ประติมากรรมรูปสลักเก่าแก่ในสมัยโบราณ

Shigir Idol


เมื่อปี พ.ศ.2437 คนงานเหมืองทองคำในเขตชิเกอร์ มัวร์ (Shigir Moor) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเยกาเตรินเบิร์ก ในประเทศรัสเซีย ได้ค้นพบประติมากรรมไม้แกะสลักใบหน้ามนุษย์ขนาดยักษ์ ซึ่งตอนแรกที่พบพวกคนงานก็รู้ทันทีว่านี่เป็นสิ่งสำคัญ เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าไม้แกะสลักดังกล่าวมีอายุเก่าแก่ขนาดไหน 
ทว่าเมื่อเร็วๆนี้ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกิททิงเงน ในเยอรมนี และจากรัสเซีย ได้ไขคำตอบจากคำถามที่มีมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับประติมากรรมไม้แกะสลักที่พบในอดีต ด้วยการใช้วิธีหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี (Radio carbon dating)


ผลจากการตรวจสอบ นักวิจัยเผยว่าประติมากรรมไม้แกะสลักรูปใบหน้าที่เรียกว่า ซิเกอร์ ไอดอล (Shigir Idol) ทำมาจากลำต้นของต้นสนที่มีความสูงเกือบ 4 เมตรในยุคนั้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของการบูชาในพิธีกรรมบางอย่าง ทั้งนี้ สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าภาพวาดภายในถ้ำสมัยยุคน้ำแข็งนั้น มีวิวัฒนาการและมีรูปแบบใหม่อย่างไรในช่วงหลังยุคน้ำแข็ง อีกทั้งแสดงให้เห็นถึงการสร้างสรรค์และผลิตสิ่งประดิษฐ์ที่มีความซับซ้อน โดยฝีมือมนุษย์โบราณที่อาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาอูราล

ที่สำคัญ นักวิจัยพบว่าประติมากรรมไม้แกะสลักใบหน้ามนุษย์ดังกล่าวมีอายุประมาณ 11,500 ปี เรียกว่าอายุมากกว่าพีระมิดหลายๆ แห่งในอียิปต์ก็ว่าได้ และได้กลายเป็นประติมากรรมไม้แกะสลักที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของโลกไปเรียบร้อยแล้ว.
Cr. https://www.thairath.co.th/news/foreign/1275124
 

รูปสลักนกน้อย


ประติมากรรมรูปนกขนาดจิ๋ว อายุเก่าแก่ถึง 13,500 ปี ทำมาจากกระดูกส่วนขาของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นำไปผ่านความร้อนและเผาไหม้ก่อนแกะสลัก
สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2020 ที่ผ่านมา ทีมนักโบราณคดีนานาชาติจากจีน แคนาดา ฝรั่งเศส อิสราเอล และนอร์เวย์ เปิดเผยผลการศึกษาประติมากรรมรูปนกขนาดเล็กอายุเก่าแก่ถึง 13,500 ปี ที่ขุดค้นได้จากแหล่งโบราณคดีในมณฑลเหอหนานทางตอนกลางของจีน ซึ่งกลายเป็นประติมากรรมจีนที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยพบ

การค้นพบครั้งนี้ไม่เพียงแต่ผลักจุดกำเนิดของประติมากรรมในเอเชียตะวันออกให้ถอยหลังไปอีกกว่า 8,500 ปีเท่านั้น แต่ยังทำให้ช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ของผลงานศิลปะในรูปของนกที่พบในจีนถอยกลับไปอีก 8,000 ปีด้วยเช่นกัน
ประติมากรรมรูปนกขนาดจิ๋วดังกล่าวมีความกว้าง 5.1 มิลลิเมตร ยาว 19.2 มิลลิเมตร และสูง 12.5 มิลลิเมตร มีด้านหนึ่งเป็นสีน้ำตาลเข้ม ส่วนอีกด้านเป็นสีทองสัมฤทธิ์
 
ประติมากรรมชิ้นนี้เป็นนกที่มีรูปร่างค่อนข้างตัน หัวสั้น จะงอยปากกลม และหางยาว ทำมาจากกระดูกส่วนขาของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งนำไปผ่านความร้อนและเผาไหม้ก่อนนำมาแกะสลัก โดยศิลปินยุคโบราณไม่ทราบชื่อ ผู้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ ไม่ได้แกะสลักส่วนขาของนก แต่ใช้วิธีตัดส่วนฐานไว้สำหรับวางนก
หลี่จ้านหยาง ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยซานตง ผู้เขียนชื่อแรกของบทความการศึกษาทางโบราณคดีครั้งนี้ ระบุว่ารูปแกะสลักขนาดเล็กนี้ถูกขุดค้นพบจากแหล่งขุดค้นยุคหินเก่าหลิงจิ่ง อำเภอสวี่ชาง ในเหอหนาน  แหล่งขุดค้นหลิงจิ่งเป็นที่รู้จักก่อนหน้านี้จากการค้นพบฟอสซิลกะโหลกมนุษย์ซึ่งเก่าแก่ถึง 105,000-125,000 ปี ซึ่งถูกตั้งชื่อว่าโฮมินิด “มนุษย์สวี่ชาง”
 
