
ดินศักดิ์สิทธิ์ © J_R Images/Shutterstock.com
.
ณ ที่ราบสูง
Boho
ที่
West Fermanagh Scarplands ในไอร์แลนด์เหนือ
ยังมีความเชื่อสืบต่อกันมาอย่างยาวนานว่า
ดินจากสุสานในท้องถิ่นมีพลังวิเศษ
ในการรักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์
ดินเหล่านี้อยู่ในสุสานตั้งแต่ปี 1815
บาทหลวง James McGirr ผู้ศรัทธาในพระเจ้า
ได้รับการฝังไว้ ณ สุสานแห่งนี้
ขณะที่ท่านรอพบพระเจ้าบนเตียง ท่านได้ประกาศว่า
" ดินบนหลุมศพพ่อ จะรักษาโรคใด ๆ
ที่พ่อเคยรักษาพวกเธอได้ ในขณะที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ "
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เป็นประเพณีท้องถิ่น
เมื่อใดก็ตามที่พลเมืองที่เป็นลูกวัด
มีอาการเจ็บป่วยก็มักจะคุกเข่าอยู่ข้าง
หลุมฝังศพของบาทหลวง James McGirr
แล้วตักเศษดินหนึ่งช้อนพูนใส่ลงในกระเป๋าผ้าฝ้าย
จากนั้นจะนำกลับบ้านแล้วนำกระเป๋าไปวางไว้ใต้หมอน
แล้วนอนหลับไปตลอดทั้งคืน
ในตอนเช้าโรคภัยไข้เจ็บก็จะหายไป
คาดว่าตอนคนป่วยตักดินจากสุสานคงต้องสูดดมผงฝุ่นเข้าไปบ้าง
และการเอาดินวางไว้ข้างหมอน หรือการนอนยียีกับหมอน
มีความเป็นไปได้ที่เศษดิน/ผงธุรีดินหลุดออกมาบางส่วน
ชาวบ้านต่างใช้ดินศักดิ์สิทธิ์ของคุณพ่อ James McGirr
เพื่อรักษาอาการไข้หลายอย่าง
เช่น อาการปวดฟัน เจ็บคอและบาดแผล
เมื่อรักษาหายดีแล้ว ดินก็จะถูกนำกลับไปที่สุสาน
หากใครไม่คืนดินกลับสุสาน เชื่อกันว่าจะพบกับโชคร้าย
.

หลุมฝังศพของบาทหลวง James McGirr ที่ป้ายสีขาว 2 แผ่น
ที่พิมพ์ข้อความว่า ดินศักดิ์สิทธิ์ Simon Watson

จดหมายจากบาทหลวงที่ดูแลสุสานระบุว่า
ต้องคืนดินศักดิ์สิทธิ์ภายใน 4 วัน © Simon Watson
.
ตำนานเรื่องนึ้ ทำให้มีคนเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง
ผู้เชื่อจะยอมรับและศรัทธาในเรื่องนี้
และส่งต่อความเชื่อต่อ ๆ ไปยังลูกหลาน
แต่ผู้สงสัยเรื่องนี้ก็คิดว่าเป็นเรื่องการบอกต่อ ๆ กันมา
ที่ยังมีข้อกังขาและพยายามจะไขปริศนาดินศักดิ์สิทธิ์ Boho
Gerry Quinn นักจุลชีววิทยาที่เติบโตขึ้นมาในพื้นที่แห่งนี้
จึงต้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริงดินศักดิ์สิทธิ์
“ แรกเริ่มเดิมที ผมประหลาดใจมากกับเรื่องนี้
เพราะมันเป็นยาพื้นบ้าน และดูเหมือนจะมีความเชื่อโชคลางผสมอยู่
แต่ในหัวของผม ผมรู้ว่าน่าจะมีบางสิ่งบางอย่าง
ที่อยู่เบื้องหลังประเพณีเรื่องนี้
ไม่นั้นชาวบ้านคงจะเลิกใช้ไปนานแล้ว ”
Gerry Quinn ให้สัมภาษณ์กับ BBC
ในปี 2018 Gerry Quinn กับเพื่อนร่วมงาน
