Rujm el-Hiri
ทีมนักโบราณได้ทำการศึกษากองหินลึกลับที่รู้จักกันในชื่อ Rujm el-Hiri หรือ Gilgal Refaim ที่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบโกลาน โดยพบว่ามีอายุใกล้เคียงกับกองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ถึง 5,000 ปีขณะที่มีทฤษฎีกล่าวอ้างว่าสถานที่แห่งนี้อาจจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประกอบพิธีกรรมทำศพที่เรียกว่า″Sky Burial” ซึ่งยังคงเป็นปริศนาโดยนักโบราณคดีจะพยายามค้นหาคำตอบต่อไปว่าสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร
กองหินลึกลับ Rujm el-Hiri ถูกค้นพบขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1967 หลังจากที่กองทัพอิสราเอลสามารถยึดดินแดนจากกองทัพซีเรียได้ในสงครามหกวัน โดยนักโบราณคดีได้ทำการสำรวจพื้นที่ทางอากาศและพบรูปแบบการเรียงตัวของหินเป็นวงกลมซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากพื้นดินรวมทั้งยังพบว่ามีการขุดเจาะภายในกองหินซึ่งเผยให้เห็นโครงสร้างที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค
นอกจากนี้ยังมีกองหินเรียงตัวเป็นวงกลมซ้อนอยู่ด้านในอีก5วงโดยวงกลมที่ใหญ่ที่สุดมีความกว้างมากกว่า152เมตรและยังมีห้องเก็บศพอยู่ใต้กองหินที่เรียงตัวกันสูงถึง4.5 เมตรอยู่ตรงกลางวงอีกด้วย โดยจากการสำรวจของทีมนักโบราณคดีพบว่ากองหินลึกลับแห่งนี้มีอายุมากถึง 5,000 ปีซึ่งมีอายุใกล้เคียงกับกองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ที่อยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่มณฑลวิลต์เชอร์ ประเทศอังกฤษ
แต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองก็คือกองหินประหลาดสโตนเฮนจ์สร้างจากก้อนหินขนาดยักษ์เรียงตัวกันกว่า 100 ก้อนขณะที่กองหินลึกลับ Rujm el-Hiri สร้างจากก้อนหินบะซอลต์ขนาดเล็กกว่าพันก้อนที่กองรวมกันโดยมีน้ำหนักรวมมากกว่า 40,000 ตัน รวมทั้งยังมีการค้นพบเศษเครื่องปั้นดินเผาและเครื่องมือหินที่ใช้ในการขุดเจาะต่างๆซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่ต่างยืนยันว่าการก่อสร้างเริ่มขึ้นเมื่อช่วง3,500ปีก่อนคริสตกาลและชิ้นส่วนอื่นๆอาจจะเพิ่มมาอีกในช่วง2,000ปีต่อมา
อย่างไรก็ตามยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่ากองหินลึกลับเหล่านี้ใครเป็นคนสร้างขึ้นมาโดยบางคนคิดว่ามันอาจจะเป็นอารยธรรมเร่ร่อนที่ตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่นี้ขณะที่บางคนบอกว่าสถานที่แห่งนี้อาจจะมีความสำคัญทางโหราศาสตร์เกี่ยวกับวันที่สั้นที่สุดและยาวที่สุดของปีที่เรียกว่าครีษมายันตามปฏิทินโบราณ
แต่ก็มีทฤษฎีที่อ้างว่าสถานที่นี้อาจจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประกอบพิธีกรรมทำศพที่เรียกว่า″SkyBurial”โดยการบริจาคร่างกายให้เป็นอาหารแก่นกแร้งสังเกตได้จากกองหินสูงตรงกลางซึ่งเชื่อกันว่าน่าจะเป็นจุดที่วางศพ
Rujmel-Hiri เป็นชื่อในภาษาอารบิกแปลว่า ″กองหินของแมวป่า″ ขณะที่ชื่อ Gilgal Refaim เป็นภาษาฮีบรูแปลว่า “ล้อของยักษ์” หมายถึงการแข่งขันโบราณของยักษ์ที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ใบเบิล ตอนนี้พื้นที่แห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นสถานที่ในการฝึกทหารกองทัพอิสราเอล
Cr.
