ลุงข้างทางตอนสี่ จบแน่

ผมเห็นบ้านบางหลังชาวบ้านยังตักน้ำในตุ่มอาบล้างตัวกันอยู่เลย

บ้านที่มี20กว่าหลังคาเรือนนั้นปลูกกระจัดกระจายกันออกไป แทบไม่มีหลังไหนรั้วบ้านติดกัน แม้จะปลูกในระนาบเรียงรายสองฝั่งถนนเหมือนกัน ถ้าไม่ถูกคั่นด้วยบ่อขุดเลี้ยงปลา ก็แปลงผัก ดงกล้วย หรือไม่ก็ดงไม้ป่าละเมาะ

รั้วกั้นหน้าบ้านเหมือนๆกันไปหมด เป็นลำต้นไม้ขนาดเขื่องๆมาตอกติดกันง่ายทางตั้งและทางขวาง ทำพอเป็นพิธีให้รู้เขตใครเขตมันหรืออีกนัยหนึ่งคือกัน หมู เป็ด ไก่ที่เลี้ยงไว้ไม่ให้หลุดออกมา

ทำให้นึกถึงบทสนทนาที่เคยคุยกับเจ้าจ๋านตอนมาเยี่ยมมันครั้งที่แล้ว มีอยู่ตอนหนึ่งผมถามมันว่าที่หมู่บ้านนี้มีเคยขโมยไหม

“มี แต่แค่ครั้งเดียวและเกิดขึ้นนานแล้ว” มันตอบแบบเป็นเรื่องธรรมดา สะกิดต่อมของความสนใจผมขึ้นมาทันที

“คนที่อื่นหรือ แล้วจับได้ไหม”

“เปล่า คนในหมู่บ้านนี่แหละ ชื่อหว้า จับได้คาหนังคาเขาเลย ขโมยเงินเมียไปกินเหล้า และคนที่จับได้ก็ไม่ใช่ใครหรอก เมียนายหว้านั่นเอง”

เจ้าจ๋านตอบหน้านิ่ง ผมกับหยกมองหน้าได้2 วินาทีก็อดไม่ได้ต้องหัวร่อพรืดออกมา เจ้านี้มันเป็นคนชนิดตลกหน้าตาย ถึงตอนนี้เรามาหยุดรถหน้าบ้านมันแล้ว ด้วยความเงียบสงบที่มีแต่เสียงหริ่งหรีดเรไร แค่เสียงรถขับมาจอดคนในบ้านก็รู้ตัวกันทันที ผมเห็นร่างใครเดินออกมาตรงนอกชานเรือน สอดส่ายแลดูคนที่มาเยือน

เมื่อแสงไฟสว่างจากตัวบ้านส่องกระทบตัว ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าจ๋านนั้นเอง มันแปลกใจในตอนแรกแต่หลังจากนั้นพอมองออกว่าใครเป็นใคร มันก็ร้องทักขึ้นด้วยความยินดีอย่างระงับไม่อยู่ รีบเดินปรี่ลงบันไดบ้านมาหาพวกเราทันที พร่ำร้องด้วยความดีใจ

“อ้าว เฮ้ย เพื่อน จะมาก็ไม่บอกกล่าวกันเลย มามา ขึ้นบ้านก่อน กันกำลังจะกินข้าวพอดี เดี๋ยวจะไปบอกให้น้องพิมทำกับข้าวเพิ่ม ดีใจโว้ย ก็ร่ำๆบ่นๆกันว่าคราวนี้หายหน้าไปนานหลายเดือนเลย  งานยุ่งหรือว่ะ คราวนี้จะอยู่กันกี่วันล่ะ”

“ไม่ต้องทำกับข้าวเพิ่มนะ ห้ามเชียว” ผมรีบตัดบทร้องบอกมันก่อนอื่นใด เพราะกลัวมันจะไปบอกภรรยาให้ทำกับข้าวเพิ่ม ตกเป็นภาระคุณพิมอีก “ฉันกับเจ้าหยกแวะซื้ออาหารกันมาเยอะมาก ทั้งเป็ดพะโล้ ไก่ย่าง เกาเหลา หมูสะเต้ะ และอีกหลายอย่างเลย”

และผมก็เดินไปเปิดฝากระโปรงหลัง แสงอันสลัวๆนั้นไม่เป็นอุปสรรค เพราะมีไฟที่เปิดขึ้นอย่างอัตโนมัติติดอยู่ที่ขอบท้ายหลัง เผยให้เห็นถุงอาหารและข้าวของใช้ต่างๆวางอยู่เรียงราย เจ้าจ๋านเดินมาชะโงกหน้าดูแล้วจุ๊ปากบ่น

“แกจะลำบากซื้อมาทำไม มาแต่ตัวฉันก็ดีใจแล้ว ถึงฉันจะเป็นคนรักเมียแต่บางทีมันก็
เหงาๆเหมือนกัน มันไม่มีเพื่อนผู้ชายคุยด้วย เออ ซื้อมาหลายถุงเลย แกติว่าอาหารบ้านฉันไม่อร่อยหรือว่ะ ประเดี๋ยวฉันจะฟ้อง......”

