
นี่คือซีรี่ส์ที่เราเลือกดูเพื่อฉลอง #PrideMonth ของตัวเอง แล้วก็ปลื้มมากกับ Tales of the City เพราะมันช่างเป็นซีรี่ส์ที่เข้าอกเข้าใจความหลากหลายทางเพศ นำเสนอภาพความเป็นชุมชนของชาว LGBTQ และเป็นอะไรที่ไปไกลกว่าแค่เรื่องการเปิดตัว Come Out, HIV/AIDS หรือการรับมือกับโฮโมโฟเบีย ที่สำคัญคือ มันไม่ได้จริงจังเคร่งเครียด อบอวลด้วยพลังบวก และสนุก!
.
เมื่อ Mary Ann หญิงสาววัยกลางคนเดินทางกลับมาบ้านเลขที่ 28 Barbary Lane บ้านหลังใหญ่บนเนินเขาที่ซานฟรานฯ เพื่อร่วมฉลองวันเกิดอายุครบ 90 ปีของ Anna หญิงทรานส์ผู้เป็นเจ้าของบ้านซึ่งเปิดให้ชาว LGBTQ หลากหลายรุ่นมาเช่าห้องอยู่ร่วมกัน และเป็นพื้นที่ที่ให้ร่มเงาแก่ชาว LGBTQ มาเนิ่นนานกว่า 50 ปี โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่า เรื่องวุ่นๆ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในบ้านหลังนี้ ทั้งการสานสัมพันธ์ระหว่าง Mary Ann กับ Shawna ลูกสาวเควียร์ที่เธอทอดทิ้งไปหลายสิบปีเพื่อไปตามหาความฝันในเมืองใหญ่ แล้วไหนจะ Brian อดีตสามีของเธออีกล่ะ!, Michael เกย์หนุ่มรุ่นใหญ่ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีที่กำลังพยายามก้าวไปอีกขั้นกับคนรักที่เด็กกว่าหลายปี, ความสัมพันธ์ที่เริ่มมีปัญหาระหว่าง Jake ทรานส์เมนที่กำลังสับสนกับรสนิยมทางเพศของตัวเองอีกครั้ง กับ Margot สาวเลสฯ ผู้อยู่เคียงข้างเค้าเสมอมา ไปจนถึงปมปริศนาครั้งใหญ่ เมื่อมีความพยายามข่มขู่แบล็กเมล Anna กับความผิดพลาดในอดีตเมื่อครั้งวัยสาวของเธอ
.
เราเพิ่งมารู้หลังจากดูไปครึ่งทางว่า Tales of the City คือภาคที่ 4 แล้วของซีรี่ส์ชุดนี้ โดยครั้งแรกมันถูกสร้างในปี 1993 ในชื่อ Tales of the City, ซีซั่นที่ 2 ในปี 1998 กับชื่อ More Tales of the City และซีซั่นที่ 3 ในปี 2001 กับชื่อ Further Tales of the City ดังนั้น สิ่งที่เราเห็นในเรื่องราวตรงหน้ามันจึงมีสายใยแห่งความผูกพันของตัวละครและประวัติศาสตร์ที่พวกเค้าร่วมกันสร้างมาหลายสิบปีอยู่จริงๆ แล้วนั่นมันก็น่ามหัศจรรย์มาก ที่มันทาบทับกับประวัติศาสตร์ของชุมชนและการใช้ชีวิตของชาว LGBTQ ในซานฟรานฯ ได้ด้วย
.
ทีมนักแสดงของ Tales of the City คือสิ่งดีงาม เราได้เห็นการเปิดโอกาสให้นักแสดง LGBTQ ได้รับบทตรงกับเพศตัวเอง ได้เห็นความหลากหลายทั้งเรื่องเชื้อชาติ สีผิว เพศสภาพ วัย ไปจนถึงเรื่องความพิการทางร่างกาย ถูกนำเสนออย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งมันเป็นอะไรที่งดงามมาก แล้วเราก็รู้สึกจริงๆ เลยว่า พวกเค้าอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด
.