http://nuclear.rmutphysics.com/blog-sci5/?p=6232
Carnac Stones
นอกจากสโตนเฮนจ์แล้ว ยังมีอีกหนึ่งสถานที่ที่เกิดการเรียงตัวกันของก้อนหินได้อย่างน่าประหลาด โดยสถานที่แห่งนั้นมีชื่อว่า "Carnac Stones" ตั้งอยู่ในแคว้นเบรอตาญ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยก้อนหินขนาดเล็กใหญ่ ตั้งเรียงรายเป็นระยะทางกว่า 12 กม.
ไม่มีบันทึกใดระบุว่าก้อนหินลึกลับเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใด
Alignements de Carnac / แนวหินคาร์นัค (Carnac stones) มีตำนานความเชื่อที่เล่าต่อๆ กันว่า กองหินลึกลับเหล่านี้เป็นฝีมือของ “พ่อมดเมอร์ลิน” พ่อมดที่มีความเชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์เป็นอย่างมาก และทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งได้สาปกองทหารโรมันขณะยกทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อาเธอร์ จนกลายเป็นก้อนหินทั้งกองทัพ
แนวหินคาร์นัคมีลักษณะเป็นแท่นหินเรียงกันเป็นแถว ประมาณ 3,000 แท่น ซึ่งปัจจุบันผู้คนได้แบ่งให้เป็นสามกลุ่มคือ
- กลุ่มที่ 1 คือ The Kermario เป็นบริเวณที่มีแท่นหินกว่า 1,029 แท่น มีทั้งหมด 10 แถว และมีความยาวเป็นกิโลเมตร
- กลุ่มที่ 2 คือ The Ménec มีแท่นหินกว่า 1,100 แท่น มี 12 แถว และความยาวเป็นกิโลเมตร
- กลุ่มที่ 3 The Kerlescan มีแท่นหินกว่า 555 แท่น มี 13 แถว และความยาวกว่า 800 เมตร
ด้านนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาก้อนหินระบุว่า ก้อนหินเหล่านี้น่าจะถูกสร้างขึ้นประมาณ 3,300 - 4,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช และอาจถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว หรืออาจเป็นปฏิทินโบราณที่ใช้เพื่อสังเกตดวงดาวของคนในยุคนั้น หรือทำพิธีกรรมทางศาสนา หรือตั้งเวลาสำหรับทำการเกษตร ทั้งการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว บ้างก็ว่าเป็นสัญลักษณ์สำหรับแบ่งเขตแดน
ปัจจุบัน Carnac Stones เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศฝรั่งเศส ที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้าไปเยี่ยมชมความลึกลับของประติมากรรมชวนทึ่งนี้
ที่มา คลังความรู้ by SpokeDark /
http://www.amusingplanet.com/
Cr.
https://www.blockdit.com/articles/5eca38769636b60cb4ef771e
Cr.
https://www.facebook.com/AllolaFR/posts/2016411181810890/
Cr.