ตลอดการขุดค้นของหลี่ในแหล่งขุดค้นแห่งนี้ตั้งแต่ปี 2005 เขาได้พบชั้นดินที่หลากหลายตั้งแต่ 120,000 ก่อน มาจนถึงยุคสัมฤทธิ์  ผลการหาอายุจากธาตุกัมมันตรังสี (radiometric dating) ของตัวอย่าง 32 ชิ้น จากซากสัตว์และกระดูกที่ถูกเผา พร้อมทั้งร่องรอยการขุดจากฝีมือมนุษย์ที่พบใกล้กับรูปสลักนกดังกล่าว ชี้ว่าตัวอย่างทั้งหมดมีอายุย้อนกลับไปได้ถึง 13,500 ปี  
 
เมื่อนำไปส่องกล้องจุลทรรศน์ นักวิจัยต่างตกตะลึงกับเทคนิคการลับ ขัดมัน ขัดสี และการตัด ที่ใช้ในการแกะสลักวัตถุขนาดเล็กเช่นนี้
“นี่คือผลงานประติมากรรมเพียงชิ้นเดียวในเอเชียตะวันออกที่เก่าแก่ถึงสมัยไพลสโตซีนตอนปลาย (Late Pleistocene) อีกทั้งการค้นพบครั้งนี้เผยให้เห็นถึงขนบธรรมเนียมทางศิลปะในยุคโบราณ”
อนึ่ง ประติมากรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยพบมา ถูกขุดค้นพบจากถ้ำบนเทือกเขาสวาเบียน จูรา (Swabian Jura) ของเยอรมนี ซึ่งมีอายุย้อนไปถึง 33,000-43,000 ปีก่อน
Cr.https://voicetv.co.th/read/KWs9ca31p

รูปสลักศีรษะขนาดเล็ก 


เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมานักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยฮีบรูแห่งเยรูซาเล็ม ในอิสราเอล ได้ค้นพบรูปประติมากรรมแกะสลักศีรษะขนาดเล็ก ระหว่างการขุดค้นในพื้นที่ชื่อ Abel Beth Maacah ตั้งอยู่ทางใต้ระหว่างพรมแดนอิสราเอลกับเลบานอน ใกล้เมืองเมทูลา สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญมากเพราะมีข้อบ่งชี้ว่าพื้นที่ดังกล่าวอาจถูกเปลี่ยนมือไปมาท่ามกลางสถานการณ์การเมืองในยุคโบราณ
 
ประติมากรรมแกะสลักนี้มีขนาด 5 เซนติเมตร สภาพค่อนข้างสมบูรณ์เพราะถูกเก็บไว้อย่างดี จะมีเพียงส่วนเคราเท่านั้นที่หายไปเล็กน้อย แต่เมื่อใช้วิธีหาอายุด้วยคาร์บอน-14 หรือการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี ก็ไม่สามารถระบุวันเวลาการสร้างได้แน่ชัด บอกได้เพียงว่าสร้างในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ช่วงศตวรรษที่ 9 ก่อน คริสตกาล และเป็นวัตถุโบราณที่หาได้ยากยิ่งในแวดวงศิลปะ รูปสลักนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับกษัตริย์องค์หนึ่งที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล จึงมีความลึกลับของประวัติความเป็นมาทำให้กระตุ้นเร้านักโบราณคดีพยายามสืบเสาะย้อนหลังไปเกือบ 3,000 ปีเพื่อไขความกระจ่าง
 
แต่สิ่งที่โดดเด่นและน่าสนใจก็คือทรงผมของรูปสลักที่พบว่ามีลักษณะคล้ายกับชาวอียิปต์โบราณ แสดงให้เห็นว่ารูปแบบของการสร้างงานศิลปะในยุคนั้นมีความใกล้เคียงกับชาวตะวันออก ใกล้ และนักวิชาการบางคนก็วิเคราะห์ว่าเคราบนใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมและศีรษะที่สวมมงกุฎสีทอง น่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือกษัตริย์สักองค์หนึ่ง แต่ก็ไม่อาจชี้ชัดได้ว่าปกครองอาณาจักรใด.
 Cr.https://www.thairath.co.th/news/foreign/1316622

