พอเด็กทุกคนต้องใช้เวลาในรั้วโรงเรียนมากกว่าอยู่ที่บ้าน ประสบการณ์ดีและร้ายที่เกิดขึ้นที่นั่นมันก็เลยหล่อหลอมให้เราทุกคนเติบโตมาเป็นอย่างทุกวันนี้ แล้วถ้าเป็นเด็กเกย์แตกที่ถูกโยนเข้าไปอยู่ในโรงเรียนที่มองเค้าเป็นตัวประหลาดล่ะ จะเป็นอย่างไร ความโดดเดี่ยวแปลกแยกอาจจะไม่เลวร้ายเท่ากับการถูกกลั่งแกล้ง รังแก และลงเอยด้วยการถูกซ้อมจนปางตาย! ฟังดูแหมือน Freak Show จะเล่าเรื่องเครียดๆ แต่เปล่าเลย มันฉาบไว้ด้วยกลิตเตอร์ เมกอัพ เสียงหัวเราะ และตลกร้ายที่ทำให้เราหัวเราะได้เกือบทุกฉาก
.
Billy Bloom ลูกคุณหนูตุ๊ดเด็กกรีดกรายเข้าโรงเรียนใหม่ด้วยชุดเวอร์วังอลังการ แล้วมันก็ไม่แปลกที่เค้าจะถูกต้อนรับด้วยเสียงโห่ฮา ยิ่งเมื่อเค้าเลือกที่จะเชิดหน้าและยืนยันจะเป็นตัวของตัวเองต่อไป การกลั่นแกล้งก็ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็ลงเอยที่เค้าถูกรุมซ้อมจากพวกแก๊งเด็กผู้ชาย โชคยังดีที่ Billy รอดมาได้ พร้อมกับได้สานสัมพันธ์กับ Flip หนุ่มหล่อเดือนโรงเรียนผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี ซึ่งมาช่วยดูแลเค้าระหว่างพักฟื้น จน Billy ได้กลับโรงเรียนอีกครั้งพร้อมการต้อนรับราวกับชดเชยความผิดบาปในใจของทุกคน แต่พอมันเป็นเพียงแค่เปลือกปลอมเป็นกระแสแค่ชั่วครู่ Billy จึงตั้งใจจะลงฟาดฟันชิงมงกุฎการเป็นราชินีงานโรงเรียนในปีนี้ และนั่นก็ทำให้เค้าต้องสู้กับ Lynette สาวคริสต์เคร่งศาสนาที่มองว่า LGBT คือความผิดบาป!
.
ชอบกลิ่นอายความเป็นหนังไฮสกูลเพี้ยนๆ ของ Freak Show มาก มันชวนให้เรานึกถึงหนังยุค 90 อย่าง Clueless และ She's All That แล้วพอมันกลายร่างเป็นหนังหาเสียงเลือกตั้งราชินีโรงเรียนในทางตลกจิกกัดก็นึกถึง Election ที่มี Reese Witherspoon แสดงนำ แน่นอนล่ะว่า ในความตลกเพี้ยนๆ ของตัวละคร Billy มันมีความเจ็บปวดแทรกซึมอยู่ในทุกอณู เด็กน้อยผู้ถูกเลี้ยงมาแบบผิดๆ โดยแม่ที่เราก็ไม่แน่ใจว่าเธอรักลูกหรือเปล่า การต้องมาอยู่กับพ่อผู้ห่างเหิน และต้องสะกดจิตตัวเองให้แกร่งกล้าตลอดเวลา โรยกลิตเตอร์เพื่อฉาบทับความกลัว และรับมือกับเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน มันเป็นอะไรที่โหดร้ายมากนะ
.