https://travel.thaiza.com/foreign/342862/
โครงสร้างหินลึกลับ
นักโบราณคดีได้ค้นพบโครงสร้างหินลึกลับ ที่มีอายุย้อนหลังไปหลายพันปีในทะเลทรายอาหรับ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นโดยชนเผ่าเร่ร่อน
โครงสร้างซึ่งประกอบจากหินเกือบ 400 ชิ้น ถูกตั้งชื่อเรียกว่า “ประตู” เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับสนามประตูเมื่อมองจากภาพถ่ายดาวเทียม โดยล้อมรอบบริเวณภูเขาไฟฮาร์ราต คัยบาร์ (Harrat Khaybar) ในซาอุดิอาระเบีย
นักวิจัยยังสงสัยว่าโครงสร้างเหล่านี้ถูกใช้เพื่ออะไร และใครเป็นคนสร้าง ดร.เดวิด เคนเนดี้ ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออสเตรเลีย ระบุในบทความจากเดอะนิวยอร์กไทมส์ว่า “เรามักจะคิดว่าซาอุดิอาระเบียเป็นทะเลทราย แต่ในทางปฏิบัติมีสมบัติทางโบราณคดีขนาดใหญ่อยู่ที่นั่น และต้องมีการพิสูจน์ทราบและทำแผนที่” บทความที่ดร. เคนเนดี้เขียนนี้ได้เผยแพร่ในวารสาร Arabian Archeology and Epigraphy ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2017
ความลึกลับของโครงสร้างหินเริ่มขึ้นในปี 2004 (พ.ศ.2547) เมื่อดร.อับดุลลาห์ อัลซาอีด นักประสาทวิทยาและผู้ก่อตั้งทีมทะเลทราย (Desert Team) กลุ่มนักโบราณคดีสมัครเล่นในซาอุดิอาระเบียที่ได้สำรวจเขตลาวาของฮาร์ราต คัยบาร์ เขาได้พบเห็นกำแพงหินสูงประมาณสามฟุตแต่ก็ผ่านเลยไป จากนั้นกระบวนการศึกษาค้นคว้าได้หยุดพักจนมาในปี 2008 (พ. ศ.2551) เมื่อดร. อัลซาอีดเดินทางกลับไปยังจุดเดิมโดยใช้กูเกิลเอิร์ท (Google Earth)
มีการตรวจสอบเพิ่มเติมและภาพจากกูเกิลบางส่วนที่ส่งไปยังนักโบราณคดีเช่น ดร. เคนเนดี้ ได้รับการตอบรับที่สร้างความงงงวยเมื่อได้เห็นภาพดาวเทียมเป็นครั้งแรก เนื่องจากพบกับโครงสร้างที่แตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อน โดยพบว่าโครงสร้างลักษณะเหมือนประตู มีขนาดที่ไม่เท่ากัน ประตูที่ยาวที่สุดมีระยะทางมากกว่าครึ่งกิโลเมตร ขณะที่ระยะสั้นที่สุดคือ 13 เมตร และระยะห่างระหว่างพวกมันต่างกันเป็นไมล์
ดร. เคนเนดีใช้เวลาเกือบหนึ่งทศวรรษในการจัดทำรายการที่มีเกือบ 400 ประตู และหวังว่าขั้นตอนต่อไปของเขาคือการนำทีมวิจัยเข้าไปรวบรวมตัวอย่างเพื่อคาร์บอนอายุทุ่งลาวาแห่งนี้ และแม้แต่กำแพงหินเพื่อทราบอายุการก่อสร้างของพวกมัน
Cr.
https://www.publicpostonline.net/15836 / โดย กองบรรณาธิการ
Apachetas of Chivay
เส้นทางระหว่างเมือง Chivay และ Arequipa ในประเทศเปรู เป็นเส้นทางหนึ่งที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนความสูง 4,800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อยู่สูงกว่าแคนยอน Colca ขึ้นไปอีก ถูกใช้เป็นถนนเส้นหลักในอารยธรรมโบราณยุค Pre-Colombian มานานกว่าร้อยปี
กองหินที่ตั้งกระจัดกระจายอยู่บนเส้นทางนี้ เรียกว่า Apachetas ตรงนี้เป็นจุดที่สูงที่สุดของเส้นทางบนภูเขา โดยนักท่องเที่ยวเป็นผู้สร้างกองหินซึ่งเป็นสัญลักษณ์เหล่านี้ วางหินเรียงขึ้นไปสูงๆ สามารถพบเห็นได้ทั่วบริเวณ
แต่ในอดีตหินเหล่านี้ถูกนำมาวางไว้เพื่อบูชาแก่เทพเจ้า พวกเขาเชื่อว่าบนเส้นทางนี้มีพลังเหนือธรรมชาติ หากได้มาภาวนาที่นี่ก็จะสามารถส่งไปถึงเทพเจ้าได้ และจะได้มาซึ่งโชคดี ได้รับความคุ้มครองตลอดเส้นทาง ส่วนมากจะภาวนาถึงเทพเจ้า Pachamama ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า ดิน และยมโลก ส่วนคนที่ไม่ได้นำหินมาด้วย ก็จะใช้อย่างอื่นแทน เช่น ใบโคคา เปลือกหอย แอลกอฮอล์ หรือของหวาน
Cr.
