กระเป๋านักเรียน เด็กไทย หนักเกินไปหรือเปล่า ....????

…..LEAN Education.….
เราจะดันเรื่อง กระเป๋านักเรียน ให้เป็นวาระแห่งชาติ
 
ภาพกระเป๋าใบใหญ่ๆ หนักๆ จากหนังสือเรียน 
ที่ใส่ลงไปในกระเป๋าหนังสือ ตามตารางเรียนในแต่ละวันของเด็กไทย
 เป็นภาพที่เราเห็นกันจนชินตาอยู่ทั่วไปแทบทุกโรงเรียน
หลักสูตรการเรียน ที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพทางการศึกษา 
ด้วยความปรารถนาดีของสังคมสูงวัยต่อเด็กไทย ในอนาคต
ที่ทำให้เด็กไทย ได้ขึ้นชื่อว่า เรียนหนังสือหนักมากเป็นอันดับต้นๆของโลก
 
สิ่งเหล่านี้ ได้สะท้อนกลับมาเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กไทยตัวน้อยๆมากขึ้น
การแข่งขันที่มากขึ้น สังคมที่บีบคั้น การยอมรับและตัดสินเด็ก เพียงคะแนนที่ได้จากโรงเรียน
ทำให้ไม่ว่าหนังสือใดๆก็ตามที่ทางโรงเรียนจัดมาให้ ผู้ปกครองทุกท่านมีความยินดีจะซื้อทุกเล่ม 
และใส่ในกะเป๋าเรียน ให้ลูกไปเรียนในทุกวัน ตามตารางการเรียนที่วิชานั้นๆสอนอยู่......
 
น้ำหนักกระเป๋านักเรียนเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ15-20 ของน้ำหนักตัวนักเรียน 
ที่ต้องแบกไปไหนมาไหนในแต่ละวัน 
ผู้ใหญ่ยังว่าหนัก แล้วนักเรียนแบกทุกวันจะต้องบ่นว่าอะไรดี.......
 
การแก้ไขปัญหาเบื้องต้นที่ทางผู้ปกครองทำได้ ก็คือ การเปลี่ยนกระเป๋าเป็นแบบล้อลาก 
เพื่อความสะดวกต่อการขนหนังสือจำนวนมากๆ ไปๆมาๆ ได้ง่ายมากขึ้น
 
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยแก้ปัญหาแบบนี้เหมือนกัน แต่ในการแก้ปัญหาบางปัญหานั้น
อาจแฝงไปด้วยปัญหาอื่นๆตามมาด้วยก็ได้เหมือนกัน
 
วันหนึงลูกสาวมาบอกว่า อยากได้กระเป๋าสะพายบ้าง เพราะเวลาถือเดินขึ้นบันไดมันสะดวกดี 
แอบคิดสงสัยอยู่ว่า ทำไมลูกสาวจึงคิดเช่นนั้น เลยลองเอากระเป๋าล้อลากมาชั่งดู 
ปรากฏว่า เฉพาะกระเป๋า หนักประมาณ 1.5-2 kg
แล้วลูกๆหลานๆเรา ต้องยกสิ่งนี้ขึ้นลงบันได เพื่อแลกกับความรู้ในแต่ละวัน 
มันจำเป็นที่ต้องเป็นแบบนี้ ตลอดไป อย่างนั้นหรือ......
 
แล้วอะไรละ จะมาช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้บ้าง 
หากสังคมสูงวัยระบุมาว่า ไม่ควรแก้ปัญหาที่หลักสูตรการเรียนการสอน
ลูกหลานเราต้องได้เรียนครบทุกวิชา.......
 
โอเค งั้นเราลองมาใช้หลักการวิศวกรรม ในการวิเคราะห์ 
ตามหลักการ RCA .....
โยกๆๆๆ โยกกันไปให้มันหลุดโลก .... 
ไม่ใช่ RCA ผับตึ๊ดๆ แบบนั้น 
ตะลึงตึงโป๊ะ ผ่างงงงงงง.......
 
แต่มันเป็นการหารากเหง้าของสาเหตุแห่งปัญหานั้นๆ 
RCA = Root Cause Analysis
ซึ่งมันมีเครื่องมือในการวิเคราะห์มากมายเต็มไปหมด
 
ผมจึงขอเสนอตัวอย่างเครื่องมือการวิเคราะห์ เกี่ยวกับ LEAN management
ด้วยเครื่องมือ ที่เป็นกรอบความคิด การวิเคราะห์ 
 
การขจัดความสูญเปล่า 7 ประการ ( 7 waste)
Transport
Over production
Waiting
Inventory
Defect
Over processing
Motion
(หาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน Google ครับ...^^)
 
การเปลี่ยนจากกระเป๋าสะพาย เป็นกระเป๋าล้อลาก อยู่ในเรื่องของ Motion/Transport
การเคลื่อนไหว และการนำพา หนังสือนั้นๆไป อย่างสะดวกมากขึ้น แต่พบว่า ในบางกรณี
เช่น ฝนตก ถนนขรุขระ การเดินขึ้นบันได จึงเป็นปัญหาที่จะพบต่อมาอย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
หากเรามองให้ หนังสือ อยู่ในหมวดหมู่ ของ Inventory (คลังความรู้)
จะพบว่า เราต้องแบกคลังความรู้ 100% เพื่อที่จะรอใช้งานในแต่ละวัน เพียง 5%
ของสิ่งที่มีอยู่ ในคลังหนังสือทั้งหมดนั้น
 
