รู้ว่า ศึกษาภัณฑ์ ปิดหลายสาขามาหลายเดือนแล้ว เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ลองผ่านที่สนามกีฬาแห่งชาติ ก็ยังปิดอยู่
มาวันนี้ ได้รับข่าวว่า เลิกจ้างพนักงาน 900 กว่า ชีวิต จาก ประมาณ 1100 ชีวิต
ยังไม่รู้ว่า อนาคตขององค์กรจะเป็นอย่างไร
เหตุผลของการเลิกจ้าง บอกว่าขาดทุนสะสมมา 15 ปี ถ้าเลิกกันขนาดนี้ ผมคิดว่า ร้านศึกษาภัณฑ์คงไปต่อยาก
ผมรู้สึกเสียดายกับการหายไปของร้านค้าศึกษาภัณฑ์มาก
ผมมีลูกอยู่สองคน กำลังวัยเรียน ชั้นประถม อยู่โรงเรียนนานาชาติ แต่ก็เป็นลุกค้าประจำของศึกษาภัณฑ์มาหลายปี
หาซื้อหนังสือไทย เพื่อสอนลูกเสริมบ้าง
หาวัสดุอุปกรณ์สำหรับทำงานฝีมือบ้าง
หาสารเคมี และ อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ลูกทดลองเล่นบ้าง
ผมก็เห็นอยู่ว่า ร้านค้าดูเก่า ระบบจัดการไม่ค่อยดี แต่พนักงานทุกคนที่ผมได้สัมผัส มีจิตใจบริการ ให้คำแนะนำ หาของ ช่วยเหลือลูกค้าอย่างดี
ผมไม่รู้ว่า ศึกษาภัณฑ์ ขาดทุนยังไง เท่าไหร่ ไม่มีในเนื้อข่าว แต่ผมคิดว่า ร้านค้าที่ขายวัสดุการเรียนการสอนราคาถูกเพื่อสนับสนุนการศึกษาเช่นนี้ รัฐจะอุดหนุนเงินบ้าง ผมก็ยินดีสนับสนุน
การบินไทย จะล้มละลายไปยังไง ผมยังไม่รู้สึกอะไร เพราะมีทางเลือกอื่นเยอะ เห็นว่า สุดท้ายรัฐก็จะเพิ่มทุนให้
ในฐานะที่ ครอบครัวผมเสียภาษี ปีละหลายแสน ผมรู้สึกเสียดายกับการไปเพิ่มทุนให้กับการบินไทย มากกว่า ที่จะมาสนับสนุนร้านแบบศึกษาภัณฑ์ ซึ่งจริงๆผมคิดว่า เม็ดเงินไม่น่าจะมากด้วยซ้ำ
ก็ขอ จารึกไว้ตรงนี้ ร้านค้าอุปกรณ์การเรียนการสอน ที่อยู่คู่การศึกษาไทย มาหลายสิบปี ตั้งแต่ผมเด็กๆ มีอันต้องปิดตัวไป ในรัฐบาลลุงตู่ มีรมว. ศึกษาธิการ ชื่อ นาย ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
ผมขอแสดงความเสียใจกับพนักงานทุกท่านที่ถูกเลิกจ้างครับ กรณีนี้ต่างกับการบินไทย ผมคิดว่า ความผิดส่วนใหญ่ อยู่ที่ผู้บริหาร ผู้นำองค์กรมากกว่า แต่ท่านเหล่านั้น ไม่ต้องมารับเคราะห์กรรมเหมือนท่านๆ เสียใจด้วยจริงๆครับ
##########
update 1 (2 กค. 63)
มีหลายท่านแนะนำผมว่า อย่าไปแขวะรัฐบาล หรือ รมว. ศึกษาธิการ
ความตั้งใจผม คือ ท่านรมว.ศึกษาธิการ เป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ ผมก็ต้องระบุชื่อท่าน และ ท่านก็รายงานให้ท่านนายกทราบด้วย ถ้าจะมีการทักท้วงคัดค้าน ก็คงทำกันไปแล้ว ถ้าเรื่องนี้ในอนาคตมันเป็นผลดี ท่านก็รับความดีไปเต็มๆเหมือนกันนะครับ
https://www.matichon.co.th/education/news_2250161
‘ณัฏฐพล’ เผยไม่ใช่เรื่องง่ายหลังเลิกจ้าง 961 พนักงาน อค. ชี้จะปล่อยให้องค์กรมีหนี้สินไม่ได้
ทางสหภาพมีแถลงการณ์ดังนี้
https://news.thaipbs.or.th/content/294189
สรุปคร่าวๆคือ
1. องค์การค้ามีรายได้ที่แน่นอน สามารถบริหารจัดการได้โดยไม่ขาดทุน
