไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรเลย ที่ทำให้ทีมนี้คว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ แต่เราเคยคิด และยังคิดอยู่เสมอว่า วันไหนก็ตามที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ เราจะถือว่าแชมป์ครั้งนี้เป็นของเขาด้วย เราจะถือว่า 17 ปีของเขากับสโมสรนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทีมได้แชมป์ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะคิดแบบนี้ เราคิดและรู้สึกไปด้วยอารมณ์ล้วนๆ
 
...แต่มันช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด คือ เมื่อได้ดูสัมภาษณ์เจอร์เก้น คล็อปป์ หลังเกมที่แต้มขาด หลังจากได้แชมป์อย่างเป็นทางการ ...คล็อปป์ได้พูดในสิ่งที่เรารู้สึกไปทั้งหมดเลย เขาพูดถึงทั้งปู่แชงค์ ปู่บ็อบ คิง เคนนี และเจอร์ราร์ดด้วย เขาพูดว่า
 
"สโมสรแห่งนี้ถูกสร้างมาจากสิ่งที่บรรดาตำนานเหล่านี้ทำ และตลอด 20 ปีมานี้ สโมสรแห่งนี้ถูกสร้างมาด้วยสองขาของสตีวี่ เขาแบกสโมสรไว้บนสองบ่า และทำมาได้อย่างดีมาก ผมดีใจที่ได้คว้าแชมป์เพื่อเขา"
 
ร้องไห้สิ...เราจะทำอะไรได้นอกจากนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นเอง
 
คล็อปป์พูดทั้งๆที่ไม่ได้มีใครถามถึง แน่นอน คิง เคนนี อยู่ในการสัมภาษณ์ แต่กับเจอร์ราร์ด เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น เขาไม่ได้อยู่ในลิเวอร์พูลด้วยซ้ำในวันนั้น (เพราะเรนเจอร์สกลับมาซ้อมเตรียมพรี ซีซั่น แล้ว) แต่คล็อปป์ก็พูดถึง เหมือนเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าแฟนหงส์ทุกคนบนโลกใบนี้รู้สึกอย่างไรกับเจอร์ราร์ด และรู้ว่ามันมีค่ามากแค่ไหนสำหรับเขาด้วย ...ถ้ายังจำได้ เมื่อปีที่แล้วที่ลิเวอร์พูลคว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีกที่มาดริดได้สำเร็จ คล็อปป์กับเป๊ป ลินเดอร์ส ได้เจอเจอร์ราร์ดกับแมคอัลลิสเตอร์ ไม่รู้ว่าใต้อัฒจันทร์ที่สนามหรือว่าที่โรงแรม แต่มันเหมือนใต้อัฒจันทร์มากกว่า คล็อปป์พุ่งเข้าไปกอดเจอร์ราร์ดแบบกอดแน่นมาก มันแสดงให้เห็นว่าคล็อปป์ยิ่งกว่ารู้ว่าการที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ได้ มันสำคัญแค่ไหนสำหรับเจอร์ราร์ด ในวันนี้เขาอาจอยู่ในฐานะแฟนบอลเหมือนเรา แต่ทุกคนคงจะเห็นด้วยกับเรา ถ้าจะบอกว่า สตีเวน เจอร์ราร์ด คือ แฟนบอลที่ทำอะไรๆเพื่อสโมสรมายิ่งกว่าแฟนบอลทุกคนบนโลกใบนี้ และเราเชื่อจริงๆว่าคล็อปเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
 
นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้สัมผัสกับความรู้สึกของการเป็นแชมป์ลีก บางทีอาจเป็นเพราะมันเป็นครั้งแรก และคงเพราะมันคอยมานานแสนนาน เมื่อเทียบกับแชมเปียนส์ลีก เราเลยรู้สึกว่ามันตรึงใจยิ่งกว่า ตื้นตันยิ่งกว่า โล่งใจยิ่งกว่า เหมือนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกยิ่งกว่า ในอีกแง่มุมหนึ่ง บางทีอาจเป็นเพราะมันยากเหลือเกินที่จะเป็นแชมป์ลีก ...คุณต้องรักษามาตรฐาน ต้องคงเส้นคงวา ต้องบริหารจัดการปัญหาเรื่องการบาดเจ็บในทีม ต้องเจอกับทีมที่รู้ไส้รู้พุงกันดีซึ่งไม่ใช่ว่าคุณมีนักเตะที่เก่งกว่าจะทำให้คุณชนะได้เสมอไป แถมยังต้องเล่นกันตั้ง 38 เกมในเวลา 8 เดือน ในขณะที่แชมเปียนส์ลีกตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มถึงรอบชิง เล่นแค่ 13 เกม จำนวนเกมที่ต้องฟันฝ่ามันน้อยกว่า แถมทุกรอบที่ผ่านไป ก็เหมือนนับหนึ่งใหม่ จะชนะมากี่เกม จะยิงมากี่ลูก เมื่อผ่านน็อคเอ้าท์แต่ละรอบแล้วได้เริ่มใหม่หมด ต่อให้เก็บผลเสมอทั้งสองนัดในรอบน็อคเอ้าท์ ยังเข้ารอบได้เลย ด้วยกฎประตูทีมเยือน ดังนั้น บางทีแค่ผลเสมอก็พอแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันง่ายนะคะ มันก็มีความยากในแบบของมัน 
 
ทุกครั้งที่ทีมมีโอกาสลุ้นแชมป์ มันจะมีเกมที่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ตามมา ในฤดูกาล 2008-09 ลิเวอร์พูลเอาชนะมิดเดิลสโบรห์ 2-1 ในนาทีสุดท้ายของเกม ช่วงต้นฤดูกาล อันนำมาซึ่งการยิงประตูท้ายเกมในอีกหลายต่อหลายนัด แต่เพราะเราเสมอมากเกินไป ถึงจะบุกไปเอาชนะแมนยูถึงโอลแทร็ฟฟอร์ดได้ถึง 4-1 มันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ทีมมีลุ้นจนถึงวันสุดท้าย และทุกอย่างไม่เคยอยู่ในมือเราเลย ฤดูกาล 2013-14 ลิเวอร์พูลชนะอาร์เซน่อล 5-1 ที่แอนฟิลด์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเก็บชัยชนะ 11 เกมรวดในลีก และทุกอย่างอยู่ในมือของเรา แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าเกิดอะไรขึ้นในเกมกับเชลซี จนทำให้ทุกอย่างหลุดมือเราไป ฤดูกาล 2018-19 ดิวอค โอริกี ทำประตูชัยในเกมกับเอฟเวอร์ตัน หลังพิกฟอร์ดปัดบอลพลาดไปตกบนคานและเด้งไปเข้าทางโอริกีพอดี ถัดจากสัปดาห์นั้น เราได้ขึ้นจ่าฝูง และเราทำทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างดีที่สุดแล้ว แม้แต่การสะดุดเสมอ 4 เกมในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนมีนาคม เรายังไม่คิดเลยว่ามันเป็นสิ่งผิดพลาดอะไร การเก็บได้ 97 แต้มแต่ยังไม่ได้แชมป์ มันชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดว่าทีมที่เป็นแชมป์เค้าดีกว่าเราอย่างแท้จริง ถ้าจะให้นึกเสียดาย คงจะเป็นลูกยิงที่ไม่ข้ามเส้นในเกมที่เราแพ้แมน ซิตี้ 2-1 นั่นแหละ เพราะมันขาดไปแค่ 11 มิลลิเมตรเท่านั้น และถ้ามันเข้าไป มันก็มีโอกาสมากขึ้นอีกที่เราจะไม่แพ้ในเกมนั้น ซึ่งอาจทำให้เราคว้าแชมป์ได้ในที่สุด
 