การแปรรูปคลังหนังสือเหล่านั้น ให้อยู่ในรูปของ file digital / App /  Ebook
เพื่อให้ง่ายแก่การพกพา จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา เรื่องกระเป๋านักเรียนหนักเกินไป
 แต่ก็จะต้องมีข้อโต้แย้งในเรื่องของ ความเหลื่อมล้ำทางการเงิน ต้นทุนชีวิตที่ไม่เท่ากัน มาให้ถกกันต่ออย่างแน่นอน
 
เราจึงต้องหาสิ่งที่สามารถแก้ไขในลำดับรองลงมา 
ที่ไม่ต้องมีต้นทุนในการแก้ไขมากนัก มาใช้ในการแก้ไข
เรายังคงมองหนังสือให้เป็น Inventory อยุ่ เราจะ Lean inventory
โดยการขจัดความสูญเปล่า เหล่านี้ได้อย่างไร
และแน่นอน เขียนมาถึงตรงนี้ ทุกคนคงเห็นด้วยกับผม ที่ว่า 
เราแบกคลังความรู้ 100% เพื่อใช้งานมันเพียง 5% ไปทำไม
 
จึงเกิดคำถามตามมาว่า ทำไมหนังสือที่ใช้เรียนในแต่ละวิชา ในแต่ละปีการศึกษา จึงมีแค่ เล่ม1 และ เล่ม2
ซึ่งในแต่ละเล่มก็มีอีกหลายบท ที่เราต้องแบกหนังสือที่มีทุกบทในนั้น ไปเรียน
 
หมวด Inventory => การลดขนาด inventory ที่ต้องใช้ประจำลง
ผู้รับผิดชอบทางการศึกษา ควรให้มีการออกแบบหนังสือ ให้แยกออกเป็นบทๆได้ 
ก็จะช่วยให้ลูกหลานของเราได้นำสิ่งที่ต้องเรียน ติดตัวไปเรียนจริงๆได้ 
 
การออกแบบหนังสือเรียนให้อยู่ในรูปแบบการสะสมเป็นแผ่นๆ เป็น sheet งาน 
ที่บาง รร. ได้มีการดำเนินการบ้างแล้ว ก็ถือเป็นสิ่งที่ดี
 
ปัญหาที่ตามมา หรือความต้องการเพิ่มเติม อาจจะเป็นความต้องการทางด้านการจัดการ 
การจัดเก็บหนังสือที่ใช้เรียนนั้นๆแล้ว ให้เป็นระเบียบ 
ซึ่งผมว่า ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก สำหรับผู้ปกครอง
 
วิเคราะห์ความสูญเสียตัวต่อมา Over processing/production
กระบวนการเรียน วิชาเรียน รายวิชาที่เรียนในแต่ละวัน ที่มากเกินไป 
 
ยังมีความจำเป็นอยู่หรือไม่ ที่ลูกหลานของเราต้องเรียนมากกว่า 5-6 วิชา ในแต่ละวัน 
 
เคยมีเรื่องตลก ที่สะท้อนความจริง ที่ทุกท่านน่าจะเคยได้อ่านผ่านตามาบ้างแล้ว....
นักเรียน: ครูครับทำไมครูถึงสอนกันคนละวิชาละครับ ทำไมไม่ให้ครูคนเดียวสอนทุกวิชา
ครู:โอ้ย!!!ครูจำได้ไม่หมดหรอกทุกวิชาน่ะ
นักเรียน:ทีครูยังจำไม่ได้ แล้วพวกผมละครับจะจำได้หมดหรอครับ
ครู: นี่เธอ ย้อนครูเหรอ 
นักเรียน: !!!!!!!!!
 
การจัดตารางเรียน น้อยวิชาในแต่ละวัน น่าจะเป็นทางแก้อีกทางหนึง 
ทีนี้ ก็จะมีข้อถกเถียงตามมาอีก ว่า เด็กๆมักจะจับจดกับสิ่งเดิมๆได้ไม่เกิน 1 ชม ติดต่อกัน
เราเลยต้องอัดวิชาเรียนในแต่ละวัน หลายๆวิชา เพื่อแก้ปัญหานี้ หรือครับ
 
หมวด Over processing/production => การจัดให้เรียนน้อยวิชา ในแต่ละวัน
เด็กนักเรียน สามารถ เรียนวิชาละสองครั้ง ช่วงเช้าและบ่ายได้หรือไม่ 
การลดวิชาเรียนลง ในแต่ละวัน เหลือวันละ 3 วิชา เรียนเช้าและบ่าย 
ก็น่าจะช่วยเรื่องกระเป๋านักเรียนหนักได้เยอะครับ
 
เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ขอจบการวิเคราะห์ไว้เพียงเท่านี้ก่อนดีกว่าครับ
หากท่านใดมีข้อเสนอ มีข้อโต้แย้ง หรือคำแนะนำเพิ่มเติม
ก็สามารถคอมเม้น แนวทางความคิด แนวทางการแก้ปัญหา ด้านล่างนี้ได้เลยครับผม
เรามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการศึกษาไทย เพื่อลูกหลานเราในอนาคตกันดีกว่าครับ
 
หากท่านๆเห็นด้วยกับบทความนี้ หลังอ่านจบ รบกวนพิมพ์ 99 ลงในคอมเม้นเป็นกำลังใจให้ด้วยครับ
 
ทางผุ้เขียนต้องการเพียงสะท้อนแนวคิด และเครื่องมือในการวิเคราะห์ตามหลัก RCA ในเรื่องใกล้ตัว
ให้เห็นเป็นตัวอย่างเพียงเท่านั้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทางผู้เขียนในฐานะของคุณพ่อลูกสองคนหนึ่ง
ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว และขออภัยมา ณ ที่นี้ครับผม....
 
ปะป๊าโอ้...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่