มันชะงักและทำตาโต หลุดปากออกมาอย่างประหลาดใจ เดินเข้ามาใกล้จนประชิดเพื่อจะมองให้ถนัด

“โอโห นั่นแกขนของอะไรมาเยอะแยะอย่างกับจะย้ายบ้าน ไมโครเวฟก็มี”

ผมกับเจ้าหยกหันมาสบสายตากัน เจ้าจ๋านอุทานไปตามเรื่องแต่มันคือความประสงค์ของเราทั้งสองจริงๆ ด้วยความที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะมายืนพูดกันตรงนี้ให้เข้าใจ  เราทั้สองจึงเงียบกัน 

เจ้าาหยกเริ่มด้วยการเดินมาทักทายเจ้าจ๋านและจับมือ  ด้วยความตรงไปตรงมาเลยโพล่งขึ้นแบบเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม

“ ยินดีที่ได้เจอคุณอีกครั้ง ผมคงต้องมาอาศัยอยู่กับคุณจนกว่าผมจะซื้อที่และปลูกบ้านได้ รับรองผมกับเจ้านราไม่นิ่งดูดายแน่ครับ ระหว่างเราพักอยู่กับคุณ เราจะช่วยคุณทำงานทุกอย่างที่คุณต้องการ ผมมีของฝากเล็กๆน้อยๆมาให้”

 พูดจบก็หันไปจัดการขนอาหารมื้อเย็นออกมาจากรถ ปล่อยให้เจ้าจ๋านยืนงง ถึงแม้สองคนนี้จะผูกมิตรกันเพียงในเวลาสั้นๆไม่กี่วัน แต่ก็เปิดหัวใจคบกันอย่างมิตรแท้ เจ้าจ๋านพอจะดูออกว่าหยกไม่ใช่คนช่างพูดจึงไม่ถามอะไรต่อ หันมามองผมด้วยสีหน้ามึนๆแทน เดาเอาว่ามันอาจเริ่มเผาหัวกินเบียร์มาก่อนหน้าพอประมาณ

“เราทั้งสองตั้งใจมาอยู่ที่นี้อย่างถาวร จะหาซื้อที่ปลูกบ้าน ทำไร่ ทำสวน”  ผมพยายามพูดช้าๆให้มันได้ยินได้ชัดด้วยคำพูดที่เตรียมไว้แล้ว“ระหว่างนี้ฉันกับเจ้าหยกคงต้องอาศัยพึ่งชายคาบ้านแกไปก่อน”

แม้จะสนิทชิดเชื้อกันมานานปีจนรู้ใจกัน แต่สายตาคู่นั้นก็กวาดขึ้นๆลงๆมองผมอย่างค่อนไปทางไม่เชื่อ ขยับจะด่าตามประสาเพื่อนกันด้วยความคิดว่าผมพูดตลกล้อเล่น แต่หลังจากอ่านอากัปกิริยาผมชั่วครู่ อาจจะด้วยแววจริงจังที่มองเห็น มันเลยเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นถามอย่างไม่แน่ใจ

“แกจะย้ายมาอยู่ที่นี่?” 

“อือ” ผมตอบรับพลางขนอาหารที่ซื้อมาลงจากรถบ้าง ตอนนั้นคุณพิมเดินตามออกมาดูพอเห็นว่าใครมาเยือน เธอก็ทำท่าดีใจเช่นเดียวกัน แต่เธอคงไม่ใช่คนชอบพูดเสียงดังจึงไม่ส่งเสียงทักมาแต่ไกล หากแต่โบกมือขึ้นทักทายอย่างปิติยินดี  คุณพิมคงเห็นผมกับเจ้าหยกหิ้วถุงอะไรพะรุงพะรัง เลยหันไปเหมือนกับเรียกใครอีกคนที่น่าจะยังไม่รับรู้ถึงการมาของผมกับเจ้าหยก

