นาย A มีลูกชายสองคน คนแรกเป็นลูกติด คนที่สองเป็นลูกจากเมียใหม่ (ขอพิมพ์สั้นๆว่าเมีย)
สองปีก่อนนาย A ได้เขียนพินัยกรรมยกบ้านพร้อมที่ดินให้ลูกทั้งสองคน
ปีที่แล้วนาย A ได้กู้ยืมเงินจากน้องเมีย (จริงๆก็คือเงินของเมียนั่นแหละ แต่แสร้งว่าเป็นเงินน้องเมีย)
โดยก่อนให้กู้ เมียได้บอกให้นาย A เพิ่มชื่อลูกคนที่สองเข้าไปในโฉนด เพื่อแลกกับการให้กู้
ในโฉนดจึงมีทั้งชื่อนาย A และลูกคนที่สอง แต่ก็ยังได้ทำสัญญากู้ยืมที่ให้นาย A ต้องชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยไว้อีกฉบับด้วย
ถ้าไม่ชดใช้ให้ยึดบ้านพร้อมที่ดินนี้แทน (ลูกคนที่สองก็เหมือนได้ชื่อเข้าไปในบ้านฟรีๆ)
ต่อมานาย A เสียชีวิต เมื่อเปิดพินัยกรรมอ่าน เมียของนาย A ไม่ยอมมอบโฉนดเพื่อนำไปเพิ่มชื่อลูกคนแรกเข้าไปในโฉนดตามที่พินัยกรรมระบุ
แต่กลับเอาพินัยกรรมอีกฉบับที่ตนเองเป็นคนเขียนขึ้นมาด้วยลายมือตัวเองและให้นาย A เซ็นก่อนที่นาย A จะเสียชีวิตเพียงแค่ 10 วัน มาแย้ง
โดยในพินัยกรรมบอกว่าให้ยกทุกอย่างให้ลูกคนที่สอง พร้อมกันนี้ได้จ้างทนายให้มาฟ้องลูกคนแรกว่าต้องร่วมใช้หนี้
ที่นาย A กู้มาด้วย ทั้งๆที่ลูกคนแรก ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อหนี้นี้แต่อย่างใด
ในคำฟ้องมี โจทย์เป็นน้องสาวเมีย และจำเลยสามคนคือ เมีย ลูกคนที่หนึ่ง และลูกคนที่สอง ซึ่งจะต้องชดใช้หนี้ที่นาย A ยืมไปพร้อมดอก
(อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้า ความจริงแล้วเงินที่ให้กู้ก็คือเงินของเมียนั่นแหละ น้องสาวของเมีย เมีย และลูกคนที่สองเป็นพวกเดียวกัน ดังนั้นคู่กรณีที่แท้จริงคือ ลูกคนที่หนึ่ง กับ เมีย ไม่ใช่น้องสาวเมียแต่อย่างใด น้องสาวเมียทำหน้าที่เป็นนอมินี คือ ผู้ให้กู้แทนเมีย(เงินเมีย) โดยในใบให้กู้ เมียเป็นผู้ทั้งผู้เขียนและพยาน)
เมื่อถึงวันไปไกล่เกลี่ย กลับมีแค่ โจทย์(น้องเมีย) กับทนายของโจทย์ที่มา และ จำเลย ที่เป็นลูกคนที่หนึ่งมาเพียงคนเดียว ส่วนเมีย และลูกคนที่สอง
ซึ่งเป็นจำเลยร่วม ไม่ยอมมา โทรไปก็ไม่รับ เมื่อมีคนไปสอบถามก็ได้คำตอบแค่ว่าไม่จำเป็นต้องไป ให้ทนายจัดการไป
เมื่อลองถามน้องสาวเมีย ว่าทำไมเมียไม่ยอมมา น้องสาวเมียบอกว่าโกรธกันไม่ได้คุยกันหลายเดือนแล้วเพราะเรื่องหนี้นี่แหละ
ซึ่งเราก็ทราบว่าจริงๆแล้วเป็นการโกหก แต่ไม่รู้ว่าต้องการจะใช้เทคนิคอะไรในทางกฏหมาย
