พิชาย ชี้ ภาวะแย่งอำนาจอย่างหนักในพปชร.-ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเกินพอดี คือจุดเสื่อมรัฐบาล
https://www.matichon.co.th/politics/news_2249725
อ.นิด้า ชี้ ภาวะแย่งอำนาจอย่างหนักในพปชร.-ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเกินพอดี คือจุดเสื่อมรัฐบาล ภาวะเช่นนี้ ไม่ส่งเสริมให้รัฐบาลอยู่ได้นาน
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม รศ.ดร.
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อดีตคณะบดีพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า)และประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) โพสต์ข้อความแสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาในรัฐบาลขณะนี้ โดยระบุว่า
ความขัดแย้งระหว่างแกนนำพรรคพลังประชารัฐกับกลุ่มนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น ด้วยต่างฝ่ายต่างออกมาตอบโต้อย่างรุนแรงราวกับไม่ใช่อยู่ร่วมรัฐบาลเดียวกัน
การวิวาทะอย่างไม่ยำเกรง ข้ามศีรษะ ผู้นำรัฐบาล สะท้อนว่าอำนาจบารมีของผู้นำรัฐบาลหาได้เข้มข้นดังในอดีตแล้ว
ช่วงเดือนที่แล้วคะแนนนิยมที่เพิ่มจากการรับมือโควิดได้ ก็มลายหายไปด้วยความไร้ความสามารถในการจัดการความขัดแย้งในพรรครัฐบาล
และยิ่งตกลงไปอีกเมื่อยืดอายุ พรก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของ พ.ร.ก. ฉุกเฉินแบบเกินพอดี ไม่สมเหตุสมผล และไม่สมจริง จนประชาชนคลางแคลงใจว่าอำนาจใช้เพื่อป้องกันโควิด หรือ เพื่ออะไรกันแน่
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจก็กำลังลงเหว ประชาชนกำลังล้มละลาย ตกงาน และยืนอยู่บนขอบประตูแห่งความอดอยาก
แต่แกนนำพรรครัฐบาลกลับมุ่งมั่นต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งกันจนฝุ่นตลบ
ขณะที่ผู้นำรัฐบาลนั่งดูตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากไร้น้ำยาในการสยบความขัดแย้ง
นายกรัฐมนตรียามนี้ดูเหมือนว่าพูดอะไรก็ไม่มีใครในพรรคร่วมรัฐบาลฟัง บอกอะไรก็ไม่มีใครในพรรคพลังประชารัฐเชื่อ สั่งอะไรก็ไม่ได้ดังใจ
ภาวะแบบนี้ ดูท่ารัฐบาลคงอยู่ได้ไม่นาน
https://www.facebook.com/PhichainaBhuket/posts/3956461197761707
หมอเพจดัง ไม่เห็นด้วยต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ชี้ชัดไม่มีส่วนคุมโควิดนานแล้ว!
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_4416540
หมอเพจดัง ไม่เห็นด้วยต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ชี้ชัดไม่มีส่วนคุมโควิดนานแล้ว!
เพจ
เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล ที่เขียนขึ้นจากหมอ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1เดือน ความว่า
#ต่ออีกแล้ว
เดือนที่แล้วบอกว่า กฎหมายไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ตอนนี้บอกว่าจะต่ออีกเดือน..... จ้าาาาาา .....