https://www.blesstraveler.com/post/apachetas-of-chivay
Mima Mounds
ทุ่งหญ้าที่อยู่ใกล้กับเมืองโอลิมเปียในรัฐวอชิงตัน รัฐทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา พื้นที่กว่าพันๆตารางเมตรถูกปกคลุมด้วยกองเนินหญ้า ที่ถูกตั้งชื่อว่า " กองเนิน Mima " รูปร่าง ขนาด และองค์ประกอบของกองเนินนี้ มีความแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ โดยทั่วไปจะเป็นรูปวงกลม หรือ รูปวงรี ประกอบด้วยดินสีเข้มผสมกับสารอินทรีย์ต่างๆ และมักจะผสมกับก้อนหินขนาดเล็กไว้ด้วย
Mima Mounds ( ไมมา มาวส์) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่ตะปุ่มตะป่ำเป็นเนิน โดยพบได้ในหลายแห่งของโลก เช่น เคนยา แคนาดา ออสเตรเลีย จีน และแถบตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาของรัฐแคลิฟอร์เนีย อาร์แคนซัส เท็กซัส หลุยส์เซียน่า และวอชิงตัน
โดย Moundsเหล่านี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 3-50 ม. สูงประมาณ 30 ซม.- 2 ม. และมีความหนาแน่นตั้งแต่ไม่กี่อันจนถึงมากกว่า 50 mounds ต่อเอเคอร์ โดยชื่อ Mima Mounds นี้ได้มาจากชื่อทุ่งหญ้า Mima Prairie ใน Thurston Country รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดย mounds ในเคนย่ามีลักษณะใกล้เคียงกับในเม็กซิโกและแคนาดา โดยพบว่า mounds ทั้งหมดจะมีลักษณะเป็นกองดินสูง 6 ฟุต แถมมีลักษณะเรียงกันเป็นแถวที่มีระยะเท่าๆ กันอีกด้วย
มีทฤษฎีหลายอย่างที่พูดถึงการเกิดขึ้นของกองเนินหญ้าเหล่านี้ ตั้งแต่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือฝีมือมนุษย์สร้างขึ้น หรือแม้แต่เป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ถึงที่มาอย่างแท้จริง บ้างก็ว่าเป็นหลุมฝังศพของชนเผ่าอินเดียวแดงโบราณ แต่เมื่อขุดดูก็ไม่พบซากศพแต่อย่างใด
บ้างก็ว่าเป็นเพราะหนอนหรือหนูที่มาทำรังไว้ใต้ผิวดิน แต่ก็มีการศึกษาว่าพื้นที่บริเวณนั้นมีความรุนแรงมากและไม่พบว่ามีสัตว์ชนิดไหนอาศัยอยู่ บ้างก็ว่าเป็นการสะสมของตะกอนที่ถูกพัดพามารวมกันไว้ มักจะพบปรากฏการณ์ในลักษณะเดียวในนี้บริเวณที่ดินแดนที่แห้งแล้ง เช่น ทะเลทรายอาหรับ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
- mystic-places.blogspot.com
- wikipedia.com
Cr.ภาพ oregonlive.com / livescience.com
Cr.
https://travel.thaiza.com/foreign/374501/
Cr.
