ไม่มีโอกาสให้ทำผิดซ้ำ พิชัย ชี้ รบ.ทำภาพลักษณ์ไทยเสียหาย ชง 'ดิจิทัลไทยแลนด์' ฟื้นฟูปท.
https://www.matichon.co.th/politics/news_2227334
ไม่มีโอกาสให้ทำผิดซ้ำ พิชัย ชี้ รบ.ทำภาพลักษณ์ไทยเสียหาย ชง ‘ดิจิทัลไทยแลนด์’ ฟื้นฟูปท.
ภาพลักษณ์ไทยเสียหาย – เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน นาย
พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามกระแสข่าวการเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจยกชุด แต่ยังไม่มีข้อสรุป เหมือนเป็นสูญญากาศทางการเมือง ในขณะที่สภาวะเศรษฐกิจของไทยย่ำแย่หนักลงทุกวัน ตัวเลขเศรษฐกิจน่าเป็นห่วงมาก บางสำนักให้เศรษฐกิจไทยติดลบถึง -8.8% แต่รัฐบาลกลับไม่มีทิศทางที่จะแก้ไขอย่างชัดเจน ข้าราชการก็ไม่แน่ใจว่าควรดำเนินการแบบไหน เพราะผู้ที่กำลังบริหารอยู่อาจจะต้องถูกปรับออกไปเร็วๆนี้ คนใหม่ที่จะเข้ามา จะยังใช้แนวทางเดิมหรือไม่ เพราะแนวทางที่ทำอยู่น่าจะไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้เลย เพราะเป็นแนวทางที่น่าจะล้าสมัยแล้ว ถ้ายังใช้แนวคิดเดิมและทำแบบเดิม โดยหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นกลับมาที่เดิม แต่ความจริงคือเศรษฐกิจที่เดิมที่รัฐบาลทำมาตลอดก็ยังย่ำแย่มาก ดังนั้นหากจะมีการปรับ ครม. เศรษฐกิจ ก็ควรจะต้องเร่งดำเนินการ และผู้ที่เข้ามาจะต้องคิดใหม่ทำใหม่ โดยต้องมีแนวคิดใหม่เพื่อปรับประเทศให้เข้ากับอนาคตของโลกให้ได้
สำหรับ แนวทางการแก้ไขเศรษฐกิจจะต้องคำนึงถึงการแก้ไขทั้งเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ไปพร้อมกันถึงจะแก้ไขได้ การจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยละเลยการแก้ไขด้านอื่นควบคู่กันไปด้วย จะไม่สามารถแก้ไขได้สำเร็จ ซึ่งถ้าหากพล.อ.
ประยุทธ์จะปรับครม. เศรษฐกิจ ทั้งหมด ก็เท่ากับตอกย้ำความล้มเหลวของการบริหารเศรษฐกิจที่ผ่านมา ดังนั้นจึงอยากให้พลเอก
ประยุทธ์ได้ลดทิฐิ และได้กลับไปศึกษาแนวคิดที่ผมเองได้เคยเสนอมาตลอดซึ่งตรงข้ามกับแนวทางของทีมเศรษฐกิจที่บริหารล้มเหลวนี้ จนตนเองถูกเรียกตัวถึง 12 หน ทั้งปรับทัศนคติและการดำเนินคดี ว่ามีแนวทางอย่างไรที่จะปรับเปลี่ยนประเทศให้ดีขึ้นได้อย่างไร แล้วนำมาปรับเปลี่ยนการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็น่าจะช่วยเศรษฐกิจไม่ให้ย่ำแย่ลงไปอีก
ทั้งนี้ นอกจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว อยากให้พล.อ.