เอาจริง ๆ ในแง่ส่วนตัว ผมเองไม่ได้เดือดร้อนอะไร กับการ คง พ.ร.ก ไว้ แต่ในฐานะที่เห็นว่า พ.ร.ก. นี้ไม่ได้มีส่วนอะไร กับการควบคุมเรื่องโรคระบาดแล้ว จริง ๆ ต้องบอกว่า ไม่ได้มีส่วนนานแล้วด้วยซ้ำ
เพราะในความคิดส่วนตัว เคอร์ฟิว ซึ่งเป็นข้อแตกต่างข้อเดียวของการมี พ.ร.ก ฉุกเฉิน ก็ไม่ได้ป้องกันโรคระบาดในช่วงหลังๆ (ผมเห็นด้วยในช่วงแรก ๆ ที่มีการรวมกลุ่ม สังสรรค์ แล้วมีการติดเชื้อ ... )
และในฐานะที่เป็นหมอ เป็นบุคลากรทางการแพทย์ เมื่อมีการใช้เหตุทางด้านสุขภาพ มาอ้างอิง เพื่อ คง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ถ้าเงียบเฉย ก็ดูเหมือนจะแปลว่าเห็นด้วย ก็ต้องขอแสดงจุดยืนนิดนึงว่า ไม่เห็นด้วยจริง ๆ มอง/อ่าน/วิเคราะห์ จากสารพัดข้อมูล ความเห็นแล้ว ก็ไม่มีช่องไหนสมเหตุสมผลเลย
คิดว่า แสดงออกอย่างนี้ ก็คงไม่มีผลอะไร ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน ในทางธรรม อาจเป็นแค่ การแสดง 'อัตตา' อย่างหนึ่ง หากทำให้ใครขัดเคืองก็ขออภัยล่วงหน้า (อ่าน)
https://www.facebook.com/hospitalBuzz/photos/a.470244799846313/1460059227531527/
‘เจซีซี’ เผยดัชนีชี้วัดสภาพธุรกิจญี่ปุ่นในไทยแย่สุดในรอบ 35 ปี ผลกระทบโควิดทุบยอดขายดิ่ง
https://www.prachachat.net/world-news/news-484723
สภาหอการค้าญี่ปุ่น – กรุงเทพ (เจซีซี) ได้จัดงานแถลงข่าวในวันนี้ (30 มิ.ย. 2020) เผยผลการสำรวจดัชนีชี้วัดแนวโน้มทางเศรษฐกิจประจำครึ่งแรกของปี 2020 ซึ่งสะท้อนสภาพทางธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยระหว่างช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีบริษัทญี่ปุ่นในไทย 631 แห่งที่เข้าร่วมการทำงานสำรวจ
ทั้งนี้ เจซีซีได้ทำการสอบถามบริษัทญี่ปุ่นถึงสภาพการดำเนินธุรกิจระหว่างช่วงครึ่งแรกของปี 2020 เพื่อนำมาจัดทำ
ดัชนีการกระจาย (Diffusion Index) ที่สามารถแสดงถึงสภาพธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในไทย โดยค่าดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ระดับ “
ติดลบ” 69 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เมื่อปี 2528 และสะท้อนภาพให้เห็นว่าธุรกิจญี่ปุ่นในไทยย่ำแย่ลงอย่างหนักจากผลกระทบของโควิด-19 โดยมีบริษัทที่ทำแบบสอบถามกว่า 78% ที่ระบุว่าสภาพธุรกิจของตน “
ปรับตัวแย่ลง”
โดยพบว่าบริษัทญี่ปุ่นเหล่านี้เผชิญกับยอดขายที่ลดลงอย่างหนักระหว่างช่วงการระบาด ซึ่งจากบริษัททั้งหมด 631 แห่งที่ทำแบบสอบถาม พบว่ามีบริษัทถึง 48% ที่มียอดขายที่ลดลงระดับ 20-50% ขณะที่บริษัทอีก 27% พบว่ายอดขายลดลง 5-20% นอกจากนี้ยังพบว่ามีบริษัทในสัดส่วนอีก 9% ที่เผชิญกับผลกระทบอย่างหนักโดยมียอดขายที่ลดลงมากกว่า 50% ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เป็นผลกระทบต่อยอดขายที่มากกว่างานสำรวจก่อนหน้าที่เจซีซีเปิดเผยออกมาเมื่อ 25 มี.ค. เนื่องจากสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงขึ้น
เมื่อคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วนั้นปัจจุบันมีบริษัท 7% ที่ระบุว่าอาจต้องลดขนาดกิจการลง ขณะที่มีบริษัทอีก 34% ที่ต้องจับตาดูว่าว่าจะลดขนาดกิจการลงหรือไม่