รูปสลักนักบุญคาทอลิก


ย้อนกลับไปในช่วงปี 2004 รูปสลักหินปูนของนักบุญคาทอลิกที่มีถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 สองชิ้น ได้ถูกขโมยออกไปจากโบสถ์ยุคกลางในเมืองบูร์โกส ประเทศสเปน
มันเป็นประติมากรรมนูนต่ำที่มีน้ำหนักราวๆ 50 กิโลกรัม และอาจจะมีมูลค่าได้สูงถึงหลายสิบล้านบาท อย่างไรก็ตามการที่รูปสลักเหล่านี้นับเป็นหนึ่งในมรดกที่เก่าแก่ของโลกก็ทำให้พวกมันแอบขายได้ยากขึ้นตามไปด้วย
 
ด้วยเหตุนี้เองเหล่าโจรจึงได้ตัดสินใจขายรูปสลักทั้งสองในฐานะของ “อุปกรณ์ประดับสวน” ก่อนที่จะถูกซื้อขายต่อไปเป็นทอดๆ จนถึงมือชาวอังกฤษคนหนึ่งและนำสลักทั้งสองไปใช้งานในฐานะของประดับสวน
กว่าที่ Arthur Brand นักสืบสวนและติดตามผลงานศิลปะมืออาชีพจะสืบหาผลงานทั้งสองไปจนเจอตัวชาวอังกฤษคนดังกล่าวที่ลอนดอน เวลาก็ผ่านไปนานหลายปี (Arthur ใช้เวลา 8 ปีในการตามหาผลงาน 2 ชิ้นนี้)  เขาได้ฉายาว่า “อินเดียนา โจนส์แห่งโลกศิลปะ” จากผลงานการค้นหาผลงานศิลปะที่ถูกขโมยไปจำนวนมากในอดีต
 
ชาวอังกฤษคนนี้ซื้อรูปสลักมาในราคาราวๆ 2 ล้านบาท ก่อนที่จะปล่อยให้ผลงานอายุ 1,300 ปีทั้งสอง ตากแดดตากฝนโดยที่ไม่ได้ทราบเลยว่ามูลค่าจริงๆ ของมันนั้นมากมายเพียงใด  โชคดีมากที่ชายอังกฤษคนดังกล่าวยอมที่จะคืนผลงานนี้ให้แก่สถานทูตสเปนในลอนดอนเมื่อวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา และรูปสลักทั้งสองรูปนี้ จะถูกส่งกลับไปยังโบสถ์ Santa Maria de Lara ในสเปนเพื่อซ่อมแซมและจัดแสดงต่อไป
ที่มา livescience 
Cr. https://www.catdumb.com/7th-century-sculptures-used-as-garden-ornaments-378/ By เหมียวศรัทธา
 

รูปสลักเทพซุสนั่งบัลลังก์


หลังจากพิพิธภัณฑ์ เจ. พอล เก็ตตี้ ในเมืองมาลิบู รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ครอบครองประติมากรรม “Statue of Zeus Enthroned” อนุสาวรีย์เทวรูปหินอ่อนขนาดเล็ก อายุประมาณ 100 ปีก่อนคริสตกาล เป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าซุสนั่งอยู่บนบัลลังก์ มาตั้งแต่ปี 2535 ในที่สุดทางพิพิธภัณฑ์ได้ประกาศว่าจะคืนงานศิลปะดังกล่าวให้แก่ประเทศอิตาลี
 
อนุสาวรีย์เทวรูปหินอ่อนมหาเทพซุสนั่งอยู่บนบัลลังก์ มีความสูง 29 นิ้ว ที่ไม่ปรากฏว่าเป็นผีมือของนักประติมากรรมคนใด สันนิษฐานว่าเดิมนั้นอาจตั้งไว้เพื่อบูชาในคฤหาสน์ที่มั่งคั่งของชาวกรีกหรือโรมันโบราณ โดยต่อมาค้นพบว่าเทวรูปขนาดเล็กชิ้นนี้ถูกทิ้งอยู่ใต้ทะเลมาเป็นเวลายาวนาน 