ประยุทธ์ได้ศึกษาว่าประเทศไทยจะพัฒนาได้อย่างไรจากรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นมาเพียงเพื่อสืบทอดอำนาจอย่างที่เป็นอยู่ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้และไม่มีประโยชน์ วุฒิสภาที่ไม่ได้มีคุณค่าในสายตาประชาชน ระบบเลือกตั้งที่ผิดเพี้ยน การปฏิบัติตัวของ สส. ที่ไม่เป็นตัวอย่างให้กับประชาชน รวมถึงความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงตำแหน่งกัน ซึ่งจะยิ่งทำให้ประเทศเสื่อมลง อีกทั้งสภาวะสังคมที่เสื่อมทราม การยืมทรัพย์คงรูปที่จะถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการทุจริตคอรัปชั่นในอนาคต ข่าวคราวการกลั่นแกล้งคนเห็นต่าง ถึงขนาดมีข่าวว่าคนไทยถูกหุ้มหายและหลายคนถูกฆ่าในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น รวมถึงภาพพจน์ของประเทศไทยในสายตาของสื่อหลักต่างประเทศที่ย่ำแย่มาโดยตลอด ยิ่งล่าสุด รัฐบาลสั่งปลดล็อกและยกเลิกเคอร์ฟิว แต่กลับยังคง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ทำให้ยิ่งตอกย้ำที่สื่อหลักต่างประเทศวิจารณ์ว่ารวบอำนาจ เพราะน่าจะกลัวโดนประชาชนและนักศึกษาขับไล่
ดังนั้น พล.อ.
ประยุทธ์จะต้องเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นรอบด้านเพื่อพัฒนาทักษะความรู้ จะทำเหมือนในอดีตไม่ได้ เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันหนักหนาสาหัสมาก จะทำเป็นไม่รู้แต่ไม่ฟังไม่ได้แล้ว และหากบริหารผิดทางเหมือนในอดีตจะยิ่งทำให้ประเทศไทยย่ำแย่ลงไปอีกนาน และจะไม่มีเหลือเงินทุนเพียงพอที่จะปรับเปลี่ยนประเทศแล้วเพราะรัฐบาลได้กู้เงินใช้เต็มวงเงินแล้ว จนหนี้สาธารณะของไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.1 ล้านล้านบาทแล้ว ซึ่งตั้งแต่นี้ไป ตนจะขอเสนอแนวคิดการแก้ไขปัญหาทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ อยากให้พล.อ.
ประยุทธ์ได้ศึกษาแนวทางที่ตนได้เสนอไว้แล้ว คือการปรับเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็น ระบบดิจิตัลทั้งหมด (Digitalization) โดยเริ่มต้นจากปรับเปลี่ยนระบบราชการ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมให้ประเทศไทยพัฒนาตามโลกได้ทัน และจะสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับประชาชนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศจะฟื้นกลับมาได้ดีกว่าเดิม นอกจากนี้ยังจะแก้ปัญหาสำคัญของประเทศไทย เช่น การผูกขาด การคอรัปชั่น การหนีภาษี และ ความเหลื่อมล้ำได้ด้วย เป็นต้น ตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนแล้วคือประเทศเอสโตเนียที่แยกตัวออกมาจากสหภาพโซเวียดในอดีตและพัฒนาประเทศได้อย่างก้าวหน้า ประชาชนมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลงระบบทั้งหมดเพื่อให้ฟื้นตัวก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคง
ในภาวะวิกฤตินี้ไม่มีโอกาสที่พล.อ.
ประยุทธ์จะทำผิดซ้ำซากอีกแล้ว ดังนั้นพล.อ.