ในกรณีดังกล่าว “
อัทสึชิ ทาเคนิ” ประธานคณะวิจัยเศรษฐกิจของเจซีซีและประธานเจโทรประจำกรุงเทพ กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลให้เกิดตัวเลขชี้วัดที่ย่ำแย่อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับงานสำรวจทั่วโลก โดยบริษัทญี่ปุ่นได้เผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเดือน เม.ย. ที่มีการล็อคดาวน์เต็มเดือน ถึงแม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ตามสภาพการดำเนินธุรกิจก็ยังไม่กลับคืนสู่สภาวะปกติ
JJNY : พิชายชี้จุดเสื่อมรบ./เพจดังไม่เห็นด้วยต่อพ.ร.ก./ธุรกิจญี่ปุ่นในไทยแย่สุดรอบ35ปี/ทั่วโลกติด10.5ล./ติดเชื้อเพิ่ม2
https://www.matichon.co.th/politics/news_2249725
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อดีตคณะบดีพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า)และประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) โพสต์ข้อความแสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาในรัฐบาลขณะนี้ โดยระบุว่า
ความขัดแย้งระหว่างแกนนำพรรคพลังประชารัฐกับกลุ่มนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น ด้วยต่างฝ่ายต่างออกมาตอบโต้อย่างรุนแรงราวกับไม่ใช่อยู่ร่วมรัฐบาลเดียวกัน
การวิวาทะอย่างไม่ยำเกรง ข้ามศีรษะ ผู้นำรัฐบาล สะท้อนว่าอำนาจบารมีของผู้นำรัฐบาลหาได้เข้มข้นดังในอดีตแล้ว
ช่วงเดือนที่แล้วคะแนนนิยมที่เพิ่มจากการรับมือโควิดได้ ก็มลายหายไปด้วยความไร้ความสามารถในการจัดการความขัดแย้งในพรรครัฐบาล
และยิ่งตกลงไปอีกเมื่อยืดอายุ พรก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของ พ.ร.ก. ฉุกเฉินแบบเกินพอดี ไม่สมเหตุสมผล และไม่สมจริง จนประชาชนคลางแคลงใจว่าอำนาจใช้เพื่อป้องกันโควิด หรือ เพื่ออะไรกันแน่
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจก็กำลังลงเหว ประชาชนกำลังล้มละลาย ตกงาน และยืนอยู่บนขอบประตูแห่งความอดอยาก
แต่แกนนำพรรครัฐบาลกลับมุ่งมั่นต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งกันจนฝุ่นตลบ
ขณะที่ผู้นำรัฐบาลนั่งดูตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากไร้น้ำยาในการสยบความขัดแย้ง
นายกรัฐมนตรียามนี้ดูเหมือนว่าพูดอะไรก็ไม่มีใครในพรรคร่วมรัฐบาลฟัง บอกอะไรก็ไม่มีใครในพรรคพลังประชารัฐเชื่อ สั่งอะไรก็ไม่ได้ดังใจ
ภาวะแบบนี้ ดูท่ารัฐบาลคงอยู่ได้ไม่นาน
https://www.facebook.com/PhichainaBhuket/posts/3956461197761707
หมอเพจดัง ไม่เห็นด้วยต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ชี้ชัดไม่มีส่วนคุมโควิดนานแล้ว!
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_4416540
หมอเพจดัง ไม่เห็นด้วยต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ชี้ชัดไม่มีส่วนคุมโควิดนานแล้ว!
เพจ เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล ที่เขียนขึ้นจากหมอ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1เดือน ความว่า
#ต่ออีกแล้ว
เดือนที่แล้วบอกว่า กฎหมายไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ตอนนี้บอกว่าจะต่ออีกเดือน..... จ้าาาาาา .....