2. มีหนี้สะสมมาจนถึงปัจจุบัน จำนวนประมาณ 5,700 ล้านบาท ถ้าเข้าไปตรวจสอบจะพบว่า เป็นการสร้างหนี้ของบุคคลที่มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การค้าฯ แต่ละท่านตั้งแต่ปี 2544
3. ต้องตรวจสอบข้อมูล หลักฐานเอกสารรายงานค่าใช้จ่ายกับสัดส่วนของงานและรายได้ในอัตราเฉลี่ยของรายได้ด้วยว่าอยู่ในอัตราส่วนของโครงสร้างราคาขายและกำไรที่ควรจะเป็นหรือไม่
4. ถ้าหากพนักงานเจ้าหน้าที่ล้นงาน เหตุใดจึงนำงานไปจ้างเอกชนภายนอกพิมพ์ และหากพนักงานเจ้าหน้าที่ล้นงานจริง ทำไมต้องจ้างลูกจ้างจากบริษัทเอาท์ซอส์ท ให้ส่งลูกจ้างเพิ่มเข้ามาทำงานอีกกว่า 300 คน
5. หากเลิกจ้างพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเช่นนี้ การพิมพ์ และจำหน่ายหนังสือแบบเรียนต้นฉบับของ สสวท. และ สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ การเลิกจ้างหมดทั้งองค์การเท่ากับว่าองค์การค้าฯ ของ สกสค.ยุติภารกิจทั้งหมด
6.หนี้สินและความเสียหายที่เกิดขึ้น เกิดจากความผิดพลาดในการบริหารจัดการของผู้บริหารทั้งสิ้น
##############
update 2 (3 กค. 63)
มีบางท่านให้ความเห็นว่า การจ้าง outsource หรือ การไปจ้างผลิต ก็ถูกต้องแล้ว ถ้าต้นทุนจ้างผลิตถูกกว่า
ตรงนี้เป็น ข้อที่ผมสงสัยมากๆ ว่า คนที่ตัดสินใจ ซึ่งก็น่าจะเป็นผู้นำองค์กร ซึ่ง ทางสหภาพกล่าวว่า คือ ข้าราชการที่ใกล้เกษียณ ได้รับแต่งตั้ง ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กรมาตลอด 15 ปี มีความเข้าใจการทำธุรกิจแค่ไหน
การจ้างผลิต ถ้าต้นทุนถูกกว่าจริง สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย คือ การลดขนาดองค์กร และ ขายทรัพย์สินที่ใช้ในการผลิต ถ้าคุณไม่ทำสองสิ่งนี้ การจ้างผลิต ถึงแม้ดูผิวเผิน ต้นทุนจะถูกกว่า แต่จริงๆ มันเป็นอย่างที่สหภาพว่า คือ เป็นการจ่าย 2 เด้ง นั่น คือ ค่าจ้างผลิตก็ต้องจ่าย และก็ต้องจ่าย fixed cost เดิม คือ ค่าเสื่อมของเครื่องจักรต่างๆ และ ค่าจ้างแรงงาน
สมมุติว่า ค่าจ้างผลิตสินค้าสำหรับขาย 1 เดือน อยู่ที่ 800,000 บาท
ถ้าผลิตเอง ต้นทุนวัตถุดิบ 600,000 บาท ค่าเสื่อมเครื่องจักร 200,000 บาท เงินเดือนพนักงาน 200,000 บาท รวม 1,000,000 บาท
จะเห็นว่า ถ้ามองผิวเผิน ไปจ้างผลิต ก็จะถูกกว่า แต่ที่สหภาพกล่าวคือ นอกจาก 800,000 ที่ต้องจ่ายให้ outsorce องค์กร ก็ยังต้องมีต้นทุน fixed 400,000 บาทอยู่ดี กลายเป็นว่า ต้นทุนการจ้างผลิต รวม อยู่ที่ 1,200,000 บาท
ผู้บริหารที่มองตรงนี้ออก ต้องพยายามลด เครื่องจักร และ พนักงานที่มีอยู่ หรือ นำไปเพิ่มมูลค่าทางอื่นแทน แต่ถ้า จ้างผลิตอย่างเดียว แล้วปล่อยเครื่องจักร อยู่เฉยๆ และ ให้พนักงาน ทำงานที่ไม่เกิดรายได้ มันก็จะเป็นอย่างที่สหภาพว่า คือ จ่ายสองเด้ง
ถ้าเป็นเช่นนี้จริง อย่างที่สหภาพกล่าวหา ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ คือ กระทรวง ที่ส่งคนเข้าไปเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กรนี้ครับ