Swansea University Medical School
ได้เก็บตัวอย่างดินศักดิ์สิทธิ์จากสุสาน Boho
นำไปที่ห้องปฏิบัติการวิจัยก็ได้ค้นพบว่า
ดินอัศจรรย์ใช้ในการรักษาโรคไม่ใช่ฝีมือของพระเจ้า
แต่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
Gerry Quinn พบ
Streptomyces
สายพันธุ์ที่ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนหน้านี้
ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ใช้ในการผลิตยาปฏิชีวนะ
Streptomyces ผลิตค็อกเทลที่เป็นเอกลักษณ์
มีสารเคมีที่ยับยั้งหรือฆ่าเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ
สายพันธุ์นี้พบว่าสามารถฆ่าเชื้อโรค
ที่ทำให้เกิดโรคหลายชนิดซึ่งทนต่อยาปฏิชีวนะทั่วไป
ดินศักดิ์สิทธิ์ Boho พบสายพันธุ์ที่ไม่ซ้ำกันนี้
ถูกสะสมในช่วงปลาย
Pleistocene
ราว ๆ 2,580,000 ถึง 11,700 ปีก่อนคริสตศักราช
สะสมบนชั้นของหินปูนซึ่งดินมีลักษณะความเป็นด่างสูง
สภาพแวดล้อมความเป็นด่าง Alkaline รู้จักกันดีว่า
เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยยาปฏิชีวนะ antibiotics
จุลชีพชนิดใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับการทำยาาปฏิชีวนะ
นักจุลชีววิทยาได้พยายามค้นหาจุลชีพใหม่ ๆ ที่ทำเป็นยาได้
เช่น ในทะเลทราย ปล่องระบายความร้อนใต้พิภพ
และสภาพแวดล้อมที่เป็นด่างคือ ความหวังใหม่
หวังว่าจะค้นพบแบคทีเรียแปลกใหม่
ที่ผลิตยาปฏิชีวนะที่ทรงพลังกว่าตัวเก่า(ที่เชื้อมักจะดื้อยา)
“ เหตุผลที่ Streptomyces ผลิตยาปฏิชีวนะนั้น
ต่างจากแบคทีเรียส่วนใหญ่ เพราะพวกมันไม่เคลื่อนไหว
พวกมันไม่สามารถหนีจากอันตรายที่กำลังมาถึง
หรือเคลื่อนตัวเองเข้าไปหาสิ่งที่น่าดึงดูด
พวกมันหยุดอยู่กับที่ พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตประจำถิ่น
และเพื่อปกป้องสภาพแวดล้อมอาณาจักรขนาดเล็กของพวกมัน
พวกมันจะผลิตยาปฏิชีวนะขึ้นมาเพื่อฆ่าสิ่งมีชีวิตใด ๆ
ในบริเวณใกล้เคียงกับพวกศัตรูที่จะมารุกรานพื้นที่ของพวกมัน ”
Paul Dyson นักจุลชีววิทยาโมเลกุล อธิบาย
ดินศักดิ์สิทธิ์จากสุสาน Boho นั้น
มี Streptomyces ถึง 8 สายพันธุ์
แต่ละสายพันธุ์ผลิตยาปฏิชีวนะแตกต่างกัน 10-20 ชนิด
และพบว่าพวกมันสามารถฆ่าเชื้อโรค 3 ลำดับที่สำคัญ
(organisms สิ่งมีชีวิตที่ก่อให้เกิดโรค)
ที่ระบุโดย World Health Organisation (WHO)
ว่าเป็นวาระสำคัญต่อสุขภาพมนุษย์
และได้เตือนว่าผู้คนอาจเสียชีวิตจากการติดเชื้อง่าย ๆ
ที่สามารถรักษาได้มายาวนานหลายทศวรรษ
เพราะมีการใช้ยาปฏิชีวนะมากขึ้นและมีประสิทธิภาพน้อยลง
.
