สวัสดีค่ะทุกคน ไม่ได้เจอกันน๊านนาน สบายดีกันรึเปล่าเอ่ย?
ตอนนี้สถานการณ์ของไวรัสโคโรน่าก็เริ่มดีขึ้นและผู้คนก็เริ่มกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิมแล้ว แต่ยังไงก็ขอให้ทุกคนดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ!
ไม่ใช่แค่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ตอนนี้ทุกประเทศทั่วโลกต่างตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก และ การเดินทางก็ยังถือเป็นเรื่องยากพอสมควร แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น เราหวังว่านักท่องเที่ยวทุกท่านจะเดินทางมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้งและเราจะคอยอัพเดทข้อมูลการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นต่อไปค่ะ!
ต่อเนื่องจากคราวที่แล้ว วันนี้เรานำข้อมูลเกี่ยวกับจังหวัดนาราของประเทศญี่ปุ่นมาฝากกันค่ะ
บทความที่ 3 นี้คือ “อาซูกะ ภูเขาชิกิ และ บริเวณอิคารุกะ”
บริเวณอาซูกะและอิคารุกะ ในศตวรรษที่ 7 ที่นี่เป็นศูนย์กลางของประเทศญี่ปุ่นและมีระบอบกษัตริย์ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังโบราณและโครงสร้างหินที่ลึกลับ ดังนั้นการชมรอบๆบริเวณนี้ ถ้าเช่าจักรยานมากขี่จะสะดวกมากๆเลยค่ะ สามารถใช้บริการเช่าจักรยานที่ร้านค้าหน้าสถานีอาซูกะหรือตามสถานที่ต่างๆได้เลย
บริเวณนี้จะเป็นสถานที่แบบไหนนะ ไปดูกันเลยค่ะ!
■รอบอุทยานประวัติศาสตร์อาซูกะ
●สุสานอิชิบุไต (Ishibutai Tomb)
เป็นสุสานห้องหินแบบที่มีทางเข้าด้านข้าง (横穴式石室) ขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 7 เชื่อกันว่าเป็นหลุมศพของโซกะ โนะ อุมาโกะ ผู้มีอำนาจในเวลานั้น ส่วนที่ปรากฎบนพื้นดินนั้นเป็นเพดานหินของห้องหินที่มีความยาว 7 เมตร ความสูง 5 เมตร คล้ายกับเวทีหิน ดังนั้นจึงได้ชื่ออิชิบุไตซึ่งแปลว่าเวทีหินนี้มา
ความแข็งแกร่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจหรือไม่? หรือเป็นหลักฐานของระดับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี? วัสดุหินมากถึงประมาณ 2,300 ตันถูกสร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีวิศวกรรมโยธาในเวลานั้น
● สุสานทาคามัตสึซูกะ (Takamatsuzuka Tomb)
เป็นหลุมฝังศพวงกลมแบบสองขั้นที่สร้างขึ้นระหว่างปลายศตวรรษที่ 7 ถึงศตวรรษที่ 8
ภาพของเหล่าหนุ่มสาว เทพสี่องค์ และกลุ่มดาวที่ถูกวาดขึ้นด้วยสีสันสดใสภายในห้องหินนั้นถูกค้นพบ และกลายเป็นประเด็นเรื่อง "การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โบราณคดีญี่ปุ่น" จึงเกิดเป็นการบูมของประวัติศาสตร์โบราณครั้งยิ่งใหญ่ สามารถดูแบบจำลองอันซับซ้อนได้ที่พิพิธภัณฑ์จิตรกรรมฝาผนังทาคามัตสึซูกะที่อยู่ใกล้ๆ
● สุสานคิโทระ (Kitora Tomb)
(รูปภาพจาก Asuka Village Board of Education ถ่ายโดย Ueda Yasuhiko)
เป็นหลุมฝังศพที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังของจริงเพียง 2 แห่งในญี่ปุ่น คู่กับสุสานทาคามัตสึซูกะ
ใน Shijin no Yakata (四神の館) ซึ่งอยู่ติดกันนั้นก็ได้มีการแนะนำเกี่ยวกับสุสานคิโทระด้วยนิทรรศการในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการจำลองห้องหินแบบเต็มรูปแบบ และจิตรกรรมฝาผนังของจริงที่จะถูกเปิดเผยในระยะเวลาที่จำกัดก็เช่นกัน
■โครงสร้างหินอันลึกลับ
●หินเต่า (Kameishi Tortoise Stone)
โครงสร้างหินรูปร่างคล้ายเต่าที่ปรากฏขึ้นกลางชนบท ใครเป็นคนสร้าง และสร้างขึ้นเมื่อไหร่นั้นไม่แน่ชัด แต่สีหน้าท่าทางที่ราวกับกำลังยิ้มอย่างน่ารักนั้น ทำให้มันเป็นที่นิยม
ในปัจจุบันมันหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และมีตำนานที่เล่ากันว่าหากมันหันหน้าไปทางทิศตะวันตก พื้นที่นาราด้านหนึ่งจะกลายเป็นทะเลโคลน นอกจากนี้ยังมีโครงสร้างหินอันลึกลับในอาซูกะอีกราวๆ 20 ชิ้นเลย เช่น “หินลิง” (Saru-ishi Monkey Stone) “หินสองหน้า” (Nimenseki Two-faced Stone) เป็นต้น ถ้าได้มาเที่ยวที่แห่งนี้ อย่าลืมมาตามหาหินเหล่านี้ให้ครบกันนะคะ!