http://amazingplaceonearth.blogspot.com/2010/04/mima-mounds.html
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมอและขออนุญาตนำมา)
กองหินลึกลับที่ถูกค้นพบในสถานที่ต่างๆ
ทีมนักโบราณได้ทำการศึกษากองหินลึกลับที่รู้จักกันในชื่อ Rujm el-Hiri หรือ Gilgal Refaim ที่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบโกลาน โดยพบว่ามีอายุใกล้เคียงกับกองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ถึง 5,000 ปีขณะที่มีทฤษฎีกล่าวอ้างว่าสถานที่แห่งนี้อาจจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประกอบพิธีกรรมทำศพที่เรียกว่า″Sky Burial” ซึ่งยังคงเป็นปริศนาโดยนักโบราณคดีจะพยายามค้นหาคำตอบต่อไปว่าสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร
กองหินลึกลับ Rujm el-Hiri ถูกค้นพบขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1967 หลังจากที่กองทัพอิสราเอลสามารถยึดดินแดนจากกองทัพซีเรียได้ในสงครามหกวัน โดยนักโบราณคดีได้ทำการสำรวจพื้นที่ทางอากาศและพบรูปแบบการเรียงตัวของหินเป็นวงกลมซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้จากพื้นดินรวมทั้งยังพบว่ามีการขุดเจาะภายในกองหินซึ่งเผยให้เห็นโครงสร้างที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค
นอกจากนี้ยังมีกองหินเรียงตัวเป็นวงกลมซ้อนอยู่ด้านในอีก5วงโดยวงกลมที่ใหญ่ที่สุดมีความกว้างมากกว่า152เมตรและยังมีห้องเก็บศพอยู่ใต้กองหินที่เรียงตัวกันสูงถึง4.5 เมตรอยู่ตรงกลางวงอีกด้วย โดยจากการสำรวจของทีมนักโบราณคดีพบว่ากองหินลึกลับแห่งนี้มีอายุมากถึง 5,000 ปีซึ่งมีอายุใกล้เคียงกับกองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ที่อยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่มณฑลวิลต์เชอร์ ประเทศอังกฤษ
แต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองก็คือกองหินประหลาดสโตนเฮนจ์สร้างจากก้อนหินขนาดยักษ์เรียงตัวกันกว่า 100 ก้อนขณะที่กองหินลึกลับ Rujm el-Hiri สร้างจากก้อนหินบะซอลต์ขนาดเล็กกว่าพันก้อนที่กองรวมกันโดยมีน้ำหนักรวมมากกว่า 40,000 ตัน รวมทั้งยังมีการค้นพบเศษเครื่องปั้นดินเผาและเครื่องมือหินที่ใช้ในการขุดเจาะต่างๆซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่ต่างยืนยันว่าการก่อสร้างเริ่มขึ้นเมื่อช่วง3,500ปีก่อนคริสตกาลและชิ้นส่วนอื่นๆอาจจะเพิ่มมาอีกในช่วง2,000ปีต่อมา
อย่างไรก็ตามยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่ากองหินลึกลับเหล่านี้ใครเป็นคนสร้างขึ้นมาโดยบางคนคิดว่ามันอาจจะเป็นอารยธรรมเร่ร่อนที่ตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่นี้ขณะที่บางคนบอกว่าสถานที่แห่งนี้อาจจะมีความสำคัญทางโหราศาสตร์เกี่ยวกับวันที่สั้นที่สุดและยาวที่สุดของปีที่เรียกว่าครีษมายันตามปฏิทินโบราณ
แต่ก็มีทฤษฎีที่อ้างว่าสถานที่นี้อาจจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประกอบพิธีกรรมทำศพที่เรียกว่า″SkyBurial”โดยการบริจาคร่างกายให้เป็นอาหารแก่นกแร้งสังเกตได้จากกองหินสูงตรงกลางซึ่งเชื่อกันว่าน่าจะเป็นจุดที่วางศพ
Rujmel-Hiri เป็นชื่อในภาษาอารบิกแปลว่า ″กองหินของแมวป่า″ ขณะที่ชื่อ Gilgal Refaim เป็นภาษาฮีบรูแปลว่า “ล้อของยักษ์” หมายถึงการแข่งขันโบราณของยักษ์ที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ใบเบิล ตอนนี้พื้นที่แห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นสถานที่ในการฝึกทหารกองทัพอิสราเอล
Cr. http://nuclear.rmutphysics.com/blog-sci5/?p=6232
Carnac Stones
นอกจากสโตนเฮนจ์แล้ว ยังมีอีกหนึ่งสถานที่ที่เกิดการเรียงตัวกันของก้อนหินได้อย่างน่าประหลาด โดยสถานที่แห่งนั้นมีชื่อว่า "Carnac Stones" ตั้งอยู่ในแคว้นเบรอตาญ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยก้อนหินขนาดเล็กใหญ่ ตั้งเรียงรายเป็นระยะทางกว่า 12 กม.
