มีใครทำงานครบ1ปี แล้วลาออกในบริษัทที่เพิ่งย้ายมาเนื่องจากทนกับเงื่อนไขวัฒนธรรมในที่ใหม่ไม่ได้บ้างไหม?

คำถาม: มีใครทำงานครบ1ปี แล้วลาออกในบริษัทที่เพิ่งย้ายมาเนื่องจากทนกับเงื่อนไขวัฒนธรรมในที่ใหม่ไม่ได้บ้างไหม?

เป็นเคสของผมเอง ตอนนี้ผมอายุ 28 เพิ่งย้ายงานมาทำงานที่ใหม่ 11เดือนแล้วครับ และจะครบ12เดือน (หนึ่งปี) ในเดือนกรกฎาคมที่กำลังจะถึงนี้พอดี
ก่อนที่ผมจะย้ายมาทำที่ใหม่นี้ซึ่งเป็นที่ๆสอง ผมถูก Offer มาจาก Recruiter ใน LinkedIn ให้ไปลองสัมภาษณ์ดู พอลองคุยพวกตัวเนื้องานและค่าตอบแทน ก็พบว่าดีกว่างานในตำแหน่งและบริษัทแรกที่ทำมาห้าปี นับตั้งแต่เรียนจบ ก็เลยตัดสินใจย้ายงานไป จนกระทั่ง...

พอได้ลองนั่งนิ่งๆคิดใคร่ครวญกับตัวเองดูก็พบว่า Gut หรือเสียงในใจผมมันดังออกมาพร้อมกับเหตุผลดังต่อไปนี้

1. นี่ไม่ใช่สายงานที่ผมอยากจะเติบโตไปในอนาคต เคยไหมครับว่าบางทีพอเราได้เข้ามาคลุกวงในกับตัวเนื้องาน กับสมาชิกในทีม เพื่อนร่วมงาน ก็เห็นภาพชัดขึ้นมาแล้วว่าเราไม่ได้อยากทำงานในฟิลด์แบบนี้ ตอนสัมภาษณ์งาน เรามีภาพจำในหัวแบบนึง แต่พอมาทำจริงและได้สัมผัสจริงๆก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันตรงกับเป้าหมายเราสักเท่าไหร่
2. วัฒนธรรมแบบ SILO จ๋าๆ ในบริษัท คือต่างคนต่างทำงานของตัวเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหมครับ แต่กลายเป็นว่าเพื่อนร่วมงานไม่ได้สนใจหรือให้ความช่วยเหลืออะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน กลายเป็นว่าเวลาจะมีโปรเจ็คพัฒนาระบบงานในองค์กรใหม่ๆก็จะถูกปฎิเสธให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอด อันนี้คือสิ่งที่ผมเจอ
3. ตลอดสิบเอ็ดเดือนนี้ผมมาอยู่ในองค์กรที่ต้องยอมรับวัฒนธรรมการทำงานแบบนี้ให้ได้ : ห้ามปิดเสียงไลน์ ห้ามปิดเสียงโนติกลุ่ม ห้ามปิดเน็ตในมือถือตอนนอน ห้ามปิดโทรศัพท์ เพราะลูกค้าจะโทรมาปลุกเราตอนกี่โมงก็ได้และเราต้องสามารถสแตนบายรับสายเพื่อแก้ปัญหาได้ตลอดเวลา
4. ผลจากข้อสาม ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป คือจะเริ่มมีอาการแพนิคเสียงโนติของมือถือ  เวลาเราไปห้างทุกวันนี้เราห้ามลืมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าใช่ไหมครับ ไม่ต่างกัน เวลาจะดูเน็ตฟลิกหรืออาบน้ำก็ต้องพกมือถือติดตัวตลอดเวลาเพราะกลัวลูกค้าโทรมาแล้วไม่ได้ยิน ทั้งๆที่เมื่อก่อนพอหมดเวลาทำงาน ผมแทบจะปิดโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าเลย วันเสาร์อาทิตย์แทนที่จะได้พักผ่อน ทำงานบ้าน ไปเที่ยวข้างนอกตามปกติ กลายเป็นว่าผมจะมีอาการ วิตกกังวล วอรี่ ขึ้นมาว่า จะไปข้างนอกดีไหม ไปเที่ยวดีไหม เพราะกลัวลูกค้าโทรเข้ามาให้เราแก้ไขงานแล้วเราอาจจะไม่สะดวก
5. องค์กรที่ผมทำจะมีวัฒนธรรมแบบ Customer is a priority ทำให้เวลาเราไปทำงานแล้วต้องนำเสนอรายงาน จะถูกลูกค้า Treat เหมือนกับว่าเราไม่ใช่คนเท่ากัน แต่เหมือนกับ Slave ระดับนึงเพราะลูกค้ามองว่าบริษัทฉันจ่ายเงินมหาศาลเพื่อจ้างให้คุณมาทำงานแล้ว