ในความพยายามเทศนาสอนธรรม ทั้งประเด็นยอมรับความหลากหลายแตกต่าง ความเป็น LGBT และการต่อต้านโฮโมโฟเบีย Freak Show ก็ไม่ได้โลกสวยหมดจด แถมมันยังจิกกัดสังคมอเมริกันในยุค Donald Trump อย่างเจ็บแสบอีกต่างหาก ไม่สิ มันจิกกทุกสังคมบนโลกเลยต่างหาก
.
ชอบความสัมพันธ์ระหว่าง Billy กับ Flip ด้วย มันเป็นภาพฝันของตุ๊ดเด็กน้อยหลายคนที่อยากมีผู้ชายหน้าตาดี จิตใจดี มาสนิทสนมดูแลปกป้องเราจากอันตรายทั้งปวง แล้วเราก็วาดฝันไว้ว่า ความสัมพันธ์นี้มันอาจจะก้าวไปไกลกว่าคำว่าเพื่อนได้ในวันใดวันหนึ่ง ชอบยิ่งกว่ากับการที่ Flip พยายามย้ำเสมอว่า ชีวิตของ Billy นั้นน่าอิจฉาและดีเพียงใด ในขณะที่ Billy เองไม่เคยชอบชีวิตของตัวเองเลย มันเป็นประเด็นที่เราเพิ่งได้คุยกับเพื่อนต่างชาติ แล้วเค้าก็ชี้ให้เราเห็นว่า เราควรดีใจและพอใจแค่ไหนที่ได้เป็นตัวเราในทุกวันนี้ ในขณะที่ตัวเราเองกำลังหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต การได้มองตัวเองจากแง่มุมของคนอื่นบ้าง มันก็ทำให้เรารู้สึกดีกับชีวิตของตัวเองได้มากขึ้น อย่างน้อยๆ ก็นิดนึง...
.
เราได้ดู Freak Show ในเทศกาลหนัง LGBT+ Film Festival 2019 ซึ่งจัดขึ้น Bangkok Screening Room และไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะมีโอกาสได้ฉายที่ไหนอีกไหม
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่
เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
[CR] [Review] Freak Show (2017)
พอเด็กทุกคนต้องใช้เวลาในรั้วโรงเรียนมากกว่าอยู่ที่บ้าน ประสบการณ์ดีและร้ายที่เกิดขึ้นที่นั่นมันก็เลยหล่อหลอมให้เราทุกคนเติบโตมาเป็นอย่างทุกวันนี้ แล้วถ้าเป็นเด็กเกย์แตกที่ถูกโยนเข้าไปอยู่ในโรงเรียนที่มองเค้าเป็นตัวประหลาดล่ะ จะเป็นอย่างไร ความโดดเดี่ยวแปลกแยกอาจจะไม่เลวร้ายเท่ากับการถูกกลั่งแกล้ง รังแก และลงเอยด้วยการถูกซ้อมจนปางตาย! ฟังดูแหมือน Freak Show จะเล่าเรื่องเครียดๆ แต่เปล่าเลย มันฉาบไว้ด้วยกลิตเตอร์ เมกอัพ เสียงหัวเราะ และตลกร้ายที่ทำให้เราหัวเราะได้เกือบทุกฉาก
.
Billy Bloom ลูกคุณหนูตุ๊ดเด็กกรีดกรายเข้าโรงเรียนใหม่ด้วยชุดเวอร์วังอลังการ แล้วมันก็ไม่แปลกที่เค้าจะถูกต้อนรับด้วยเสียงโห่ฮา ยิ่งเมื่อเค้าเลือกที่จะเชิดหน้าและยืนยันจะเป็นตัวของตัวเองต่อไป การกลั่นแกล้งก็ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็ลงเอยที่เค้าถูกรุมซ้อมจากพวกแก๊งเด็กผู้ชาย โชคยังดีที่ Billy รอดมาได้ พร้อมกับได้สานสัมพันธ์กับ Flip หนุ่มหล่อเดือนโรงเรียนผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี ซึ่งมาช่วยดูแลเค้าระหว่างพักฟื้น จน Billy ได้กลับโรงเรียนอีกครั้งพร้อมการต้อนรับราวกับชดเชยความผิดบาปในใจของทุกคน แต่พอมันเป็นเพียงแค่เปลือกปลอมเป็นกระแสแค่ชั่วครู่ Billy จึงตั้งใจจะลงฟาดฟันชิงมงกุฎการเป็นราชินีงานโรงเรียนในปีนี้ และนั่นก็ทำให้เค้าต้องสู้กับ Lynette สาวคริสต์เคร่งศาสนาที่มองว่า LGBT คือความผิดบาป!