ไม่มีบันทึกใดระบุว่าก้อนหินลึกลับเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใด
Alignements de Carnac / แนวหินคาร์นัค (Carnac stones) มีตำนานความเชื่อที่เล่าต่อๆ กันว่า กองหินลึกลับเหล่านี้เป็นฝีมือของ “พ่อมดเมอร์ลิน” พ่อมดที่มีความเชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์เป็นอย่างมาก และทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งได้สาปกองทหารโรมันขณะยกทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อาเธอร์ จนกลายเป็นก้อนหินทั้งกองทัพ
แนวหินคาร์นัคมีลักษณะเป็นแท่นหินเรียงกันเป็นแถว ประมาณ 3,000 แท่น ซึ่งปัจจุบันผู้คนได้แบ่งให้เป็นสามกลุ่มคือ
- กลุ่มที่ 1 คือ The Kermario เป็นบริเวณที่มีแท่นหินกว่า 1,029 แท่น มีทั้งหมด 10 แถว และมีความยาวเป็นกิโลเมตร
- กลุ่มที่ 2 คือ The Ménec มีแท่นหินกว่า 1,100 แท่น มี 12 แถว และความยาวเป็นกิโลเมตร
- กลุ่มที่ 3 The Kerlescan มีแท่นหินกว่า 555 แท่น มี 13 แถว และความยาวกว่า 800 เมตร
ด้านนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาก้อนหินระบุว่า ก้อนหินเหล่านี้น่าจะถูกสร้างขึ้นประมาณ 3,300 - 4,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช และอาจถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว หรืออาจเป็นปฏิทินโบราณที่ใช้เพื่อสังเกตดวงดาวของคนในยุคนั้น หรือทำพิธีกรรมทางศาสนา หรือตั้งเวลาสำหรับทำการเกษตร ทั้งการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว บ้างก็ว่าเป็นสัญลักษณ์สำหรับแบ่งเขตแดน
ปัจจุบัน Carnac Stones เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศฝรั่งเศส ที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้าไปเยี่ยมชมความลึกลับของประติมากรรมชวนทึ่งนี้
ที่มา คลังความรู้ by SpokeDark / http://www.amusingplanet.com/
Cr.https://www.blockdit.com/articles/5eca38769636b60cb4ef771e
Cr.https://www.facebook.com/AllolaFR/posts/2016411181810890/
Cr.https://travel.thaiza.com/foreign/342862/
โครงสร้างหินลึกลับ
นักโบราณคดีได้ค้นพบโครงสร้างหินลึกลับ ที่มีอายุย้อนหลังไปหลายพันปีในทะเลทรายอาหรับ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นโดยชนเผ่าเร่ร่อน
โครงสร้างซึ่งประกอบจากหินเกือบ 400 ชิ้น ถูกตั้งชื่อเรียกว่า “ประตู” เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับสนามประตูเมื่อมองจากภาพถ่ายดาวเทียม โดยล้อมรอบบริเวณภูเขาไฟฮาร์ราต คัยบาร์ (Harrat Khaybar) ในซาอุดิอาระเบีย