ประยุทธ์จะต้องเปิดใจกว้างรับฟังทุกเรื่องและนำไปศึกษาให้ชัดเจน ก่อนที่จะดำเนินการหรือแม้กระทั่งการสื่อสารให้ถูกต้อง จะพูดและจะทำผิดๆถูกๆอีกไม่ได้แล้ว ซึ่งยิ่งทำผิดซ้ำซ้อนเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายกับรัฐบาลมากขึ้น และจะหนีไม่พ้นความพยายามที่จะขับไล่ผู้นำรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากรู้ตัวว่าไม่มีความสามารถเพียงพอก็ควรจะต้องลาออกไป อย่าทำให้ประเทศเสียหายยิ่งไปกว่านี้
ส่อง 7+1 ผู้ก่อการ CARE คณะการเมืองที่ 'คำผกา-นักเขียนซีไรต์' ยังร่วม
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4313393
ส่อง 7 สมาชิก ผู้ก่อการ CARE คณะการเมืองใหม่แกะกล่อง ที่ 'คำผกา-นักเขียนซีไรต์' ยังร่วมทัพ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 17 มิ.ย.นี้
หลังจากที่กลุ่ม movement (เคลื่อนไหว) ทางการเมืองหน้าใหม่อย่าง กลุ่ม CARE ได้ถือกำเนิดขึ้นมาตามข่าวลือที่สะพัดมาตลอดทั้งเดือน ตามที่สื่อหลายสำนัก ได้นำเสนอเป็นข่าวไปแล้วนั้น ซึ่งการถือกำเนิดของกลุ่มเคลื่อนไหวดังกล่าว สร้างความ "
ฮือฮา" ทางการเมืองในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
โดยหากจะกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของกลุ่มนั้น เกิดจากการรวมตัวของบุคคทั้ง 4 คน ซึ่งถือว่าเป็น "
คนการเมืองระดับกุนซือ" เนื่องจากว่าช่วงที่ นาย
ทักษิณ ชินวัตร ยังทำการเมืองและเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีอยู่ คนเหล่านี้ล้วนเป็นที่ปรึกษา และมีส่วนในการตัดสินใจ หรือหลายคนอาจจะเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า "
นักตั้งพรรค" เพราะเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ในยุคเริ่มต้น
ซึ่งทั้ง 4 คน ประกอบด้วย นพ.
พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรองนายกรัฐมนตรี , นาย
ภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย , นพ.
สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชาชน และ นาย
พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีตรัฐมนตรีว่าการพลังงาน รัฐบาล
ยิ่งลักษณ์ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการคมนาคม ในรัฐบาล
ทักษิณ
(
เฟซบุ๊กกลุ่ม CARE ได้อธิบายความหมายของสัญลักษณ์ ที่มีตัวต่อมาจาก Creative Action for Revival & People Empowerment)
ล่าสุดวานนี้ (14 มิ.ย.) เฟซบุ๊กของกลุ่ม CARE ได้มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอ ซึ่งมีความยาว 5.1 นาที เรื่อง ทำไมเราถึง CARE เปิดตัว 7 สมาชิกเริ่มต้น ซึ่งน้องจากมี นพ.
พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช , นาย
ภูมิธรรม เวชยชัย , นพ.
สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี แล้ว
ยังมี นาย
ดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกและนักออกแบบชื่อดังระดับประเทศ , นาย
พริษฐ์ รักตพงศ์ไพศาล บุตรชายนาย
พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล น.ส.