เอาจริง ๆ ในแง่ส่วนตัว ผมเองไม่ได้เดือดร้อนอะไร กับการ คง พ.ร.ก ไว้ แต่ในฐานะที่เห็นว่า พ.ร.ก. นี้ไม่ได้มีส่วนอะไร กับการควบคุมเรื่องโรคระบาดแล้ว จริง ๆ ต้องบอกว่า ไม่ได้มีส่วนนานแล้วด้วยซ้ำ
เพราะในความคิดส่วนตัว เคอร์ฟิว ซึ่งเป็นข้อแตกต่างข้อเดียวของการมี พ.ร.ก ฉุกเฉิน ก็ไม่ได้ป้องกันโรคระบาดในช่วงหลังๆ (ผมเห็นด้วยในช่วงแรก ๆ ที่มีการรวมกลุ่ม สังสรรค์ แล้วมีการติดเชื้อ ... )
และในฐานะที่เป็นหมอ เป็นบุคลากรทางการแพทย์ เมื่อมีการใช้เหตุทางด้านสุขภาพ มาอ้างอิง เพื่อ คง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ถ้าเงียบเฉย ก็ดูเหมือนจะแปลว่าเห็นด้วย ก็ต้องขอแสดงจุดยืนนิดนึงว่า ไม่เห็นด้วยจริง ๆ มอง/อ่าน/วิเคราะห์ จากสารพัดข้อมูล ความเห็นแล้ว ก็ไม่มีช่องไหนสมเหตุสมผลเลย
คิดว่า แสดงออกอย่างนี้ ก็คงไม่มีผลอะไร ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน ในทางธรรม อาจเป็นแค่ การแสดง 'อัตตา' อย่างหนึ่ง หากทำให้ใครขัดเคืองก็ขออภัยล่วงหน้า (อ่าน)
https://www.facebook.com/hospitalBuzz/photos/a.470244799846313/1460059227531527/
‘เจซีซี’ เผยดัชนีชี้วัดสภาพธุรกิจญี่ปุ่นในไทยแย่สุดในรอบ 35 ปี ผลกระทบโควิดทุบยอดขายดิ่ง
https://www.prachachat.net/world-news/news-484723
สภาหอการค้าญี่ปุ่น – กรุงเทพ (เจซีซี) ได้จัดงานแถลงข่าวในวันนี้ (30 มิ.ย. 2020) เผยผลการสำรวจดัชนีชี้วัดแนวโน้มทางเศรษฐกิจประจำครึ่งแรกของปี 2020 ซึ่งสะท้อนสภาพทางธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยระหว่างช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีบริษัทญี่ปุ่นในไทย 631 แห่งที่เข้าร่วมการทำงานสำรวจ
ทั้งนี้ เจซีซีได้ทำการสอบถามบริษัทญี่ปุ่นถึงสภาพการดำเนินธุรกิจระหว่างช่วงครึ่งแรกของปี 2020 เพื่อนำมาจัดทำดัชนีการกระจาย (Diffusion Index) ที่สามารถแสดงถึงสภาพธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในไทย โดยค่าดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ระดับ “ติดลบ” 69 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เมื่อปี 2528 และสะท้อนภาพให้เห็นว่าธุรกิจญี่ปุ่นในไทยย่ำแย่ลงอย่างหนักจากผลกระทบของโควิด-19 โดยมีบริษัทที่ทำแบบสอบถามกว่า 78% ที่ระบุว่าสภาพธุรกิจของตน “ปรับตัวแย่ลง”
โดยพบว่าบริษัทญี่ปุ่นเหล่านี้เผชิญกับยอดขายที่ลดลงอย่างหนักระหว่างช่วงการระบาด ซึ่งจากบริษัททั้งหมด 631 แห่งที่ทำแบบสอบถาม พบว่ามีบริษัทถึง 48% ที่มียอดขายที่ลดลงระดับ 20-50% ขณะที่บริษัทอีก 27% พบว่ายอดขายลดลง 5-20% นอกจากนี้ยังพบว่ามีบริษัทในสัดส่วนอีก 9% ที่เผชิญกับผลกระทบอย่างหนักโดยมียอดขายที่ลดลงมากกว่า 50% ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เป็นผลกระทบต่อยอดขายที่มากกว่างานสำรวจก่อนหน้าที่เจซีซีเปิดเผยออกมาเมื่อ 25 มี.ค. เนื่องจากสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงขึ้น
เมื่อคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วนั้นปัจจุบันมีบริษัท 7% ที่ระบุว่าอาจต้องลดขนาดกิจการลง ขณะที่มีบริษัทอีก 34% ที่ต้องจับตาดูว่าว่าจะลดขนาดกิจการลงหรือไม่
ในกรณีดังกล่าว “อัทสึชิ ทาเคนิ” ประธานคณะวิจัยเศรษฐกิจของเจซีซีและประธานเจโทรประจำกรุงเทพ กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลให้เกิดตัวเลขชี้วัดที่ย่ำแย่อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับงานสำรวจทั่วโลก โดยบริษัทญี่ปุ่นได้เผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเดือน เม.ย. ที่มีการล็อคดาวน์เต็มเดือน ถึงแม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ตามสภาพการดำเนินธุรกิจก็ยังไม่กลับคืนสู่สภาวะปกติ