ใจหายกับการจากไปของ ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์
มาวันนี้ ได้รับข่าวว่า เลิกจ้างพนักงาน 900 กว่า ชีวิต จาก ประมาณ 1100 ชีวิต
ยังไม่รู้ว่า อนาคตขององค์กรจะเป็นอย่างไร
เหตุผลของการเลิกจ้าง บอกว่าขาดทุนสะสมมา 15 ปี ถ้าเลิกกันขนาดนี้ ผมคิดว่า ร้านศึกษาภัณฑ์คงไปต่อยาก
ผมรู้สึกเสียดายกับการหายไปของร้านค้าศึกษาภัณฑ์มาก
ผมมีลูกอยู่สองคน กำลังวัยเรียน ชั้นประถม อยู่โรงเรียนนานาชาติ แต่ก็เป็นลุกค้าประจำของศึกษาภัณฑ์มาหลายปี
หาซื้อหนังสือไทย เพื่อสอนลูกเสริมบ้าง
หาวัสดุอุปกรณ์สำหรับทำงานฝีมือบ้าง
หาสารเคมี และ อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ลูกทดลองเล่นบ้าง
ผมก็เห็นอยู่ว่า ร้านค้าดูเก่า ระบบจัดการไม่ค่อยดี แต่พนักงานทุกคนที่ผมได้สัมผัส มีจิตใจบริการ ให้คำแนะนำ หาของ ช่วยเหลือลูกค้าอย่างดี
ผมไม่รู้ว่า ศึกษาภัณฑ์ ขาดทุนยังไง เท่าไหร่ ไม่มีในเนื้อข่าว แต่ผมคิดว่า ร้านค้าที่ขายวัสดุการเรียนการสอนราคาถูกเพื่อสนับสนุนการศึกษาเช่นนี้ รัฐจะอุดหนุนเงินบ้าง ผมก็ยินดีสนับสนุน
การบินไทย จะล้มละลายไปยังไง ผมยังไม่รู้สึกอะไร เพราะมีทางเลือกอื่นเยอะ เห็นว่า สุดท้ายรัฐก็จะเพิ่มทุนให้
ในฐานะที่ ครอบครัวผมเสียภาษี ปีละหลายแสน ผมรู้สึกเสียดายกับการไปเพิ่มทุนให้กับการบินไทย มากกว่า ที่จะมาสนับสนุนร้านแบบศึกษาภัณฑ์ ซึ่งจริงๆผมคิดว่า เม็ดเงินไม่น่าจะมากด้วยซ้ำ
ก็ขอ จารึกไว้ตรงนี้ ร้านค้าอุปกรณ์การเรียนการสอน ที่อยู่คู่การศึกษาไทย มาหลายสิบปี ตั้งแต่ผมเด็กๆ มีอันต้องปิดตัวไป ในรัฐบาลลุงตู่ มีรมว. ศึกษาธิการ ชื่อ นาย ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
ผมขอแสดงความเสียใจกับพนักงานทุกท่านที่ถูกเลิกจ้างครับ กรณีนี้ต่างกับการบินไทย ผมคิดว่า ความผิดส่วนใหญ่ อยู่ที่ผู้บริหาร ผู้นำองค์กรมากกว่า แต่ท่านเหล่านั้น ไม่ต้องมารับเคราะห์กรรมเหมือนท่านๆ เสียใจด้วยจริงๆครับ
##########
update 1 (2 กค. 63)
มีหลายท่านแนะนำผมว่า อย่าไปแขวะรัฐบาล หรือ รมว. ศึกษาธิการ
ความตั้งใจผม คือ ท่านรมว.ศึกษาธิการ เป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ ผมก็ต้องระบุชื่อท่าน และ ท่านก็รายงานให้ท่านนายกทราบด้วย ถ้าจะมีการทักท้วงคัดค้าน ก็คงทำกันไปแล้ว ถ้าเรื่องนี้ในอนาคตมันเป็นผลดี ท่านก็รับความดีไปเต็มๆเหมือนกันนะครับ
https://www.matichon.co.th/education/news_2250161
‘ณัฏฐพล’ เผยไม่ใช่เรื่องง่ายหลังเลิกจ้าง 961 พนักงาน อค. ชี้จะปล่อยให้องค์กรมีหนี้สินไม่ได้
ทางสหภาพมีแถลงการณ์ดังนี้
https://news.thaipbs.or.th/content/294189
สรุปคร่าวๆคือ
1. องค์การค้ามีรายได้ที่แน่นอน สามารถบริหารจัดการได้โดยไม่ขาดทุน