ลักขณา ปันวิชัย หรือ
คำ ผกา นักเขียน นักวิจารณ์ และพิธีกรสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี , นาง
วีรพร นิติประภา นักเขียนนวนิยายรางวัลซีไรต์ อีกด้วย
คลิปดังกล่าว เป็นคลิปบอกเล่าความเป็นมาและเหตุผลของการถือกำเนิดขึ้นกลุ่ม CARE และต่อจากนี้ กลุ่ม CARE จะทำอะไรต่อไป โดย นาง
วีรพร นิติประภา กล่าวว่า ในฐานะประชากรคนหนึ่ง คิดว่าคนทุกคนควรจะมีส่วนร่วมในการคิดหาทางออกว่าเราจะไปยังไงจากนี้ เราจะประคองกันอย่างไรในช่วงวิกฤตนี้
นาย
พริษฐ์ รักตพงศ์ไพศาล กล่าวว่า คนพูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม หรือที่เราเรียกว่า Social Change โดยเฉพาะในสภาวะปัจจุบัน ที่เราต้องเจอกับทั้งปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาทางการเมือง รากฐานสำคัญของชาติคือ การศึกษา โดยสำหรับผมการศึกษานั้นคือ สิ่งสำคัญที่เราจะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า
ด้าน นาย
ดวงฤทธิ์ บุนนาค กล่าวว่า ผมเชื่อในความสามารถของประชาชน ผมคิดว่าการที่เรายืนขึ้นมาจากชีวิตของผู้คน มันสามารถทำอะไรได้อีกมากมายเหลือเกิน ก็ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกลุ่มนี้ ด้วยความตั้งใจที่จะเอาศักยภาพของตัวเองเข้ามาช่วยในการทำให้ประเทศนี้เดินไปข้างหน้าต่อได้ ในภาวะที่มันดูเหมือนเป็นวิกฤตครั้งร้ายแรงของประเทศ ก็เป็นความตั้งใจที่อยากเห็นประเทศเราดีขึ้นเหมือนกับทุกๆ คน
“
ความตั้งใจของกลุ่มก็เป็นเรื่องของ ที่ผมมองเห็นคือเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องความเป็นไปของประเทศในทางที่มีการพัฒนามากขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นจุดร่วมเดียวกับทุกคนในประเทศนี้ ที่อยากเห็นประเทศไทยเจริญขึ้น ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้บอกว่ามันมีอะไรที่เขาทำผิดพลาด แต่มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่เขายังไม่ได้ทำ และเราคิดว่าเราน่าจะเป็นจุดที่กำหนดให้เขาทำได้”
ดวงฤทธิ์ กล่าว
ด้าน น.ส.
ลักขณา ปันวิชัย กล่าวว่า กลุ่มแคร์จะเป็น Civic Movement เป็นขบวนการขับเคลื่อนสังคม โดยกลุ่มภาคประชาสังคม แขก (ชื่อเล่น) ซึ่งเฝ้าสังเกตการณ์การเมืองไทยมาเกือบ 20 ปี แขกรู้สึกว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่สังคมไทยเริ่มมี Awareness เรื่องประชาธิปไตยอย่างชัดเจนเท่านี้มาก่อน
ปีนี้แขกมั่นใจว่า คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจแล้วว่า มิติของการเมืองของประชาธิปไตย มิติของคุณภาพชีวิตของพลเมืองมันแยกกันไม่ออก เพราะฉะนั้นมันถึงเวลาที่พลเมืองอย่างเรา เราในฐานะที่เป็นพลเมืองไทย ควรจะออกมาขับเคลื่อนสังคมไทยและประเทศไทยของเราให้ก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยก่อนเป็นอันดับแรก แล้วหลังจากนั้นเรื่องอื่นๆ มันจะเริ่มถักทอมาเป็นพลังของพลเมืองด้วยกัน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 17 มิ.ย. เวลา 14.00-17.00 น. ที่ Voice Space ถ.วิภาวดีรังสิต CARE จะเปิดตัวกลุ่มครั้งแรก พร้อมประกาศเจตนารมณ์ และแนวทางของกลุ่ม นอกจากนี้จะมีการอภิปรายเรื่อง “
150 วันอันตราย : ทางเลือกทางรอด” โดยมีผู้ร่วมเสวนา คือ นาย
บรรยง พงษ์พานิช นาย
ดวงฤทธิ์ บุนนาค นาย
ศุภวุฒิ สายเชื้อ และ นพ.
สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
https://www.facebook.com/careorth/videos/331187047863499/
"นิพิฏฐ์" แฉ 2 ส.ส.กดบัตรแทนกันถูกชี้มูลคดีอาญา ม.157
https://www.matichon.co.th/politics/news_2227354
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน
นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตส.ส.พัทลุง ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ข้อความสั้น ๆ แต่ได้ใจความว่า
“ข่าวล่ามาเร็ว….มีส.ส. 2 คน ถูกชี้มูลคดีอาญา ม.157 เรื่องกดบัตรแทนกัน จบข่าว!!”