ดังนั้นในการไกล่เกลี่ยครั้งแรกก็ไม่สามารถทำให้เสร็จสิ้นไปได้ เพราะจำเลยมาไม่ครบ ลูกคนที่หนึ่งได้แค่เซ็นว่าจะขอเจรจาเพื่อขอผ่อนชำระหนี้แก่โจทย์แต่จำเลยมาไม่ครบ จึงขอเลื่อนคดี เพื่อให้จำเลยมาครบและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทย์ ศาลก็พยายามให้ไกล่เกลี่ยกันดีกว่าจะฟ้องร้องกัน
แต่เมียและลูกคนที่สอง ไม่ยอมคุยด้วยกับลูกคนที่หนึ่ง จึงไม่สามารถตกลงกันได้
เมื่อลูกคนที่หนึ่งได้คุยกับทนายของฝ่ายโจทย์ ทนายของฝ่ายโจทย์ก็พูดแต่ประเด็นเรื่องให้ขายทอดตลาด
คำถามคือ กรณีต้องขายทอดตลาดบ้านและที่ดินนี้ หากลูกคนที่หนึ่งต้องการรับส่วนแบ่งด้วย จะต้องมีชื่อในโฉนดก่อนหรือไม่
หรือใช้พินัยกรรมในการจัดการได้เลย เพราะเมียนาย A พยายามที่จะไม่ให้ลูกคนที่หนึ่งได้อะไรไปสักอย่าง
เมียนาย A ต้องการเอาหมดทุกอย่าง ซึ่งจริงๆแล้วทรัพย์สินอย่างอื่นของนาย A เมียนาย A ก็ได้ไปหมดแล้ว
เหลือแค่ส่วนนี้ที่เป็นส่วนสุดท้ายที่เมียนาย A ต้องการเอาให้หมดเช่นเดียวกัน
หรือลูกคนที่หนึ่งสามารถฟ้องเมียนาย A กลับในข้อหาอะไรได้บ้างหรือไม่ครับ
หมายเหตุ เมียนาย A กับนาย A มีปัญหาระหองระแหงกันมานานหลายปีก่อนเสียชีวิต
พ่อเพื่อนเสียชีวิตและมีหนี้ แม่เลี่ยงให้เพื่อนต้องร่วมชดใช้หนี้ด้วย ไม่ทำตามพินัยกรรม+เรื่องตุกติกของแม่เลี้ยง
สองปีก่อนนาย A ได้เขียนพินัยกรรมยกบ้านพร้อมที่ดินให้ลูกทั้งสองคน
ปีที่แล้วนาย A ได้กู้ยืมเงินจากน้องเมีย (จริงๆก็คือเงินของเมียนั่นแหละ แต่แสร้งว่าเป็นเงินน้องเมีย)
โดยก่อนให้กู้ เมียได้บอกให้นาย A เพิ่มชื่อลูกคนที่สองเข้าไปในโฉนด เพื่อแลกกับการให้กู้
ในโฉนดจึงมีทั้งชื่อนาย A และลูกคนที่สอง แต่ก็ยังได้ทำสัญญากู้ยืมที่ให้นาย A ต้องชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยไว้อีกฉบับด้วย
ถ้าไม่ชดใช้ให้ยึดบ้านพร้อมที่ดินนี้แทน (ลูกคนที่สองก็เหมือนได้ชื่อเข้าไปในบ้านฟรีๆ)
ต่อมานาย A เสียชีวิต เมื่อเปิดพินัยกรรมอ่าน เมียของนาย A ไม่ยอมมอบโฉนดเพื่อนำไปเพิ่มชื่อลูกคนแรกเข้าไปในโฉนดตามที่พินัยกรรมระบุ
แต่กลับเอาพินัยกรรมอีกฉบับที่ตนเองเป็นคนเขียนขึ้นมาด้วยลายมือตัวเองและให้นาย A เซ็นก่อนที่นาย A จะเสียชีวิตเพียงแค่ 10 วัน มาแย้ง
โดยในพินัยกรรมบอกว่าให้ยกทุกอย่างให้ลูกคนที่สอง พร้อมกันนี้ได้จ้างทนายให้มาฟ้องลูกคนแรกว่าต้องร่วมใช้หนี้