.
ชอบกลิ่นอายความเป็นหนังไฮสกูลเพี้ยนๆ ของ Freak Show มาก มันชวนให้เรานึกถึงหนังยุค 90 อย่าง Clueless และ She's All That แล้วพอมันกลายร่างเป็นหนังหาเสียงเลือกตั้งราชินีโรงเรียนในทางตลกจิกกัดก็นึกถึง Election ที่มี Reese Witherspoon แสดงนำ แน่นอนล่ะว่า ในความตลกเพี้ยนๆ ของตัวละคร Billy มันมีความเจ็บปวดแทรกซึมอยู่ในทุกอณู เด็กน้อยผู้ถูกเลี้ยงมาแบบผิดๆ โดยแม่ที่เราก็ไม่แน่ใจว่าเธอรักลูกหรือเปล่า การต้องมาอยู่กับพ่อผู้ห่างเหิน และต้องสะกดจิตตัวเองให้แกร่งกล้าตลอดเวลา โรยกลิตเตอร์เพื่อฉาบทับความกลัว และรับมือกับเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน มันเป็นอะไรที่โหดร้ายมากนะ
.
ในความพยายามเทศนาสอนธรรม ทั้งประเด็นยอมรับความหลากหลายแตกต่าง ความเป็น LGBT และการต่อต้านโฮโมโฟเบีย Freak Show ก็ไม่ได้โลกสวยหมดจด แถมมันยังจิกกัดสังคมอเมริกันในยุค Donald Trump อย่างเจ็บแสบอีกต่างหาก ไม่สิ มันจิกกทุกสังคมบนโลกเลยต่างหาก
.
ชอบความสัมพันธ์ระหว่าง Billy กับ Flip ด้วย มันเป็นภาพฝันของตุ๊ดเด็กน้อยหลายคนที่อยากมีผู้ชายหน้าตาดี จิตใจดี มาสนิทสนมดูแลปกป้องเราจากอันตรายทั้งปวง แล้วเราก็วาดฝันไว้ว่า ความสัมพันธ์นี้มันอาจจะก้าวไปไกลกว่าคำว่าเพื่อนได้ในวันใดวันหนึ่ง ชอบยิ่งกว่ากับการที่ Flip พยายามย้ำเสมอว่า ชีวิตของ Billy นั้นน่าอิจฉาและดีเพียงใด ในขณะที่ Billy เองไม่เคยชอบชีวิตของตัวเองเลย มันเป็นประเด็นที่เราเพิ่งได้คุยกับเพื่อนต่างชาติ แล้วเค้าก็ชี้ให้เราเห็นว่า เราควรดีใจและพอใจแค่ไหนที่ได้เป็นตัวเราในทุกวันนี้ ในขณะที่ตัวเราเองกำลังหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต การได้มองตัวเองจากแง่มุมของคนอื่นบ้าง มันก็ทำให้เรารู้สึกดีกับชีวิตของตัวเองได้มากขึ้น อย่างน้อยๆ ก็นิดนึง...
.
เราได้ดู Freak Show ในเทศกาลหนัง LGBT+ Film Festival 2019 ซึ่งจัดขึ้น Bangkok Screening Room และไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะมีโอกาสได้ฉายที่ไหนอีกไหม
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่ เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้