ปมปัญหาของแต่ละตัวละครก็น่าสนใจ เราไมได้เห็นการปฏิเสธหรือรับไม่ได้ที่ลูกเป็น LGBTQ แล้ว แต่มันคือการแก้ปมในใจที่ซับซ้อนกว่านั้น เมื่อลูกๆ ถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่ (ทั้งในแง่กายภาพและจิตใจ), การไม่ได้เห็นการตีโพยตีพายประเด็นเอชไอวี หรือคู่รักผลเลือดต่างต้องมีปัญหากับเรื่องนี้แล้ว (เพราะมี PrEP แล้ว) แต่ชีวิตคู่ก็ไม่เคยง่าย, เราได้เห็นการเปิดกว้างเสรีเรื่องเพศและไร้ซึ่งทีท่าตัดสินใดๆ แต่ก็ใช่ว่า LGBTQ รุ่นใหม่จะไม่ประสบปัญหาความสับสนและต้องรับมือกับตัวตนข้างใน แล้วก็ชอบมากที่มันพูดถึงความสัมพันธ์ของ LGBTQ แต่ละรุ่น เคารพกับประวัติศาสตร์ที่คนรุ่นก่อนกรุยทางมาให้ แล้วก็ชื่นชมถึงพลังสดใหม่ของคนรุ่นหลังด้วยเช่นกัน
.
ชอบ EP8 ที่ย้อนเวลากลับไปยังยุค 60 ทั้ง EP เพื่อไปติดตามดูว่า เกิดอะไรขึ้นกับ Anna กันแน่ ชีวิตสาวทรานส์ในยุคนั้นที่ต้องเผชิญหน้ากับการรีดไถรังแกของตำรวจในซานฟรานฯ เหล่า LGBTQ ยุคก่อนต้องแลกอะไรมามากมายเหลือเกิน ขณะเดียวกันใน EP7 เราก็ได้ฟังเสียงของชาวเกย์ที่ต้องรับมือกับโรคระบาดอย่างเอชไอวี/เอดส์ในยุคต่อมา แล้วการปะทะกันของเกย์คนละเจนเนอเรชั่นบนโต๊ะอาหารนั้นก็น่าขนลุกมาก แล้วมันก็น่าชื่นชมที่สุดที่ใน EPสุดท้าย เราได้เห็นการรวมพลังกันของ LGBTQ ยุคใหม่ การโอบกอดด้วยความรักของคนทุกรุ่น และเป็นการปิดซีรี่ส์ด้วยพลังบวกที่ตื้นตันดีจังเลย
.
ป.ล. ใน Netflix มีตอนพิเศษซ่อนอยู่ เมื่อทีมงานให้นักแสดง Tales of the City มาอ่านจดหมายของลูกชายเกย์ที่เขียนถึงพ่อแม่ของตัวเอง มันเป็นคลิปสั้นๆ ง่ายๆ ที่ช่างทรงพลังและน่าชื่นชมเหลือเกิน!
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่
เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
[CR] [Review] Tales of the City (2019)
นี่คือซีรี่ส์ที่เราเลือกดูเพื่อฉลอง #PrideMonth ของตัวเอง แล้วก็ปลื้มมากกับ Tales of the City เพราะมันช่างเป็นซีรี่ส์ที่เข้าอกเข้าใจความหลากหลายทางเพศ นำเสนอภาพความเป็นชุมชนของชาว LGBTQ และเป็นอะไรที่ไปไกลกว่าแค่เรื่องการเปิดตัว Come Out, HIV/AIDS หรือการรับมือกับโฮโมโฟเบีย ที่สำคัญคือ มันไม่ได้จริงจังเคร่งเครียด อบอวลด้วยพลังบวก และสนุก!
.
เมื่อ Mary Ann หญิงสาววัยกลางคนเดินทางกลับมาบ้านเลขที่ 28 Barbary Lane บ้านหลังใหญ่บนเนินเขาที่ซานฟรานฯ เพื่อร่วมฉลองวันเกิดอายุครบ 90 ปีของ Anna หญิงทรานส์ผู้เป็นเจ้าของบ้านซึ่งเปิดให้ชาว LGBTQ หลากหลายรุ่นมาเช่าห้องอยู่ร่วมกัน และเป็นพื้นที่ที่ให้ร่มเงาแก่ชาว LGBTQ มาเนิ่นนานกว่า 50 ปี โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่า เรื่องวุ่นๆ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในบ้านหลังนี้ ทั้งการสานสัมพันธ์ระหว่าง Mary Ann กับ Shawna ลูกสาวเควียร์ที่เธอทอดทิ้งไปหลายสิบปีเพื่อไปตามหาความฝันในเมืองใหญ่ แล้วไหนจะ Brian อดีตสามีของเธออีกล่ะ!, Michael เกย์หนุ่มรุ่นใหญ่ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีที่กำลังพยายามก้าวไปอีกขั้นกับคนรักที่เด็กกว่าหลายปี, ความสัมพันธ์ที่เริ่มมีปัญหาระหว่าง Jake ทรานส์เมนที่กำลังสับสนกับรสนิยมทางเพศของตัวเองอีกครั้ง กับ Margot สาวเลสฯ ผู้อยู่เคียงข้างเค้าเสมอมา ไปจนถึงปมปริศนาครั้งใหญ่ เมื่อมีความพยายามข่มขู่แบล็กเมล Anna กับความผิดพลาดในอดีตเมื่อครั้งวัยสาวของเธอ
.