2. มีหนี้สะสมมาจนถึงปัจจุบัน จำนวนประมาณ 5,700 ล้านบาท ถ้าเข้าไปตรวจสอบจะพบว่า เป็นการสร้างหนี้ของบุคคลที่มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การค้าฯ แต่ละท่านตั้งแต่ปี 2544
3. ต้องตรวจสอบข้อมูล หลักฐานเอกสารรายงานค่าใช้จ่ายกับสัดส่วนของงานและรายได้ในอัตราเฉลี่ยของรายได้ด้วยว่าอยู่ในอัตราส่วนของโครงสร้างราคาขายและกำไรที่ควรจะเป็นหรือไม่
4. ถ้าหากพนักงานเจ้าหน้าที่ล้นงาน เหตุใดจึงนำงานไปจ้างเอกชนภายนอกพิมพ์ และหากพนักงานเจ้าหน้าที่ล้นงานจริง ทำไมต้องจ้างลูกจ้างจากบริษัทเอาท์ซอส์ท ให้ส่งลูกจ้างเพิ่มเข้ามาทำงานอีกกว่า 300 คน
5. หากเลิกจ้างพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเช่นนี้ การพิมพ์ และจำหน่ายหนังสือแบบเรียนต้นฉบับของ สสวท. และ สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ การเลิกจ้างหมดทั้งองค์การเท่ากับว่าองค์การค้าฯ ของ สกสค.ยุติภารกิจทั้งหมด
6.หนี้สินและความเสียหายที่เกิดขึ้น เกิดจากความผิดพลาดในการบริหารจัดการของผู้บริหารทั้งสิ้น
##############
update 2 (3 กค. 63)
มีบางท่านให้ความเห็นว่า การจ้าง outsource หรือ การไปจ้างผลิต ก็ถูกต้องแล้ว ถ้าต้นทุนจ้างผลิตถูกกว่า
ตรงนี้เป็น ข้อที่ผมสงสัยมากๆ ว่า คนที่ตัดสินใจ ซึ่งก็น่าจะเป็นผู้นำองค์กร ซึ่ง ทางสหภาพกล่าวว่า คือ ข้าราชการที่ใกล้เกษียณ ได้รับแต่งตั้ง ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กรมาตลอด 15 ปี มีความเข้าใจการทำธุรกิจแค่ไหน
การจ้างผลิต ถ้าต้นทุนถูกกว่าจริง สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย คือ การลดขนาดองค์กร และ ขายทรัพย์สินที่ใช้ในการผลิต ถ้าคุณไม่ทำสองสิ่งนี้ การจ้างผลิต ถึงแม้ดูผิวเผิน ต้นทุนจะถูกกว่า แต่จริงๆ มันเป็นอย่างที่สหภาพว่า คือ เป็นการจ่าย 2 เด้ง นั่น คือ ค่าจ้างผลิตก็ต้องจ่าย และก็ต้องจ่าย fixed cost เดิม คือ ค่าเสื่อมของเครื่องจักรต่างๆ และ ค่าจ้างแรงงาน
สมมุติว่า ค่าจ้างผลิตสินค้าสำหรับขาย 1 เดือน อยู่ที่ 800,000 บาท
ถ้าผลิตเอง ต้นทุนวัตถุดิบ 600,000 บาท ค่าเสื่อมเครื่องจักร 200,000 บาท เงินเดือนพนักงาน 200,000 บาท รวม 1,000,000 บาท
จะเห็นว่า ถ้ามองผิวเผิน ไปจ้างผลิต ก็จะถูกกว่า แต่ที่สหภาพกล่าวคือ นอกจาก 800,000 ที่ต้องจ่ายให้ outsorce องค์กร ก็ยังต้องมีต้นทุน fixed 400,000 บาทอยู่ดี กลายเป็นว่า ต้นทุนการจ้างผลิต รวม อยู่ที่ 1,200,000 บาท
ผู้บริหารที่มองตรงนี้ออก ต้องพยายามลด เครื่องจักร และ พนักงานที่มีอยู่ หรือ นำไปเพิ่มมูลค่าทางอื่นแทน แต่ถ้า จ้างผลิตอย่างเดียว แล้วปล่อยเครื่องจักร อยู่เฉยๆ และ ให้พนักงาน ทำงานที่ไม่เกิดรายได้ มันก็จะเป็นอย่างที่สหภาพว่า คือ จ่ายสองเด้ง
ถ้าเป็นเช่นนี้จริง อย่างที่สหภาพกล่าวหา ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ คือ กระทรวง ที่ส่งคนเข้าไปเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กรนี้ครับ