Frank McHugh ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
สมาชิก Boho Heritage Group กล่าวว่า
มีบันทึกน้อยมากเกี่ยวกับการดินศักดิ์สิทธิ์ Boho
แต่ประเพณีเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในปี 1803
ที่บาทหลวง James McGirr มาประจำที่ Boho
เห็นได้ชัดว่าท่านต้องมีสถานที่รักษาผู้คน
และมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องคิดถึงท่านหลังท่านมตะ
คำพูดสุดท้ายที่ท่านสั่งไว้ก่อนตายคือ
" หลังจากพ่อตาย ดินบนหลุมศพของพ่อ
จะรักษาโรคภัยได้เหมือนสมัยพ่อรักษาพวกเธอ
ดังนั้น ที่นั่นจึงมีประเพณีที่ทำต่อต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
ที่นี่มีผู้คนมาจากหลายแห่งมากที่มานำดินห่อด้วยผ้า
เพื่อพากลับบ้านแล้วไปวางไว้ใต้หมอนที่นอน "
Frank McHugh ยังกล่าวว่า
แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ
จากคริสตจักรคาทอลิกว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา
ที่เกี่ยวข้องกับคำอธิษฐานและการต้องนำดินกลับคืนที่เดิม
“ ทุกวันนี้ ผู้คนต่างทำตามคำสาบานอย่างเคร่งครัด
และมันเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีพื้นบ้าน
และเรื่องราวที่คนที่ล่วงลับไปแล้วต่างบอกต่อ
กับสมาชิกในครอบครัวและทุกคำต่างทำตามคำสาบาน
ผมคิดว่า ผมยังมีข้อสงสัยเล็กน้อยบ้าง
และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมงานของ Gerry นั้น
น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะมันแสดงคุณสมบัติของยาปฏิชีวนะ
จากดินหินปูนอย่างชัดเจนและใช้งานได้ผลจริง "
.
.
โบสถ์ Sacred Heart ตั้งอยู่บนพื้นที่
ชาวคริสต์ใช้นมัสการทางศาสนามานานกว่า 1,500 ปี
ในบริเวณใกล้เคียงยังมีงานแกะสลักยุคหินใหม่อายุราว 4,000 ปี
“ พื้นที่แห่งนี้ ทำให้เราอาจมียาปฏิชีวนะแตกต่างกันถึงร้อยชนิด
และสิ่งที่เราต้องทำต่อไป คือ ระบุยาปฏิชีวนะเหล่านี้
แล้วทำการทดลองทางคลินิกต่อไป ”
Dr. Gerry Quinn ให้สัมภาษณ์กับ BBC
และท่านได้ตีพิมพ์รายงานวิจัยหัวข้อเรื่อง
A Novel Alkaliphilic Streptomyces Inhibits ESKAPE Pathogens
ศาสตราจารย์ Ibrahim Banat
Ulster University's School of Biomedical Sciences กล่าวว่า
" การค้นพบครั้งนี้ให้ความหวังในการผลิต
ยาใหม่ ๆ ที่จะมีไว้ในคลังยาเหมือนอาวุธชีวภาพ
ที่เราสามารถรวบรวมขึ้นมาต่อต้านจุลินทรีย์ในอนาคต
องค์การอนามัยโลกได้เตือนให้เราระมัดระวัง
ในการใช้ยาปฏิชีวนะและเตือนถึงสถานการณ์
ที่เราจะเผชิญกับโรคภัยที่ยังไม่สามารถรักษาได้
หรือเชื้อโรคต่อต้านยาปฏิชีวนะได้ง่าย
เพราะยาเริ่มไม่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การค้นพบครั้งนี้เป็นเพียงก้าวย่างเล็ก ๆ
และในงานวิจัยของเราหวังว่า
ความลับโบราณของดินศักดิ์สิทธิ์ Boho
จะช่วยต่อสู้กับภัยคุกคามของแบคทีเรียที่ดื้อยา
ข้อบ่งชี้ทั้งหมดเป็นเรื่องราวในอดีต
และข้อมูลจากประสบการณ์ส่วนตัว
จากกลุ่มตัวอย่างเล็กๆ ที่ยังตัดสินไม่ได้
ว่าดินจากที่แห่งนี้รักษาโรคได้จริงหรือไม่
ดังนั้น เราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
และเราจะทำการตรวจสอบต่อไป "
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2YCu4WH
https://bbc.in/2YBPBiq
https://bit.ly/2YBxfy6
ดินศักดิ์สิทธิ์ Boho
ดินศักดิ์สิทธิ์ © J_R Images/Shutterstock.com
.