อย่างไรก็ตามจากโพสต์ดังกล่าวปรากฎว่ามีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก
https://www.facebook.com/NipitPhatthalung/posts/3902731069797989
JJNY : พิชัยชี้รบ.ทำภาพลักษณ์ไทยเสียหาย/ส่อง 7+1 ผู้ก่อการ CARE/นิพิฏฐ์แฉ2ส.ส.กดบัตรแทนกันถูกคดี/ติดเชื้อใหม่1
https://www.matichon.co.th/politics/news_2227334
ภาพลักษณ์ไทยเสียหาย – เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามกระแสข่าวการเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจยกชุด แต่ยังไม่มีข้อสรุป เหมือนเป็นสูญญากาศทางการเมือง ในขณะที่สภาวะเศรษฐกิจของไทยย่ำแย่หนักลงทุกวัน ตัวเลขเศรษฐกิจน่าเป็นห่วงมาก บางสำนักให้เศรษฐกิจไทยติดลบถึง -8.8% แต่รัฐบาลกลับไม่มีทิศทางที่จะแก้ไขอย่างชัดเจน ข้าราชการก็ไม่แน่ใจว่าควรดำเนินการแบบไหน เพราะผู้ที่กำลังบริหารอยู่อาจจะต้องถูกปรับออกไปเร็วๆนี้ คนใหม่ที่จะเข้ามา จะยังใช้แนวทางเดิมหรือไม่ เพราะแนวทางที่ทำอยู่น่าจะไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้เลย เพราะเป็นแนวทางที่น่าจะล้าสมัยแล้ว ถ้ายังใช้แนวคิดเดิมและทำแบบเดิม โดยหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นกลับมาที่เดิม แต่ความจริงคือเศรษฐกิจที่เดิมที่รัฐบาลทำมาตลอดก็ยังย่ำแย่มาก ดังนั้นหากจะมีการปรับ ครม. เศรษฐกิจ ก็ควรจะต้องเร่งดำเนินการ และผู้ที่เข้ามาจะต้องคิดใหม่ทำใหม่ โดยต้องมีแนวคิดใหม่เพื่อปรับประเทศให้เข้ากับอนาคตของโลกให้ได้
สำหรับ แนวทางการแก้ไขเศรษฐกิจจะต้องคำนึงถึงการแก้ไขทั้งเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม ไปพร้อมกันถึงจะแก้ไขได้ การจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยละเลยการแก้ไขด้านอื่นควบคู่กันไปด้วย จะไม่สามารถแก้ไขได้สำเร็จ ซึ่งถ้าหากพล.อ.ประยุทธ์จะปรับครม. เศรษฐกิจ ทั้งหมด ก็เท่ากับตอกย้ำความล้มเหลวของการบริหารเศรษฐกิจที่ผ่านมา ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ลดทิฐิ และได้กลับไปศึกษาแนวคิดที่ผมเองได้เคยเสนอมาตลอดซึ่งตรงข้ามกับแนวทางของทีมเศรษฐกิจที่บริหารล้มเหลวนี้ จนตนเองถูกเรียกตัวถึง 12 หน ทั้งปรับทัศนคติและการดำเนินคดี ว่ามีแนวทางอย่างไรที่จะปรับเปลี่ยนประเทศให้ดีขึ้นได้อย่างไร แล้วนำมาปรับเปลี่ยนการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็น่าจะช่วยเศรษฐกิจไม่ให้ย่ำแย่ลงไปอีก
ทั้งนี้ นอกจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ได้ศึกษาว่าประเทศไทยจะพัฒนาได้อย่างไรจากรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นมาเพียงเพื่อสืบทอดอำนาจอย่างที่เป็นอยู่ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้และไม่มีประโยชน์ วุฒิสภาที่ไม่ได้มีคุณค่าในสายตาประชาชน ระบบเลือกตั้งที่ผิดเพี้ยน การปฏิบัติตัวของ สส. ที่ไม่เป็นตัวอย่างให้กับประชาชน รวมถึงความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงตำแหน่งกัน ซึ่งจะยิ่งทำให้ประเทศเสื่อมลง อีกทั้งสภาวะสังคมที่เสื่อมทราม