คร่าวๆก็ประมาณนี้ ผมเข้าใจดีครับว่ามันเป็นความท้าทาย เป็นสไตล์การทำงานของแต่ละบริษัท แต่ส่วนตัวผมก็คิดว่าคงทนได้อีกไม่นาน เพราะพอพิจารณาดูแล้วลึกๆผมอยากมีชีวิตการทำงานที่ตรงกันข้ามกับห้าข้อที่เขียนมา หลายครั้งผมก็ถูก ผจก.ตำหนิว่าทำไมไม่ทน ก็ไม่รู้จะตอบไปว่ายังไงเหมือนกัน แต่ผมแค่รู้สึกกลัวตัวเองเหมือนกันว่า ถ้าเราเลือกที่จะทนต่อไปเราอาจจะชินกับระบบแบบนี้ จนสุดท้ายเราอาจจะหนีไปทำอย่างอื่นไม่ได้อีก

อีกไม่กี่เดือนก็จะครบหนึ่งปีแล้วครับ ตอนแรกก็แพลนตั้งใจลาออกเลย แต่พอ COVID มา ผมก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่มั่นคงในชีวิตเหมือนกัน เพราะถ้าลาออกไปโดยที่ยังไม่มีงาน ก็ไม่รู้จะได้งานเมื่อไหร่ ส่วนตัวผมมีเงินเก็บประมาณ  300,000บาท ในบัญชี ถ้าผมลาออกคงหนีกลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด ใช้จ่ายประหยัดๆเอาหน่อย แต่ก็แอบเสียดายเงินเหมือนกันครับและก็กลัวสภาพจิตใจตัวเองเหมือนกันเพราะผมก็ทราบดีว่าการตกงานมันคงแฮปปี้แค่เดือนสองเดือนแรก แต่หลังจากนั้นจะเป็นความทุกข์อีกแบบนึงไปเลย คือทุกข์เพราะไม่มีงาน

และอีกอย่างที่สำคัญที่อยากเรียนถามครับ

คนที่ทำงานได้ครบหนึ่งปีแล้วลาออกปุ๊ป พอจะไปสมัครงานใหม่ที่อื่น จะเจอคำถามหรือจะถูกกีดกันในการถูกคัดเลือกเพื่อเข้าไปสัมภาษณ์ใช่หรือไม่ครับ
มีใครเคยไปสัมภาษณ์งาน แล้วแจ้งผู้สัมภาษณ์โดยตรงไหมครับว่า เรารับไม่ได้กับวัฒนธรรมที่เก่า มันจะดูเหมือนเราเอาบริษัทเก่ามาเผาจนทำให้เราดูภาพลักษณ์ไม่ดีหรือเปล่าครับ แล้วการทำงานครบหนึ่งปีแล้วลาออกจะถูกตราหน้าว่าไม่เอาถ่านหรือเปล่าครับ

ใครมีประสบการณ์ทำงานกับที่เก่าแค่ปีเดียวแล้วลาออก และกลับมาหางานและได้งานใหม่ อยากจะขอให้ช่วยแชร์ให้หน่อยนะครับว่าคุณผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ยังไง เพื่อที่ผมจะได้ลองทบทวนและตัดสินใจอีกครั้งครับ ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่