นักวิจัยยังสงสัยว่าโครงสร้างเหล่านี้ถูกใช้เพื่ออะไร และใครเป็นคนสร้าง ดร.เดวิด เคนเนดี้ ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออสเตรเลีย ระบุในบทความจากเดอะนิวยอร์กไทมส์ว่า “เรามักจะคิดว่าซาอุดิอาระเบียเป็นทะเลทราย แต่ในทางปฏิบัติมีสมบัติทางโบราณคดีขนาดใหญ่อยู่ที่นั่น และต้องมีการพิสูจน์ทราบและทำแผนที่” บทความที่ดร. เคนเนดี้เขียนนี้ได้เผยแพร่ในวารสาร Arabian Archeology and Epigraphy ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2017
ความลึกลับของโครงสร้างหินเริ่มขึ้นในปี 2004 (พ.ศ.2547) เมื่อดร.อับดุลลาห์ อัลซาอีด นักประสาทวิทยาและผู้ก่อตั้งทีมทะเลทราย (Desert Team) กลุ่มนักโบราณคดีสมัครเล่นในซาอุดิอาระเบียที่ได้สำรวจเขตลาวาของฮาร์ราต คัยบาร์ เขาได้พบเห็นกำแพงหินสูงประมาณสามฟุตแต่ก็ผ่านเลยไป จากนั้นกระบวนการศึกษาค้นคว้าได้หยุดพักจนมาในปี 2008 (พ. ศ.2551) เมื่อดร. อัลซาอีดเดินทางกลับไปยังจุดเดิมโดยใช้กูเกิลเอิร์ท (Google Earth)
มีการตรวจสอบเพิ่มเติมและภาพจากกูเกิลบางส่วนที่ส่งไปยังนักโบราณคดีเช่น ดร. เคนเนดี้ ได้รับการตอบรับที่สร้างความงงงวยเมื่อได้เห็นภาพดาวเทียมเป็นครั้งแรก เนื่องจากพบกับโครงสร้างที่แตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อน โดยพบว่าโครงสร้างลักษณะเหมือนประตู มีขนาดที่ไม่เท่ากัน ประตูที่ยาวที่สุดมีระยะทางมากกว่าครึ่งกิโลเมตร ขณะที่ระยะสั้นที่สุดคือ 13 เมตร และระยะห่างระหว่างพวกมันต่างกันเป็นไมล์
ดร. เคนเนดีใช้เวลาเกือบหนึ่งทศวรรษในการจัดทำรายการที่มีเกือบ 400 ประตู และหวังว่าขั้นตอนต่อไปของเขาคือการนำทีมวิจัยเข้าไปรวบรวมตัวอย่างเพื่อคาร์บอนอายุทุ่งลาวาแห่งนี้ และแม้แต่กำแพงหินเพื่อทราบอายุการก่อสร้างของพวกมัน
Cr.https://www.publicpostonline.net/15836 / โดย กองบรรณาธิการ
Apachetas of Chivay
เส้นทางระหว่างเมือง Chivay และ Arequipa ในประเทศเปรู เป็นเส้นทางหนึ่งที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนความสูง 4,800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อยู่สูงกว่าแคนยอน Colca ขึ้นไปอีก ถูกใช้เป็นถนนเส้นหลักในอารยธรรมโบราณยุค Pre-Colombian มานานกว่าร้อยปี
กองหินที่ตั้งกระจัดกระจายอยู่บนเส้นทางนี้ เรียกว่า Apachetas ตรงนี้เป็นจุดที่สูงที่สุดของเส้นทางบนภูเขา โดยนักท่องเที่ยวเป็นผู้สร้างกองหินซึ่งเป็นสัญลักษณ์เหล่านี้ วางหินเรียงขึ้นไปสูงๆ สามารถพบเห็นได้ทั่วบริเวณ
แต่ในอดีตหินเหล่านี้ถูกนำมาวางไว้เพื่อบูชาแก่เทพเจ้า พวกเขาเชื่อว่าบนเส้นทางนี้มีพลังเหนือธรรมชาติ หากได้มาภาวนาที่นี่ก็จะสามารถส่งไปถึงเทพเจ้าได้ และจะได้มาซึ่งโชคดี ได้รับความคุ้มครองตลอดเส้นทาง ส่วนมากจะภาวนาถึงเทพเจ้า Pachamama ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งท้องฟ้า ดิน และยมโลก ส่วนคนที่ไม่ได้นำหินมาด้วย ก็จะใช้อย่างอื่นแทน เช่น ใบโคคา เปลือกหอย แอลกอฮอล์ หรือของหวาน