การยืมทรัพย์คงรูปที่จะถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการทุจริตคอรัปชั่นในอนาคต ข่าวคราวการกลั่นแกล้งคนเห็นต่าง ถึงขนาดมีข่าวว่าคนไทยถูกหุ้มหายและหลายคนถูกฆ่าในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น รวมถึงภาพพจน์ของประเทศไทยในสายตาของสื่อหลักต่างประเทศที่ย่ำแย่มาโดยตลอด ยิ่งล่าสุด รัฐบาลสั่งปลดล็อกและยกเลิกเคอร์ฟิว แต่กลับยังคง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ทำให้ยิ่งตอกย้ำที่สื่อหลักต่างประเทศวิจารณ์ว่ารวบอำนาจ เพราะน่าจะกลัวโดนประชาชนและนักศึกษาขับไล่
ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จะต้องเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นรอบด้านเพื่อพัฒนาทักษะความรู้ จะทำเหมือนในอดีตไม่ได้ เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันหนักหนาสาหัสมาก จะทำเป็นไม่รู้แต่ไม่ฟังไม่ได้แล้ว และหากบริหารผิดทางเหมือนในอดีตจะยิ่งทำให้ประเทศไทยย่ำแย่ลงไปอีกนาน และจะไม่มีเหลือเงินทุนเพียงพอที่จะปรับเปลี่ยนประเทศแล้วเพราะรัฐบาลได้กู้เงินใช้เต็มวงเงินแล้ว จนหนี้สาธารณะของไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.1 ล้านล้านบาทแล้ว ซึ่งตั้งแต่นี้ไป ตนจะขอเสนอแนวคิดการแก้ไขปัญหาทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ได้ศึกษาแนวทางที่ตนได้เสนอไว้แล้ว คือการปรับเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็น ระบบดิจิตัลทั้งหมด (Digitalization) โดยเริ่มต้นจากปรับเปลี่ยนระบบราชการ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมให้ประเทศไทยพัฒนาตามโลกได้ทัน และจะสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับประชาชนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศจะฟื้นกลับมาได้ดีกว่าเดิม นอกจากนี้ยังจะแก้ปัญหาสำคัญของประเทศไทย เช่น การผูกขาด การคอรัปชั่น การหนีภาษี และ ความเหลื่อมล้ำได้ด้วย เป็นต้น ตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนแล้วคือประเทศเอสโตเนียที่แยกตัวออกมาจากสหภาพโซเวียดในอดีตและพัฒนาประเทศได้อย่างก้าวหน้า ประชาชนมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลงระบบทั้งหมดเพื่อให้ฟื้นตัวก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคง
ในภาวะวิกฤตินี้ไม่มีโอกาสที่พล.อ.ประยุทธ์จะทำผิดซ้ำซากอีกแล้ว ดังนั้นพล.อ.ประยุทธ์จะต้องเปิดใจกว้างรับฟังทุกเรื่องและนำไปศึกษาให้ชัดเจน ก่อนที่จะดำเนินการหรือแม้กระทั่งการสื่อสารให้ถูกต้อง จะพูดและจะทำผิดๆถูกๆอีกไม่ได้แล้ว ซึ่งยิ่งทำผิดซ้ำซ้อนเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายกับรัฐบาลมากขึ้น และจะหนีไม่พ้นความพยายามที่จะขับไล่ผู้นำรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากรู้ตัวว่าไม่มีความสามารถเพียงพอก็ควรจะต้องลาออกไป อย่าทำให้ประเทศเสียหายยิ่งไปกว่านี้
ส่อง 7+1 ผู้ก่อการ CARE คณะการเมืองที่ 'คำผกา-นักเขียนซีไรต์' ยังร่วม
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4313393