■ศูนย์วัฒนธรรมมันโยจังหวัดนารา
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สามารถเรียนรู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นได้ รวมไปถึง “มันโยชู” (หนังสือประชุมกวีนิพนธ์ทังกะ)
●โรงละครมันโย
เป็นพื้นที่โรงละครที่แนะนำถึงบุคลิก ความคิด และอื่นๆ เกี่ยวกับนักร้องมันโยผ่านทางตุ๊กตา วีดีโอ หรือภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น
และยังมีการแสดงละครเวทีเพลงที่สร้างขึ้นมาใหม่โดยใช้หลักการแสดงโนและกากาคุเป็นต้น นั่นก็คือ “Princess Nukata (額田王)” “Kakinomoto no Hitomaro (柿本人麻呂)” และ “Manyo no Furusato (万葉のふるさと)”
●ลานดนตรี
ห้องโถงนิทรรศการที่ได้ทำการสร้างพื้นที่เมืองโบราณขึ้นใหม่
สามารถสัมผัสกับบ้านเมืองโบราณในแบบเสมือนจริงได้ด้วยแบบทดสอบและเกมที่สร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร์ และหุ่นของผู้คนที่กำลังร่วมทำอุทากาคิหรือการร้องเต้นแบบพื้นบ้านที่สร้างขึ้นมาได้อย่างเหมือนจริง
■นาข้าวขั้นบันไดอินาบุจิ Inabuchi Tanada Terraced Rice Fields
“นาข้าวขั้นบันไดอินาบุจิ” ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 5 นาข้าวขั้นบันได้ของญี่ปุ่นที่ดีที่สุดและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญในปี 2011 ทัศนียภาพนี้จึงได้รับการดูแลรักษาอย่างดี
ในเดือนกันยายนที่ดอกฮิกังบานะ (ดอกลิลลี่แมงมุมสีแดง) บานสะพรั่ง สีทองของรวงข้าวและสีแดงของดอกไม้ก็จะตัดกันสวยงาม
■วัดโชโกะซนชิจิแห่งภูเขาชิกิ (Shigisan Chogosonshi-ji Temple)
ก่อนการทำสงคราม เจ้าชายโชโตกุได้หยุดพักการเดินทางที่ภูเขาชิกิ ทำการอธิษฐานให้ได้รับชัยชนะ หลังจากการอธิษฐานเทพบิชามงเทนก็ปรากฎขึ้นบนท้องฟ้าและได้รับชัยชนะ ด้วยเหตุผลนี้ วัดโซโกะซนชิจิจึงเป็นวัดหลักที่บูชาเทพบิชามงเทน กล่าวกันว่าชื่อวัดโชโกะซนชิจินั้น มีความหมายของความสงบในการครองราชย์ การปกป้องประเทศชาติ และความเจริญรุ่งเรืองของลูกหลาน
●วัดโฮริวจิ (Horyuji Temple)
ถูกสร้างโดยเจ้าชายโชโตกุและจักรพรรดินีซุอิโกะ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 7 เป็นอาคารไม้ที่มีความเก่าแก่ที่สุดในโลกซึ่งบอกเล่าถึงสภาพของยุคอาซูกะให้แก่คนยุคปัจจุบัน
แบ่งเป็นบริเวณด้านตะวันตก (ไซอินการัน) ที่มีวิหารทองและเจดีย์ห้าชั้นตั้งอยู่ และบริเวณด้านตะวันออก (โทอินการัน) ที่มีวิหารยูเมโดโนะซึ่งถูกสร้างขึ้นบนซากวังของเจ้าชาย
ที่นี่เป็นขุมสมบัติของพุทธศิลป์ที่มีสมบัติของชาติและสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญราว 190 ชิ้น และได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเป็นครั้งแรกของญี่ปุ่นในปี 1993
ภาพเหมือนของเจ้าชายโชโตกุ และรูปปั้น Kuse Kannon (救世観音立像) ที่ได้รับถ่ายทอดมา รูปปั้น Kudara Kannon (百済観音像) ที่สวยงามและลึกลับ รวมถึงรูปปั้นหลัก Shaka sanzon (釈迦三尊像) นั้นก็เป็นสิ่งที่ห้ามพลาดเลยค่ะ
ตอนต่อไป เราจะมาแนะนำร้านอาหารพร้อมเมนูห้ามพลาดในย่านอาซูกะและอิคารุกะ รวมถึงเส้นทางรถไฟแสนสะดวก
ใครพร้อมแล้ววาร์ปไปกันเลย ☺
ท่องประวัติศาสตร์ในจังหวัด "นารา" เมืองหลวงเก่าแห่งญี่ปุ่น (3)