เทวรูปดังกล่าวมีต้นแบบมาจากเทวรูปประดับด้วยทองคำและงาช้างสูง 12.19 เมตร ชื่อ “Statue of Zeus for the temple of Zeus at Olympia” เป็นฝีมือของประติมากรชาวกรีกชื่อไฟดิแอส (Pheidias) ได้แกะสลักรูปเทพซุสนั่งบัลลังก์ พระหัตถ์ขวาถือเทพไนกี้ ซึ่งเป็นเทพแห่งชัยชนะ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายถือคทา มีอายุประมาณ 430 ปี ก่อนคริสตกาล ปัจจุบันได้ถูกยกเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ประดิษฐานอยู่ในวิหารซุส ในเมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ
การส่งกลับคืนให้สู่อิตาลี เป็นไปเพื่อภารกิจทางวัฒนธรรมที่ดี รวมทั้งอยู่ในกรอบความเข้าใจระหว่างสหรัฐฯและอิตาลี แสดงถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งการส่งคืนแหล่งกำเนิดของชิ้นงานน่าจะได้รับข้อมูลใหม่ๆเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์.
Cr. https://www.thairath.co.th/news/foreign/984125
 
 
 

รูปสลักอียิปต์โบราณที่มีจมูกที่เสียหาย 


อ้างอิงจากงานวิจัยใหม่ล่าสุดโดยภัณฑารักษ์ (เจ้าหน้าที่ดูแลพิพิธภัณฑ์) ของหอศิลป์อียิปต์ในพิพิธภัณฑ์บรู๊คลิน Edward Bleiberg  ว่าที่จมูกของประติมากรรมอียิปต์โบราณมักจะถูกทำลายนั้นไม่ได้เกิดจากกาลเวลา แต่เป็นการทำลายโดยเจตนาของมนุษย์

Edward ได้แนวคิดนี้มาหลังจากที่เขาได้ทำการตรวจสอบวัตถุโบราณจากในพิพิธภัณฑ์และพบว่า ความเสียหายที่บริเวณจมูกและใบหน้าบนวัตถุโบราณของอียิปต์นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ในหมู่รูปปั้นหรือรูปสลักเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในภาพวาดหรือภาพสลักด้วย เขาอธิบายว่าตามปกติแล้วงานศิลป์ในสมัยก่อนไม่ว่าจะเป็น 3 มิติ หรือ 2 มิติ ล้วนแต่ทำขึ้นเพื่อแสดงถึงอำนาจ แต่สำหรับคนอียิปต์แล้วงานศิลป์ต่างๆ จะถูกนับเป็น “ตัวแทน” ของต้นแบบงานศิลป์นั้นๆ ได้ด้วย 
งานศิลป์ของอียิปต์เองถูกใช้เป็นสื่อระหว่างโลกคนเป็นกับโลกหลังความตาย ราวกับว่าวิญญาณคนที่ตายไปได้มาสิงอยู่ในรูปปั้น และคงอยู่ไปอีกนานแสนนาน   ดังนั้นผู้ที่ไม่พอใจต้นแบบของผลงานศิลป์อาจจะทำลายรูปปั้นที่เป็นตัวแทนคนเหล่านั้น และการทำลายที่เจาะจงไปที่จมูกก็น่าจะเพื่อไม่ให้ตัวแทนของคนที่ตัวเองเกลียดสามารถ “หายใจ” ได้อีกต่อไป

แนวคิดของนี้ได้รับผลตอบรับที่ค่อนข้างดีจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีของอียิปต์ เพราะในสมัยก่อนเองก็มีบันทึกว่า ก่อนการรบ ทหารอียิปต์จะปั้นรูปปั้นศัตรูด้วยขี้ผึ้งและทำลายทิ้งเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยเช่นกัน
ที่มา allthatsinteresting, cnn
Cr.https://www.catdumb.com/why-do-so-many-egyptian-statues-have-broken-noses-378/ By เหมียวศรัทธา 

 

รูปสลักไม้โบราณ


กระทรวงโบราณวัตถุสถานแห่งอียิปต์ได้เปิดเผยไม้แกะสลักเป็นรูปศีรษะที่เชื่อว่าเป็นการพรรณนาถึงใบหน้าของพระนางอังค์เคเซนเปปิ (Ankhesenpepi) ซึ่งเป็นพระมารดาของฟาโรห์เปปิ ที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่ 6 ของอาณาจักรอียิปต์โบราณ ทรงขึ้นครองบัลลังก์ตั้งแต่พระชนมพรรษาได้เพียง 6 ชันษา รูปสลักไม้ดังกล่าวถูกขุดพบในอำเภอแห่งหนึ่งในเมืองซัคคารา ใกล้กับพีระมิดกิซา ประเทศอียิปต์.
 Cr.https://www.thairath.co.th/news/foreign/1105957
 

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่