ส่อง 7 สมาชิก ผู้ก่อการ CARE คณะการเมืองใหม่แกะกล่อง ที่ 'คำผกา-นักเขียนซีไรต์' ยังร่วมทัพ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 17 มิ.ย.นี้
หลังจากที่กลุ่ม movement (เคลื่อนไหว) ทางการเมืองหน้าใหม่อย่าง กลุ่ม CARE ได้ถือกำเนิดขึ้นมาตามข่าวลือที่สะพัดมาตลอดทั้งเดือน ตามที่สื่อหลายสำนัก ได้นำเสนอเป็นข่าวไปแล้วนั้น ซึ่งการถือกำเนิดของกลุ่มเคลื่อนไหวดังกล่าว สร้างความ "ฮือฮา" ทางการเมืองในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
โดยหากจะกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของกลุ่มนั้น เกิดจากการรวมตัวของบุคคทั้ง 4 คน ซึ่งถือว่าเป็น "คนการเมืองระดับกุนซือ" เนื่องจากว่าช่วงที่ นายทักษิณ ชินวัตร ยังทำการเมืองและเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีอยู่ คนเหล่านี้ล้วนเป็นที่ปรึกษา และมีส่วนในการตัดสินใจ หรือหลายคนอาจจะเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า "นักตั้งพรรค" เพราะเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ในยุคเริ่มต้น
ซึ่งทั้ง 4 คน ประกอบด้วย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรองนายกรัฐมนตรี , นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย , นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชาชน และ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีตรัฐมนตรีว่าการพลังงาน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการคมนาคม ในรัฐบาลทักษิณ
(เฟซบุ๊กกลุ่ม CARE ได้อธิบายความหมายของสัญลักษณ์ ที่มีตัวต่อมาจาก Creative Action for Revival & People Empowerment)
ล่าสุดวานนี้ (14 มิ.ย.) เฟซบุ๊กของกลุ่ม CARE ได้มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอ ซึ่งมีความยาว 5.1 นาที เรื่อง ทำไมเราถึง CARE เปิดตัว 7 สมาชิกเริ่มต้น ซึ่งน้องจากมี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช , นายภูมิธรรม เวชยชัย , นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี แล้ว
ยังมี นายดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกและนักออกแบบชื่อดังระดับประเทศ , นายพริษฐ์ รักตพงศ์ไพศาล บุตรชายนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล น.ส.ลักขณา ปันวิชัย หรือ คำ ผกา นักเขียน นักวิจารณ์ และพิธีกรสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี , นางวีรพร นิติประภา นักเขียนนวนิยายรางวัลซีไรต์ อีกด้วย
คลิปดังกล่าว เป็นคลิปบอกเล่าความเป็นมาและเหตุผลของการถือกำเนิดขึ้นกลุ่ม CARE และต่อจากนี้ กลุ่ม CARE จะทำอะไรต่อไป โดย นางวีรพร นิติประภา กล่าวว่า ในฐานะประชากรคนหนึ่ง คิดว่าคนทุกคนควรจะมีส่วนร่วมในการคิดหาทางออกว่าเราจะไปยังไงจากนี้ เราจะประคองกันอย่างไรในช่วงวิกฤตนี้
นายพริษฐ์ รักตพงศ์ไพศาล กล่าวว่า คนพูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม หรือที่เราเรียกว่า Social Change โดยเฉพาะในสภาวะปัจจุบัน ที่เราต้องเจอกับทั้งปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาทางการเมือง รากฐานสำคัญของชาติคือ การศึกษา โดยสำหรับผมการศึกษานั้นคือ สิ่งสำคัญที่เราจะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า