บุคคลเจ้าของร่างอ้อนแอ้นแบบบางเดินออกมาด้วยท่าทีที่ชัดเจนว่า ไม่รู้ถูกเรียกตัวด้วยเรื่องอะไร เธอมองตามคุณพิมมาทางพวกเราที่ยืนอยู่ตรงรั้วบ้านด้วยอาการปกติในตอนแรก แต่เมื่อสายตาเลื่อนไปทางเจ้าหยก มือทั้งสองของเธอก็ยกขึ้นมาอุดปากด้วยเกรงว่าจะมีเสียงอุทานอะไรเล็ดลอดออกมา

“เดี๋ยวค่อยพูดกัน มีเรื่องเยอะเสียด้วย” ผมบอกเจ้าจ๋าน ขยับถุงในมือ “เข้าบ้านก่อนเถอะ ฉันซื้อของโปรดแกมาทั้งนั้นเลย ฉันไม่อยากถ่วงเวลากินข้าวเย็นของครอบครัวแก แล้วเรื่องนั้นเอาไว้พูดกัน แต่ฉันยืนยันได้ว่าฉันกับเจ้าหยกได้ตัดสินใจกันมาดีแล้ว ไม่รู้ล่ะ ต่อให้แกไม่ยอมฉันก็จะพักอาศัยอยู่บ้านแกจนกว่าจะหาซื้อที่ ปลูกบ้านเสร็จ ฉันจะหน้าด้านสะอย่าง แกจะจับฉันโยนออกจากบ้านได้ก็ให้มันรู้ไป”

เจ้าหยกส่ายหน้าด้วยความอิดหนาระอาใจ  โดยไม่เกี่ยวกับความกังวลที่ผมจะมาเกาะมันอยู่แม้แต่น้อย มันเอามือมาตบไหล่ผม ด้วยมิตรภาพที่อยู่คงมานาน ถึงแม้มันจะยังไม่เข้าใจในเหตุผลการตกลงใจของผม อย่างน้อยมันก็รู้ดีว่าผมไม่ใช่คนทำตามอารมณ์ชั่ววูบ

“ไอ้เรื่องแกจะมาอยู่กับฉัน อย่าหยิบยกขึ้นมาพูดอีกนะ ฉันขอร้อง มันไม่ใช่ประเด็นปัญหาอะไรทั้งสิ้น เราสองคนเคยเป็นเด็กวัดมาด้วยกัน จำได้ไหมตอนเราตามหลวงพี่ไปบิณฑบาต แกมักจะขออาสาหน้าที่คล้องบาตรพระตลอด และให้ฉันถือปิ่นโตแทน บาตรเวลาใส่ข้าวเต็มแล้วมันหนักมาก ส่วนปิ่นโตคนทำบุญใส่ให้ล้นอย่างไรก็ยังเบากว่า ตอนนั้นฉันตัวเล็กกว่าแกมาก แกเป็นห่วงว่ามันจะหนักเกินไปสำหรับฉันถึงไ้ด้แย่งสลกบาตรมาคล้องเองตลอด ทั้งที่เดินนานๆแกก็ไม่ไหวเหมือนกัน

แกมาอยู่กับฉันได้นานตราบเท่าที่แกต้องการ นรา ที่ฉันออกอาการไปเมื่อครู่ ฉันกลัวแกจะหลอกให้ฉันดีใจเปล่าๆไม่มาอยู่จริงๆเท่านั้น เอาล่ะ ค่อยๆพูดกัน”

ผมตบบ่ามันกลับด้วยความซาบซึ้งใจ ในขณะนั้นร่างอ่อนนุชของหญิงสาวคนหนึ่งก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเรา เป็นน้องนาถยานั้นเอง เธอทักทายผมในฐานะผู้เยาว์ก่อนจะเบือนหน้าแดงอุธัจไปทางเจ้าหยก แล้วทั้งสองก็มองหน้ากันโดยไม่มีคำพูดใดๆ หากแต่สีหน้าแสดงออกถึงความอิ่มเอมชื่นบานและมีเรื่องมากมายที่จะพูด

เท่านั้นผมก็รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เจ้าจ๋านเองก็รู้ดีพอๆกับผม มันเดินไปคว้าถุงอาหารในมือเจ้าหยกมาถือเองอย่างไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอะไรทั้งสิ้น แม้เจ้าหยกจะคัดค้านด้วยความเกรงใจ

