สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 24
Netflix จ่ายเดือน 400 ดูได้แบบต่อเนื่อง ทั้งบ้าน ไม่มี โฆษณา
โรงหนัง จ่าย 200 ต้องนั่งดูโฆษณา ครึ่ง ชม.
โรงหนัง จ่าย 200 ต้องนั่งดูโฆษณา ครึ่ง ชม.
ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง ถูกใจ, L.hideki ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 5836408 ถูกใจ, #Miniconcert ถูกใจ, Victory_Secret ถูกใจ, เสียงจากบ้านนา ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 2363856 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 5903905 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1838798 ถูกใจ, My Little Applejack ถูกใจ
ความคิดเห็นที่ 2
เราว่า NETFLIX มาแทนร้านวีดีโอ รวมถึง พวกโหลดบิท torrent ต่างๆมากกว่า แต่มาแทนโรงหนังไม่ได้หรอก แม้แต่โฮมเทียร์เตอร์
เพราะด้วย ขนาดจอ ระบบเสียงต่างๆ มันต่างกันเยอะ ให้ประสบการณ์ในการดูไม่เหมือนกัน แม้จะเป็นหนังเรื่องเดียวกันก็ตาม
เพราะด้วย ขนาดจอ ระบบเสียงต่างๆ มันต่างกันเยอะ ให้ประสบการณ์ในการดูไม่เหมือนกัน แม้จะเป็นหนังเรื่องเดียวกันก็ตาม
ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง ถูกใจ, ruralcrue ถูกใจ, L.hideki ถูกใจ, lennon forever ถูกใจ, #Miniconcert ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 704920 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 5093358 ถูกใจ, เพชรปู ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 2540584 ถูกใจ, จอมสับขาระดับโลก ถูกใจรวมถึงอีก 30 คน ร่วมแสดงความรู้สึก
▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
ภาพยนตร์
ภาพยนตร์ต่างประเทศ
ผู้บริหารโรงหนังรายใหญ่โวย NETFLIX เป็นตัวทำลายธุรกิจโรงภาพยนตร์!
จริงหรือไม่ที่ Netflix เป็นตัวทำลายธุรกิจโรงภาพยนตร์ เมื่อ Mooky Greidinger ผู้บริหาร Cineworld โรงภาพยนตร์รายใหญ่อันดับสองของโลก ได้ออกมาบอกว่า Netflix นั้นคือสิ่งที่ทำให้โรงภาพยนตร์สูญเสียรายได้จากการขายตั๋วเพื่อเข้าชมภาพยนต์มาอย่างต่อเนื่อง
Greidinger ได้บอกว่า การที่ Netflix ลงทุนสร้างหนังฟอร์มใหญ่อย่างเรื่อง The Irishman ที่มี Martin Scorsese ผู้กำกับระดับตำนานมาร่วมงานด้วย แต่กลับส่งหนังเรื่องนี้ลงบริการสตรีมมิ่ง และปล่อยฉายในโรงภาพยนตร์บางแห่งเท่านั้น ซึ่งเขามองว่าอาจจะเป็นการสูญเสียรายได้และการเติบโตทางด้านความนิยม รวมถึงปิดกั้นการเติบโตของรายได้จากการขายตั๋วในการเข้าชมภาพยนต์ นอกจากนี้ ยังมีหนังเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่องที่ Netflix ได้ปล่อยให้ฉายในโรงภาพยนตร์บางเรื่องในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะฉายลงบน Netflix อีกด้วย
ซึ่งจากข้อมูลการเปรียบเทียบสถิติในการเติบโตของทั้งสองฝั่ง ตามที่สมาคมภาพยนตร์ของอเมริกา องค์กรอุตสาหกรรมภาพยนต์ฮอลลีวูดรายใหญ่ได้ระบุว่ายอดจำหน่ายจากการขายตั๋วทั่วโลกในปี 2561 มีมูลค่าอยู่ที่ 41.1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเพียง 1% จากปี 2560 ส่วนยอดการใช้จ่ายของผู้บริโภคในรายการทีวีและภาพยนตร์ออนไลน์เพิ่มขึ้น 16% โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 55.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งผลการดำเนินงานล่าสุดของบริษัท Cineworld ประกาศว่ารายได้ในปี 2562 ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเนื่องรายได้จากการขายตั๋วนั้นต่ำมาก
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวของแอดมินมองว่าพฤติกรรมการดูหนังของคนในยุคปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว ด้วยการที่มีบริการสตรีมมิ่งต่างๆ ทำให้เราสามารถเลือกรับชมหนังเรื่องอะไร ที่ไหน เมื่อไรก็ได้ จึงเป็นเหตุผลที่คนบางกลุ่มเลือกที่จะดูหนังที่บ้านมากขึ้น แทนที่จะไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ แต่ NETFLIX ก็ยังไม่สามารถมาแทนที่โรงภาพยนตร์ได้เสียทีเดียว เพราะแม้ว่า NETFLIX จะมีคอนเทนต์เป็นของตัวเอง แต่คุณภาพยังไม่สามารถเทียบกับหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูดได้ และถ้าพูดถึงเรื่องบรรยากาศต้องบอกเลยว่าโรงภาพยนตร์กินขาดแน่นอน หากทั้งสองผู้ประกอบการพัฒนาศักยภาพของตัวเองไปเรื่อยๆ ปรับจูนหาตรงกลางได้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี ผู้บริโภคก็จะได้มีทางเลือกให้ดูหลายๆ ทางด้วยเช่นกัน