ด้าน นายดวงฤทธิ์ บุนนาค กล่าวว่า ผมเชื่อในความสามารถของประชาชน ผมคิดว่าการที่เรายืนขึ้นมาจากชีวิตของผู้คน มันสามารถทำอะไรได้อีกมากมายเหลือเกิน ก็ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกลุ่มนี้ ด้วยความตั้งใจที่จะเอาศักยภาพของตัวเองเข้ามาช่วยในการทำให้ประเทศนี้เดินไปข้างหน้าต่อได้ ในภาวะที่มันดูเหมือนเป็นวิกฤตครั้งร้ายแรงของประเทศ ก็เป็นความตั้งใจที่อยากเห็นประเทศเราดีขึ้นเหมือนกับทุกๆ คน
“ความตั้งใจของกลุ่มก็เป็นเรื่องของ ที่ผมมองเห็นคือเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องความเป็นไปของประเทศในทางที่มีการพัฒนามากขึ้น ซึ่งก็น่าจะเป็นจุดร่วมเดียวกับทุกคนในประเทศนี้ ที่อยากเห็นประเทศไทยเจริญขึ้น ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้บอกว่ามันมีอะไรที่เขาทำผิดพลาด แต่มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่เขายังไม่ได้ทำ และเราคิดว่าเราน่าจะเป็นจุดที่กำหนดให้เขาทำได้” ดวงฤทธิ์ กล่าว
ด้าน น.ส.ลักขณา ปันวิชัย กล่าวว่า กลุ่มแคร์จะเป็น Civic Movement เป็นขบวนการขับเคลื่อนสังคม โดยกลุ่มภาคประชาสังคม แขก (ชื่อเล่น) ซึ่งเฝ้าสังเกตการณ์การเมืองไทยมาเกือบ 20 ปี แขกรู้สึกว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่สังคมไทยเริ่มมี Awareness เรื่องประชาธิปไตยอย่างชัดเจนเท่านี้มาก่อน
ปีนี้แขกมั่นใจว่า คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจแล้วว่า มิติของการเมืองของประชาธิปไตย มิติของคุณภาพชีวิตของพลเมืองมันแยกกันไม่ออก เพราะฉะนั้นมันถึงเวลาที่พลเมืองอย่างเรา เราในฐานะที่เป็นพลเมืองไทย ควรจะออกมาขับเคลื่อนสังคมไทยและประเทศไทยของเราให้ก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยก่อนเป็นอันดับแรก แล้วหลังจากนั้นเรื่องอื่นๆ มันจะเริ่มถักทอมาเป็นพลังของพลเมืองด้วยกัน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 17 มิ.ย. เวลา 14.00-17.00 น. ที่ Voice Space ถ.วิภาวดีรังสิต CARE จะเปิดตัวกลุ่มครั้งแรก พร้อมประกาศเจตนารมณ์ และแนวทางของกลุ่ม นอกจากนี้จะมีการอภิปรายเรื่อง “150 วันอันตราย : ทางเลือกทางรอด” โดยมีผู้ร่วมเสวนา คือ นายบรรยง พงษ์พานิช นายดวงฤทธิ์ บุนนาค นายศุภวุฒิ สายเชื้อ และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
https://www.facebook.com/careorth/videos/331187047863499/
"นิพิฏฐ์" แฉ 2 ส.ส.กดบัตรแทนกันถูกชี้มูลคดีอาญา ม.157
https://www.matichon.co.th/politics/news_2227354
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตส.ส.พัทลุง ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ข้อความสั้น ๆ แต่ได้ใจความว่า
“ข่าวล่ามาเร็ว….มีส.ส. 2 คน ถูกชี้มูลคดีอาญา ม.157 เรื่องกดบัตรแทนกัน จบข่าว!!”
อย่างไรก็ตามจากโพสต์ดังกล่าวปรากฎว่ามีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก
https://www.facebook.com/NipitPhatthalung/posts/3902731069797989