“ผมเอาไปใส่จานให้เอง ข้าวของเครื่องใช้อะไรต่างๆทิ้งไว้ในรถก่อนก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ไม่ต้องกลัวแถวนี้ไม่มีโจรงัดรถ อ้า ยาเอ๋ย พาพี่เค้าไปนั่งในบ้านหน่อย พี่กับเจ้านรามีเรื่องคุยกัน แล้วจะจัดอาหารจัดโต๊ะเอง เสร็จแล้วพี่มาเรียก ไม่ต้องมาช่วยนะลูก”

พูดอย่างนี้ก็หมายความว่าเปิดไฟเขียวให้ทั้งคู่หนุ่มสาวใด้พลอดความในใจต่อกัน ผมกับเจ้าจ๋านเดินหิ้วถุงกับข้าวเข้าครัว ช่วยกันถ่ายอาหารใส่จานพลางคุยกันเกี่ยวกับแผนอนาคตที่ผมกับเจ้าหยกตั้งใจมาปักหลักที่นี่

คุณพิมเข้ามาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบผมด้วยอัธยาศัยไมตรีจิต พอเห็นผมกับเจ้าหยกคุยกันอย่างเป็นงานเป็นการ เธอก็ขอปลีกตัวออกไปตามวิสัยของศรีภรรยาที่ดี

อาหารมื้อเย็นนั้น ก็เปี่ยมไปด้วยความสุขเปรมฤทัยกันทุกคน เมื่อผมประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะมาสร้างหลักสร้างฐานที่นี้ ไม่ขอหวนกลับคืนไปทำงานในเมืองอีกเป็นอันขาด

ดูเหมือนคุณพิมจะดีใจมากกว่าใครทั้งหมด เนื่องจากเธอเป็นห่วงสามีเธอนั้นเอง เจ้าจ๋านเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรและเป็นผู้ชายคนเดียวของบ้าน แม้ชาวบ้านแถวนี้จะมีมิตรจิตที่ดีงาม แต่ก็ไม่ใช่มิตรใจ ยามมืดมิดเข้าบ้านแล้วก็คือบ้านใครบ้านมัน บางทีเจ้าจ๋านก็อยากระบายความรู้สึกในแต่ละวันกับใครบ้าง แม้จะมีภรรยาที่สมด้วยคุณสมบัติทั้งปวง แต่มันก็ไม่เหมือนเพื่อนสนิทที่นั่งจับเข่าคุยกันได้ทุกเรื่อง

ในค่ำนั้น น่าสงสารภริยาเจ้าจ๋านเสียจริง เธอนั่งนิ่งเป็นกลางฟังวงสนทนาที่แบ่งออกเป็นสองคู่ คือคู่ของผมกับเจ้าจ๋านที่คุยกันอย่างขะมักเขม้นเรื่องกสิกรรม 

อีกคู่หนึ่งคือเจ้าหยกและน้องนาถยาที่แยกออกไปคุยต่างหาก แต่ก็อยู่ในสายตาตลอด แม้คุณพิมจะไม่มีส่วนร่วมในการสนทนาใดๆ แต่สีหน้าเธอดูมีความสุขมาก มองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างครื้นเครง บรรยากาศในชนบทถึงแม้จะสงบสุขแต่บางทีก็เงียบเหงาบ้าง มีความรื่นเริงมาแทรกหน่อยก็ดี

จนกระทั่ง เจ้าหยกล้วงจี้เพชรรูปหยดน้ำล้อมกรอบด้วยทองคำขาวออกมา และมอบให้น้องนาถยานั้นแหละ คุณพิมในฐานะผู้ปกครองโดยตรงถึงจำเป็นต้องแทรกเตือน ผมกับเจ้าจ๋านชะงักการสนทนาลงและหันไปมอง

“คุณหยกค่ะ ของนั่นถึงพิมไม่ใช่ผู้ชำนาญแต่ก็ดูรู้ว่ามันมีมูลค่าแพงมาก น้องยังเด็กอยู่และก็เป็นสาวบ้านนอก จะให้ใส่เดินไปเดินมาแถวนี้ก็ดูโอ่อวดเกินไป”

น้องนาถยาทำหน้าเหลอหลา ส่วนเจ้าหยกก็คนใจเด็ดอยู่แล้ว มันลุกขึ้นมานั่งคุยต่อหน้าคุณพิมทันที แม้จะตรงๆอย่างลูกผู้ชายแต่ก็สุภาพน้อบน้อม

“ขอโทษด้วยครับคุณพิม ผมไม่รู้ราคาแท้ๆหรอกครับด้วยความสัตย์จริง แต่มูลค่าทางจิตใจสร้อยเส้นนี้มีมูลค่ามากมายมหาศาล  เพราะมันเป็นของคุณแม่ผมที่เสียไปแล้วและท่านรับมอบมาจากคุณยายอีกที