เราเพิ่งมารู้หลังจากดูไปครึ่งทางว่า Tales of the City คือภาคที่ 4 แล้วของซีรี่ส์ชุดนี้ โดยครั้งแรกมันถูกสร้างในปี 1993 ในชื่อ Tales of the City, ซีซั่นที่ 2 ในปี 1998 กับชื่อ More Tales of the City และซีซั่นที่ 3 ในปี 2001 กับชื่อ Further Tales of the City ดังนั้น สิ่งที่เราเห็นในเรื่องราวตรงหน้ามันจึงมีสายใยแห่งความผูกพันของตัวละครและประวัติศาสตร์ที่พวกเค้าร่วมกันสร้างมาหลายสิบปีอยู่จริงๆ แล้วนั่นมันก็น่ามหัศจรรย์มาก ที่มันทาบทับกับประวัติศาสตร์ของชุมชนและการใช้ชีวิตของชาว LGBTQ ในซานฟรานฯ ได้ด้วย
.
ทีมนักแสดงของ Tales of the City คือสิ่งดีงาม เราได้เห็นการเปิดโอกาสให้นักแสดง LGBTQ ได้รับบทตรงกับเพศตัวเอง ได้เห็นความหลากหลายทั้งเรื่องเชื้อชาติ สีผิว เพศสภาพ วัย ไปจนถึงเรื่องความพิการทางร่างกาย ถูกนำเสนออย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งมันเป็นอะไรที่งดงามมาก แล้วเราก็รู้สึกจริงๆ เลยว่า พวกเค้าอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมามากที่สุด
.
ปมปัญหาของแต่ละตัวละครก็น่าสนใจ เราไมได้เห็นการปฏิเสธหรือรับไม่ได้ที่ลูกเป็น LGBTQ แล้ว แต่มันคือการแก้ปมในใจที่ซับซ้อนกว่านั้น เมื่อลูกๆ ถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่ (ทั้งในแง่กายภาพและจิตใจ), การไม่ได้เห็นการตีโพยตีพายประเด็นเอชไอวี หรือคู่รักผลเลือดต่างต้องมีปัญหากับเรื่องนี้แล้ว (เพราะมี PrEP แล้ว) แต่ชีวิตคู่ก็ไม่เคยง่าย, เราได้เห็นการเปิดกว้างเสรีเรื่องเพศและไร้ซึ่งทีท่าตัดสินใดๆ แต่ก็ใช่ว่า LGBTQ รุ่นใหม่จะไม่ประสบปัญหาความสับสนและต้องรับมือกับตัวตนข้างใน แล้วก็ชอบมากที่มันพูดถึงความสัมพันธ์ของ LGBTQ แต่ละรุ่น เคารพกับประวัติศาสตร์ที่คนรุ่นก่อนกรุยทางมาให้ แล้วก็ชื่นชมถึงพลังสดใหม่ของคนรุ่นหลังด้วยเช่นกัน
.
ชอบ EP8 ที่ย้อนเวลากลับไปยังยุค 60 ทั้ง EP เพื่อไปติดตามดูว่า เกิดอะไรขึ้นกับ Anna กันแน่ ชีวิตสาวทรานส์ในยุคนั้นที่ต้องเผชิญหน้ากับการรีดไถรังแกของตำรวจในซานฟรานฯ เหล่า LGBTQ ยุคก่อนต้องแลกอะไรมามากมายเหลือเกิน ขณะเดียวกันใน EP7 เราก็ได้ฟังเสียงของชาวเกย์ที่ต้องรับมือกับโรคระบาดอย่างเอชไอวี/เอดส์ในยุคต่อมา แล้วการปะทะกันของเกย์คนละเจนเนอเรชั่นบนโต๊ะอาหารนั้นก็น่าขนลุกมาก แล้วมันก็น่าชื่นชมที่สุดที่ใน EPสุดท้าย เราได้เห็นการรวมพลังกันของ LGBTQ ยุคใหม่ การโอบกอดด้วยความรักของคนทุกรุ่น และเป็นการปิดซีรี่ส์ด้วยพลังบวกที่ตื้นตันดีจังเลย
.
ป.ล. ใน Netflix มีตอนพิเศษซ่อนอยู่ เมื่อทีมงานให้นักแสดง Tales of the City มาอ่านจดหมายของลูกชายเกย์ที่เขียนถึงพ่อแม่ของตัวเอง มันเป็นคลิปสั้นๆ ง่ายๆ ที่ช่างทรงพลังและน่าชื่นชมเหลือเกิน!
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่ เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้