และกับฤดูกาลนี้ เกมที่เราคิดถึงมากที่สุดในนาทีที่ทีมคว้าแชมป์สำเร็จ คือ เกมเยือนแอสตัน วิลล่า เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2019 ที่เราถูกนำไปก่อน แถมเมื่อทำประตูตีเสมอได้ ก็ถูกริบคืนอีก ด้วยข้อหารักแร้ล้ำหน้า พยายามบุกจนถึงท้ายเกมก็ยังยิงประตูไม่ได้ จนเราคิดว่า สงสัยจะแพ้แน่แล้วเกมนี้ แต่ในนาทีที่ 87 มาเน่เปิดข้ามไปเสาสองให้โรเบิร์ตสันเติมขึ้นมาโหม่งตีเสมอได้สำเร็จ นาทีนั้น แค่เสมอเราก็เอาแล้ว ใครจะไปคิดว่า นาที 90+4 มาเน่จะโหม่งประตูชัยจากลูกเตะมุมของเทรนต์ให้ทีมชนะจนได้...สำหรับเรา เกมนี้เลยที่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ตามมา ที่จริงการได้ประตูชัยท้ายเกม ตอนเจอเลสเตอร์และสเปอร์สมันก็ใช่อยู่เหมือนกัน แต่เราคิดว่าเกมนี้แหละที่ทำให้นักเตะทุกคนมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มหัวใจว่า ตราบใดที่เสียงนกหวีดยังไม่ดัง ตราบนั้นเราก็มีโอกาสชนะ อาจเพราะมันเป็นเกมที่ตามหลังคู่แข่งจนถึงท้ายเกมล่ะมั้ง พอกลับมาชนะได้มันเลยมีอาการเหมือนจะเป็นบ้า และลิเวอร์พูลก็เล่นด้วยความรู้สึกนี้มาทุกนัด จนถึงนัดล่าสุดที่แพ้แมน ซิตี้ 4-0 เราก็ยังรู้สึกได้ว่าพวกเขาก็ยังเล่นด้วยความรู้สึกแบบเดียวกันนี้แหละ
 
ถ้ามองในแง่ของรายได้และการดึงดูดนักเตะชื่อดัง เรายอมรับว่า คว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีกนั้นดีกว่า แต่ในแง่ความรู้สึกแล้ว ณ เวลานี้ ขอยกให้พรีเมียร์ลีกแบบทิ้งไม่เห็นฝุ่นเลยจริงๆค่ะ อย่างที่บอก อาจเพราะรอคอยมานาน หรือเพราะไม่เคยได้มาก่อน ความรู้สึกมันเลยเหมือนเด็กได้สัมผัสของเล่นชิ้นใหม่ เอาจริงๆ อยากรู้มากกว่า ถ้าลิเวอร์พูลได้แชมป์พรีเมียร์ลีกบ่อยๆ เราจะรู้สึกแบบครั้งแรกนี้มั้ย อิอิ
 
มันเหมือนยาเสพย์ติดจริงๆนะคะ ไอ้ที่เคยคิดว่า ถ้าได้ซักครั้งคงจะดี คงจะเต็มอิ่มแล้วนี่ไม่จริงเลย ก็เหมือนตอนไปแอนฟิลด์ครั้งแรก ที่ก่อนไปคิดว่า ในชีวิตนี้ได้ไปซักครั้งก็คงพอใจแล้ว พอได้ไปจริงๆ มันก็รู้เลยว่า ถ้ามีโอกาส เราต้องกลับไปอีกอย่างแน่นอน ไม่มีวันที่จะพูดได้อีกต่อไปว่าครั้งเดียวก็พอ ...กับแชมป์พรีเมียร์ลีกนี่ก็เช่นกัน ถึงวันนี้ คงพูดไม่ได้แล้วว่า ขอแค่ครั้งเดียวก็คงพอใจแล้ว บางที โดยส่วนตัว เราอาจไม่มีวันพอใจเลยจนกว่าเจอร์ราร์ดจะกลับมาเป็นคนชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยตัวเขาเอง ถ้ามันจะเป็นไปได้และมีโอกาส ในฐานะอะไรคงไม่ต้องบอก แม่ยกกัปตันตลอดกาลอย่างเราก็จะขอฝันและมีความหวังต่อไปจนกว่าเสียงนกหวีดจะดัง...
 
(มีต่อ)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่