ที่นาย A กู้มาด้วย ทั้งๆที่ลูกคนแรก ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อหนี้นี้แต่อย่างใด
ในคำฟ้องมี โจทย์เป็นน้องสาวเมีย และจำเลยสามคนคือ เมีย ลูกคนที่หนึ่ง และลูกคนที่สอง ซึ่งจะต้องชดใช้หนี้ที่นาย A ยืมไปพร้อมดอก
(อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้า ความจริงแล้วเงินที่ให้กู้ก็คือเงินของเมียนั่นแหละ น้องสาวของเมีย เมีย และลูกคนที่สองเป็นพวกเดียวกัน ดังนั้นคู่กรณีที่แท้จริงคือ ลูกคนที่หนึ่ง กับ เมีย ไม่ใช่น้องสาวเมียแต่อย่างใด น้องสาวเมียทำหน้าที่เป็นนอมินี คือ ผู้ให้กู้แทนเมีย(เงินเมีย) โดยในใบให้กู้ เมียเป็นผู้ทั้งผู้เขียนและพยาน)
เมื่อถึงวันไปไกล่เกลี่ย กลับมีแค่ โจทย์(น้องเมีย) กับทนายของโจทย์ที่มา และ จำเลย ที่เป็นลูกคนที่หนึ่งมาเพียงคนเดียว ส่วนเมีย และลูกคนที่สอง
ซึ่งเป็นจำเลยร่วม ไม่ยอมมา โทรไปก็ไม่รับ เมื่อมีคนไปสอบถามก็ได้คำตอบแค่ว่าไม่จำเป็นต้องไป ให้ทนายจัดการไป
เมื่อลองถามน้องสาวเมีย ว่าทำไมเมียไม่ยอมมา น้องสาวเมียบอกว่าโกรธกันไม่ได้คุยกันหลายเดือนแล้วเพราะเรื่องหนี้นี่แหละ
ซึ่งเราก็ทราบว่าจริงๆแล้วเป็นการโกหก แต่ไม่รู้ว่าต้องการจะใช้เทคนิคอะไรในทางกฏหมาย
ดังนั้นในการไกล่เกลี่ยครั้งแรกก็ไม่สามารถทำให้เสร็จสิ้นไปได้ เพราะจำเลยมาไม่ครบ ลูกคนที่หนึ่งได้แค่เซ็นว่าจะขอเจรจาเพื่อขอผ่อนชำระหนี้แก่โจทย์แต่จำเลยมาไม่ครบ จึงขอเลื่อนคดี เพื่อให้จำเลยมาครบและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทย์ ศาลก็พยายามให้ไกล่เกลี่ยกันดีกว่าจะฟ้องร้องกัน
แต่เมียและลูกคนที่สอง ไม่ยอมคุยด้วยกับลูกคนที่หนึ่ง จึงไม่สามารถตกลงกันได้
เมื่อลูกคนที่หนึ่งได้คุยกับทนายของฝ่ายโจทย์ ทนายของฝ่ายโจทย์ก็พูดแต่ประเด็นเรื่องให้ขายทอดตลาด
คำถามคือ กรณีต้องขายทอดตลาดบ้านและที่ดินนี้ หากลูกคนที่หนึ่งต้องการรับส่วนแบ่งด้วย จะต้องมีชื่อในโฉนดก่อนหรือไม่
หรือใช้พินัยกรรมในการจัดการได้เลย เพราะเมียนาย A พยายามที่จะไม่ให้ลูกคนที่หนึ่งได้อะไรไปสักอย่าง
เมียนาย A ต้องการเอาหมดทุกอย่าง ซึ่งจริงๆแล้วทรัพย์สินอย่างอื่นของนาย A เมียนาย A ก็ได้ไปหมดแล้ว
เหลือแค่ส่วนนี้ที่เป็นส่วนสุดท้ายที่เมียนาย A ต้องการเอาให้หมดเช่นเดียวกัน
หรือลูกคนที่หนึ่งสามารถฟ้องเมียนาย A กลับในข้อหาอะไรได้บ้างหรือไม่ครับ
หมายเหตุ เมียนาย A กับนาย A มีปัญหาระหองระแหงกันมานานหลายปีก่อนเสียชีวิต