ณ ที่ราบสูง Boho
ที่ West Fermanagh Scarplands ในไอร์แลนด์เหนือ
ยังมีความเชื่อสืบต่อกันมาอย่างยาวนานว่า
ดินจากสุสานในท้องถิ่นมีพลังวิเศษ
ในการรักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์
ดินเหล่านี้อยู่ในสุสานตั้งแต่ปี 1815
บาทหลวง James McGirr ผู้ศรัทธาในพระเจ้า
ได้รับการฝังไว้ ณ สุสานแห่งนี้
ขณะที่ท่านรอพบพระเจ้าบนเตียง ท่านได้ประกาศว่า
" ดินบนหลุมศพพ่อ จะรักษาโรคใด ๆ
ที่พ่อเคยรักษาพวกเธอได้ ในขณะที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ "
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เป็นประเพณีท้องถิ่น
เมื่อใดก็ตามที่พลเมืองที่เป็นลูกวัด
มีอาการเจ็บป่วยก็มักจะคุกเข่าอยู่ข้าง
หลุมฝังศพของบาทหลวง James McGirr
แล้วตักเศษดินหนึ่งช้อนพูนใส่ลงในกระเป๋าผ้าฝ้าย
จากนั้นจะนำกลับบ้านแล้วนำกระเป๋าไปวางไว้ใต้หมอน
แล้วนอนหลับไปตลอดทั้งคืน
ในตอนเช้าโรคภัยไข้เจ็บก็จะหายไป
คาดว่าตอนคนป่วยตักดินจากสุสานคงต้องสูดดมผงฝุ่นเข้าไปบ้าง
และการเอาดินวางไว้ข้างหมอน หรือการนอนยียีกับหมอน
มีความเป็นไปได้ที่เศษดิน/ผงธุรีดินหลุดออกมาบางส่วน
ชาวบ้านต่างใช้ดินศักดิ์สิทธิ์ของคุณพ่อ James McGirr
เพื่อรักษาอาการไข้หลายอย่าง
เช่น อาการปวดฟัน เจ็บคอและบาดแผล
เมื่อรักษาหายดีแล้ว ดินก็จะถูกนำกลับไปที่สุสาน
หากใครไม่คืนดินกลับสุสาน เชื่อกันว่าจะพบกับโชคร้าย
.
หลุมฝังศพของบาทหลวง James McGirr ที่ป้ายสีขาว 2 แผ่น
ที่พิมพ์ข้อความว่า ดินศักดิ์สิทธิ์ Simon Watson
จดหมายจากบาทหลวงที่ดูแลสุสานระบุว่า
ต้องคืนดินศักดิ์สิทธิ์ภายใน 4 วัน © Simon Watson
.
ตำนานเรื่องนึ้ ทำให้มีคนเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง
ผู้เชื่อจะยอมรับและศรัทธาในเรื่องนี้
และส่งต่อความเชื่อต่อ ๆ ไปยังลูกหลาน
แต่ผู้สงสัยเรื่องนี้ก็คิดว่าเป็นเรื่องการบอกต่อ ๆ กันมา
ที่ยังมีข้อกังขาและพยายามจะไขปริศนาดินศักดิ์สิทธิ์ Boho
Gerry Quinn นักจุลชีววิทยาที่เติบโตขึ้นมาในพื้นที่แห่งนี้
จึงต้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริงดินศักดิ์สิทธิ์
“ แรกเริ่มเดิมที ผมประหลาดใจมากกับเรื่องนี้
เพราะมันเป็นยาพื้นบ้าน และดูเหมือนจะมีความเชื่อโชคลางผสมอยู่
แต่ในหัวของผม ผมรู้ว่าน่าจะมีบางสิ่งบางอย่าง
ที่อยู่เบื้องหลังประเพณีเรื่องนี้
ไม่นั้นชาวบ้านคงจะเลิกใช้ไปนานแล้ว ”
Gerry Quinn ให้สัมภาษณ์กับ BBC
ในปี 2018 Gerry Quinn กับเพื่อนร่วมงาน
Swansea University Medical School
