มรณสติในพระไตรปิฎก/ ธรรมธาตุ Daddy



☠️ มรณะสติ ☠️
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ที่พักก่อด้วยอิฐชื่อ
นาทิกะ ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
🌚ดูกรภิกษุทั้งหลาย มรณสติอันบุคคลเจริญแล้ว
กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด (พระนิพพาน)
🌚ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มรณสติเป็นอย่างไร
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางวันสิ้นไป
กลางคืนเวียนมาย่อมพิจารณาดังนี้ว่า
ปัจจัยแห่งความตายของเรามีมากหนอ คือ
งูพึงกัดเราก็ได้ แมลงป่องพึงต่อยเราก็ได้
ตะขาบพึงกัดเราก็ได้ เพราะเหตุนั้นเราพึงทำกาลกิริยา(ตาย)
อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา เราพึงพลาดล้มลงก็ได้
อาหารที่เราบริโภคแล้วไม่ย่อยเสียก็ได้
ดีของเราพึงซ่านก็ได้ เสมหะของเราพึงกำเริบก็ได้
ลมมีพิษดังศาตราของเราพึงกำเริบก็ได้
มนุษย์ทั้งหลายพึงเบียดเบียนเราก็ได้
พวกอมนุษย์พึงเบียดเบียนเราก็ได้
เพราะเหตุนั้นเราพึงทำกาลกิริยา(ตาย)
อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา
🌚ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงพิจารณาดังนี้ว่า
ธรรมอันเป็นบาปอกุศลอันเรายังละไม่ได้
ที่จะพึงเป็นอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางคืน
มีอยู่หรือหนอแล ถ้าภิกษุพิจารณาแล้ว มีอยู่
🌚ภิกษุนั้นพึงกระทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ
ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้ยิ่ง
เพื่อละธรรมอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นเสีย
เปรียบเหมือนคนที่มีผ้าไฟไหม้ หรือศีรษะถูกไฟไหม้
พึงกระทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ
ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้ยิ่ง
เพื่อดับไฟไหม้ผ้าหรือศีรษะนั้น
🌚ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าแหละภิกษุพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า
ธรรมอันเป็นบาปอกุศลอันเรายังละไม่ได้
ที่จะเป็นอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางคืนหรือกลางวัน ไม่มี
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้มีปีติและปราโมทย์
หมั่นศึกษาทั้งกลางวันและกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางคืนสิ้นไป
กลางวันเวียนมาถึง ย่อมพิจารณา
🌚โดยนัยยะเดียวกันว่าปัจจัยแห่งความตายของเรามีมากหนอ
ดังนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศลอันเรายังละไม่ได้
ที่จะพึงทำอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางวัน มีอยู่หรือไม่
หากพิจารณาแล้วยังมีอยู่ ภิกษุพึงกระทำความพอใจในความเพียร
เพื่อละธรรมอันเป็นบาปอุศลเหล่านั้นเสีย
🌚ปัจจัยแห่งความตายของเรามีมากหนอ
ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า
ธรรมอันเป็นบาปอกุศลอันเรายังละไม่ได้
ที่จะพึงทำอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางวัน มีอยู่
ภิกษุนั้นพึงกระทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ
ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้ยิ่ง
เพื่อละธรรมอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นเสีย
หากไม่มี ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้มีปีติและปราโมทย์
หมั่นศึกษาทั้งกลางวันกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่
🌚ดูกรภิกษุทั้งหลาย มรณสติอันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้
กระทำให้มากแล้วอย่างนี้ จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด ฯ
พระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต ปฏิปทาสูตรที่ ๔ หน้าที่ ๒๙๓-๒๙๔
https://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่