สาเหตุที่ผมให้น้องยาเพราะผมตกลงปลงใจแล้วที่จะให้ ไม่ได้คาดคั้นหรือผูกมัดใดๆ แต่เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า หัวใจของผมได้ปักหลักอยู่กับคนที่รับแล้ว”

นับเป็นครั้งแรก ตั้งแต่คบกันมาที่ผมได้ฟังเจ้าหยกจำนรรจาอะไรที่น่าประทับใจอย่างนี้ เลยเผลอแสดงอออกทางสีหน้าให้เห็นถึงความภูมิใจในตัวเพื่อน คุณพิมคงเหลือบมาเห็นเข้าเลยอดยิ้มไม่ได้

“ถ้าคุณหยกยืนยันที่จะให้ พิมก็จะอนุญาตให้น้องสาวของพิมรับไว้ เพียงแต่ขอความกรุณาว่าถ้าต่อไปในวันข้างหน้า ถ้าคุณหยกเปลี่ยนใจขึ้นมา อยากจะขอคืน ให้มาเอาคืนได้เลยค่ะทางเราเข้าใจ”

แล้วเธอก็หันไปพูดกับน้องนาถยา ท่าทีเหมือนกับพูดกับน้องสาวเป็นการส่วนตัว แต่ทุกคนได้ยินกันถ้วนหน้า ผมกับเจ้าจ๋านนั้นคิดกันเรื่องอื่นแต่ก็ไม่วายอดฟัง

“เก็บเอาไว้ให้ดีๆนะลูก สร้อยคอนี้มีความสำคัญมาก อยากจะห้อยคอก็ได้ แต่ถ้าวันไหนหนูอยากจะถอดออกมาและไม่อยากเก็บอีกต่อไป ยาต้องคืนเจ้าของนะ ถ้า...ไม่รักสร้อยเส้นนี้”

หญิงสาวสะท้านคิดขึ้นในใจ หากทว่าไม่ได้พูดออกมา คนร่างน้อยที่ไม่เคยมีปากมีเสียงกับใครเลยในชีวิต หันไปประสานสายตากับเจ้าหยก รำพึงโดยไม่ส่งเสียงขึ้น

“ฉันจะใส่มันตลอดไปทั้งชีวิต  ไม่ถอด ยกเว้นมีใครกระชากออกไปจากคอ” แต่สิ่งที่เธอตอบพี่สาวคือ

“พี่เค้าฝากให้ยาเก็บไว้ค่ะ เขาบอกว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้จะออกไร่ออกสวนช่วยงาน มีแค่ของสำคัญชิ้นนี้ชิ้นเดียวที่เป็นห่วง ถ้า พี่พิมอนุญาต ยาก็จะเก็บไว้”

คุณพิมลุกขึ้น ตาค้อนหวานให้น้องสาวที่เลี้ยงมากับมือ หากแต่สายตานั้นเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูมากกว่าอย่างอื่น พูดเปรยๆขึ้นโดยไม่เจาะจงว่าพูดกับใคร

“ถือเป็นของหมั้นหมาย ดูใจกันไปก่อนแล้วกัน” 

แล้วเธอก็ลาทุกคนขอตัวออกไปตามมารยาท เพราะนั่งอยู่ต่อก็ไม่รู้จะคุยกับใคร แต่สีหน้าและแววตาของเธอไม่ได้แสดงออกถึงความขุ่นเคืองเลย กลับรู้สึกดีด้วยซ้ำที่บ้านไม่เหงาหงอยอีกต่อไป

แล้วการสนทนาของพวกเราก็ดำเนินต่อไป คู่ของผมกับเจ้าจ๋านแม้คุยกันในเชิงธุรกิจ แต่อยู่ในอารมณ์ที่สบายๆตามประสาเพื่อนฝูงไม่เคร่งเครียด นานๆทีก็ชำเลืองมองไปทางคู่เจ้าหยกกับน้องนาถยาบ้าง ทั้งคู่จะพูดคุยกันหวานหยดขนาดไหนก็ตาม คนอื่นไม่ได้ยิน แต่ที่เห็นแน่แล้วสบายใจคือสองคนนี้คุยกันแบบให้เกียรติ ไม่มีจับมือถือแขน แตะเนื้อต้องตัวกันเลย

“พรุ่งนี้ ฉันกับเจ้าหยกจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่