ได้เก็บตัวอย่างดินศักดิ์สิทธิ์จากสุสาน Boho
นำไปที่ห้องปฏิบัติการวิจัยก็ได้ค้นพบว่า
ดินอัศจรรย์ใช้ในการรักษาโรคไม่ใช่ฝีมือของพระเจ้า
แต่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
Gerry Quinn พบ Streptomyces
สายพันธุ์ที่ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนหน้านี้
ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ใช้ในการผลิตยาปฏิชีวนะ
Streptomyces ผลิตค็อกเทลที่เป็นเอกลักษณ์
มีสารเคมีที่ยับยั้งหรือฆ่าเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ
สายพันธุ์นี้พบว่าสามารถฆ่าเชื้อโรค
ที่ทำให้เกิดโรคหลายชนิดซึ่งทนต่อยาปฏิชีวนะทั่วไป
ดินศักดิ์สิทธิ์ Boho พบสายพันธุ์ที่ไม่ซ้ำกันนี้
ถูกสะสมในช่วงปลาย Pleistocene
ราว ๆ 2,580,000 ถึง 11,700 ปีก่อนคริสตศักราช
สะสมบนชั้นของหินปูนซึ่งดินมีลักษณะความเป็นด่างสูง
สภาพแวดล้อมความเป็นด่าง Alkaline รู้จักกันดีว่า
เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยยาปฏิชีวนะ antibiotics
จุลชีพชนิดใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับการทำยาาปฏิชีวนะ
นักจุลชีววิทยาได้พยายามค้นหาจุลชีพใหม่ ๆ ที่ทำเป็นยาได้
เช่น ในทะเลทราย ปล่องระบายความร้อนใต้พิภพ
และสภาพแวดล้อมที่เป็นด่างคือ ความหวังใหม่
หวังว่าจะค้นพบแบคทีเรียแปลกใหม่
ที่ผลิตยาปฏิชีวนะที่ทรงพลังกว่าตัวเก่า(ที่เชื้อมักจะดื้อยา)
“ เหตุผลที่ Streptomyces ผลิตยาปฏิชีวนะนั้น
ต่างจากแบคทีเรียส่วนใหญ่ เพราะพวกมันไม่เคลื่อนไหว
พวกมันไม่สามารถหนีจากอันตรายที่กำลังมาถึง
หรือเคลื่อนตัวเองเข้าไปหาสิ่งที่น่าดึงดูด
พวกมันหยุดอยู่กับที่ พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตประจำถิ่น
และเพื่อปกป้องสภาพแวดล้อมอาณาจักรขนาดเล็กของพวกมัน
พวกมันจะผลิตยาปฏิชีวนะขึ้นมาเพื่อฆ่าสิ่งมีชีวิตใด ๆ
ในบริเวณใกล้เคียงกับพวกศัตรูที่จะมารุกรานพื้นที่ของพวกมัน ”
Paul Dyson นักจุลชีววิทยาโมเลกุล อธิบาย
ดินศักดิ์สิทธิ์จากสุสาน Boho นั้น
มี Streptomyces ถึง 8 สายพันธุ์
แต่ละสายพันธุ์ผลิตยาปฏิชีวนะแตกต่างกัน 10-20 ชนิด
และพบว่าพวกมันสามารถฆ่าเชื้อโรค 3 ลำดับที่สำคัญ
(organisms สิ่งมีชีวิตที่ก่อให้เกิดโรค)
ที่ระบุโดย World Health Organisation (WHO)
ว่าเป็นวาระสำคัญต่อสุขภาพมนุษย์
และได้เตือนว่าผู้คนอาจเสียชีวิตจากการติดเชื้อง่าย ๆ
ที่สามารถรักษาได้มายาวนานหลายทศวรรษ
เพราะมีการใช้ยาปฏิชีวนะมากขึ้นและมีประสิทธิภาพน้อยลง
© https://bit.ly/3hqT8J3
.
Frank McHugh ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
สมาชิก Boho Heritage Group กล่าวว่า
มีบันทึกน้อยมากเกี่ยวกับการดินศักดิ์สิทธิ์ Boho
แต่ประเพณีเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในปี 1803
ที่บาทหลวง James McGirr มาประจำที่ Boho
เห็นได้ชัดว่าท่านต้องมีสถานที่รักษาผู้คน
และมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องคิดถึงท่านหลังท่านมตะ
คำพูดสุดท้ายที่ท่านสั่งไว้ก่อนตายคือ
" หลังจากพ่อตาย ดินบนหลุมศพของพ่อ
จะรักษาโรคภัยได้เหมือนสมัยพ่อรักษาพวกเธอ
ดังนั้น ที่นั่นจึงมีประเพณีที่ทำต่อต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
ที่นี่มีผู้คนมาจากหลายแห่งมากที่มานำดินห่อด้วยผ้า
เพื่อพากลับบ้านแล้วไปวางไว้ใต้หมอนที่นอน "
Frank McHugh ยังกล่าวว่า
แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ
จากคริสตจักรคาทอลิกว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา
ที่เกี่ยวข้องกับคำอธิษฐานและการต้องนำดินกลับคืนที่เดิม
“ ทุกวันนี้ ผู้คนต่างทำตามคำสาบานอย่างเคร่งครัด
และมันเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีพื้นบ้าน
และเรื่องราวที่คนที่ล่วงลับไปแล้วต่างบอกต่อ
กับสมาชิกในครอบครัวและทุกคำต่างทำตามคำสาบาน
ผมคิดว่า ผมยังมีข้อสงสัยเล็กน้อยบ้าง
และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมงานของ Gerry นั้น
น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะมันแสดงคุณสมบัติของยาปฏิชีวนะ
จากดินหินปูนอย่างชัดเจนและใช้งานได้ผลจริง "
.
.
โบสถ์ Sacred Heart ตั้งอยู่บนพื้นที่
ชาวคริสต์ใช้นมัสการทางศาสนามานานกว่า 1,500 ปี
ในบริเวณใกล้เคียงยังมีงานแกะสลักยุคหินใหม่อายุราว 4,000 ปี
“ พื้นที่แห่งนี้ ทำให้เราอาจมียาปฏิชีวนะแตกต่างกันถึงร้อยชนิด
และสิ่งที่เราต้องทำต่อไป คือ ระบุยาปฏิชีวนะเหล่านี้
แล้วทำการทดลองทางคลินิกต่อไป ”
Dr. Gerry Quinn ให้สัมภาษณ์กับ BBC
และท่านได้ตีพิมพ์รายงานวิจัยหัวข้อเรื่อง
A Novel Alkaliphilic Streptomyces Inhibits ESKAPE Pathogens
ศาสตราจารย์ Ibrahim Banat
Ulster University's School of Biomedical Sciences กล่าวว่า
" การค้นพบครั้งนี้ให้ความหวังในการผลิต
ยาใหม่ ๆ ที่จะมีไว้ในคลังยาเหมือนอาวุธชีวภาพ
ที่เราสามารถรวบรวมขึ้นมาต่อต้านจุลินทรีย์ในอนาคต
องค์การอนามัยโลกได้เตือนให้เราระมัดระวัง
ในการใช้ยาปฏิชีวนะและเตือนถึงสถานการณ์
ที่เราจะเผชิญกับโรคภัยที่ยังไม่สามารถรักษาได้
หรือเชื้อโรคต่อต้านยาปฏิชีวนะได้ง่าย
เพราะยาเริ่มไม่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การค้นพบครั้งนี้เป็นเพียงก้าวย่างเล็ก ๆ
และในงานวิจัยของเราหวังว่า
ความลับโบราณของดินศักดิ์สิทธิ์ Boho
จะช่วยต่อสู้กับภัยคุกคามของแบคทีเรียที่ดื้อยา
ข้อบ่งชี้ทั้งหมดเป็นเรื่องราวในอดีต
และข้อมูลจากประสบการณ์ส่วนตัว
จากกลุ่มตัวอย่างเล็กๆ ที่ยังตัดสินไม่ได้
ว่าดินจากที่แห่งนี้รักษาโรคได้จริงหรือไม่
ดังนั้น เราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
และเราจะทำการตรวจสอบต่อไป "
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2YCu4WH
https://bbc.in/2YBPBiq
https://bit.ly/2YBxfy6