Cr. https://www.blesstraveler.com/post/apachetas-of-chivay
Mima Mounds
ทุ่งหญ้าที่อยู่ใกล้กับเมืองโอลิมเปียในรัฐวอชิงตัน รัฐทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา พื้นที่กว่าพันๆตารางเมตรถูกปกคลุมด้วยกองเนินหญ้า ที่ถูกตั้งชื่อว่า " กองเนิน Mima " รูปร่าง ขนาด และองค์ประกอบของกองเนินนี้ มีความแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ โดยทั่วไปจะเป็นรูปวงกลม หรือ รูปวงรี ประกอบด้วยดินสีเข้มผสมกับสารอินทรีย์ต่างๆ และมักจะผสมกับก้อนหินขนาดเล็กไว้ด้วย
Mima Mounds ( ไมมา มาวส์) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่ตะปุ่มตะป่ำเป็นเนิน โดยพบได้ในหลายแห่งของโลก เช่น เคนยา แคนาดา ออสเตรเลีย จีน และแถบตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาของรัฐแคลิฟอร์เนีย อาร์แคนซัส เท็กซัส หลุยส์เซียน่า และวอชิงตัน
โดย Moundsเหล่านี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 3-50 ม. สูงประมาณ 30 ซม.- 2 ม. และมีความหนาแน่นตั้งแต่ไม่กี่อันจนถึงมากกว่า 50 mounds ต่อเอเคอร์ โดยชื่อ Mima Mounds นี้ได้มาจากชื่อทุ่งหญ้า Mima Prairie ใน Thurston Country รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดย mounds ในเคนย่ามีลักษณะใกล้เคียงกับในเม็กซิโกและแคนาดา โดยพบว่า mounds ทั้งหมดจะมีลักษณะเป็นกองดินสูง 6 ฟุต แถมมีลักษณะเรียงกันเป็นแถวที่มีระยะเท่าๆ กันอีกด้วย
มีทฤษฎีหลายอย่างที่พูดถึงการเกิดขึ้นของกองเนินหญ้าเหล่านี้ ตั้งแต่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือฝีมือมนุษย์สร้างขึ้น หรือแม้แต่เป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ถึงที่มาอย่างแท้จริง บ้างก็ว่าเป็นหลุมฝังศพของชนเผ่าอินเดียวแดงโบราณ แต่เมื่อขุดดูก็ไม่พบซากศพแต่อย่างใด
บ้างก็ว่าเป็นเพราะหนอนหรือหนูที่มาทำรังไว้ใต้ผิวดิน แต่ก็มีการศึกษาว่าพื้นที่บริเวณนั้นมีความรุนแรงมากและไม่พบว่ามีสัตว์ชนิดไหนอาศัยอยู่ บ้างก็ว่าเป็นการสะสมของตะกอนที่ถูกพัดพามารวมกันไว้ มักจะพบปรากฏการณ์ในลักษณะเดียวในนี้บริเวณที่ดินแดนที่แห้งแล้ง เช่น ทะเลทรายอาหรับ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
- mystic-places.blogspot.com
- wikipedia.com
Cr.ภาพ oregonlive.com / livescience.com
Cr.https://travel.thaiza.com/foreign/374501/
Cr.http://amazingplaceonearth.blogspot.com/2010/04/mima-mounds.html
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมอและขออนุญาตนำมา)