JJNY : สนท.บุกทำเนียบผูกโบว์ขาว/แรงบีบนอกค่าย‘จ่าจักร - จ่าจำปา - หมู่อาร์ม’/ธุรกิจใหญ่ตุนสภาพคล่อง/โรงแรมขอเยียวยาเพิ่ม

‘สนท.’บุกทำเนียบผูกโบว์ขาว ประณาม ยุครบ.ประยุทธ์ ผู้ลี้ภัยการเมืองถูกอุ้มหายหลายคน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2225003
 
 
‘สนท.’ บุกทำเนียบชูสามนิ้ว-ผูกโบว์ขาว ประณามอุ้มหายผู้ลี้ภัยการเมือง จี้ สืบหาความจริง นำผู้ก่อเหตุมาลงโทษ
 
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 มิถุนายน ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล สหภาพนักเรียนนิสิตแห่งประเทศไทย (สนท.) นำโดย น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ ประธานสหภาพนักเรียนนิสิตแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยแนวร่วมกว่า 20 คน เดินทางมาทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการผูกริบบิ้นโบว์สีขาว ที่บริเวณรั้วของทำเนียบรัฐบาลด้านถนนพิษณุโลก พร้อมอ่านแถลงการณ์เรื่องขอประณามการอุ้มหายผู้ลี้ภัยทางการเมือง โดยมีเนื้อหาว่า จากกรณีนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองถูกอุ้มหายจากที่พักในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา จนบัดนี้เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์แล้ว แต่การสืบหายังคงไม่คืบหน้า โดยกรณีนี้นับเป็นอาชญากรรมร้ายแรง ที่รัฐ [เผล่ะจัง] ใช้กำจัดผู้เห็นต่างทางการเมือง
 
นับตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บริหารประเทศมา มีนักเคลื่อนไหวและผู้ลี้ภัยทางการเมืองถูกอุ้มหายกว่า 9 คน รวมถึงการถูกลอบทำร้าย เช่น กรณีนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว ซึ่งทุกกรณีดังกล่าวไม่สามารถหาตัวผู้กระผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้ และเหยื่อทุกคนล้วนเป็นผู้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล รัฐย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ แสดงให้เห็นว่ารู้เห็นเป็นใจและช่วยปิดบังอำพราง สนท.จึงขอประนาม การอุ้มหายและลอบทำร้ายทุกกรณี ขอประณามทุกบุคคล และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และขอเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดใช้ความรุนแรงต่อผู้เห็นต่างทุกกรณี และขอเรียกร้องให้เร่งรัดกระบวนการสืบสวนเพื่อสืบหาความจริง และนำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินการตามกฎหมายโดยเร็ว เราหวังอย่างยิ่งว่าจะได้รับความยุติธรรม
 

 
เนื้อใน ‘นายร้อย จปร. - ทหารประทวน’ แรงบีบนอกค่าย ‘จ่าจักร - จ่าจำปา - หมู่อาร์ม’
https://voicetv.co.th/read/nN0QstzEo
 
ถือเป็นปีที่ ทบ. มีเรื่องราวเกิดขึ้นไม่หยุด ที่ทำให้เกิดกระแสกดดันมายัง ทบ. นับตั้งแต่เหตุโศกนาฏกรรมที่ จ.นครราชสีมา หลัง ‘จ่าจักร’ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา สังกัดกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2  อดีตนักเรียนนายสิบ ทบ.
 
ซึ่งชนวนเหตุ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. (ตท.20-จปร.31) ระบุว่า “ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติ” จากเรื่องการซื้อขายที่ดิน เมื่อผิดสัญญากันก่อให้เกิดแรงจูงใจในการก่อเหตุ ก่อนจบประโยคทั้งน้ำตาว่า “แต่เมื่อผู้ก่อเหตุลั่นไก เขาคืออาชญากร ไม่ใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว” ทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ ถูกวิจารณ์หนักขึ้น
 
เหตุการณ์เริ่มจาก จ.ส.อ.จักรพันธ์ ใช้อาวุธปืนยิง พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ ผบ.กองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 (ตท.32 - จปร.43) ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา และนางอนงค์ มิตรจันทร์ มีศักดิ์เป็นแม่ยายเสียชีวิต รวมทั้งนายพิทยา แก้วพรม ลูกน้องนางอนงค์ ได้รับบาดเจ็บ หลัง จ.ส.อ.จักรพันธ์ ได้ซื้อบ้านพักอาศัยซึ่งมีนางอนงค์ เป็นเจ้าของโครงการ และนายพิทยา เป็นนายหน้า แต่ไม่ยอมให้เงินทอนตามที่ตกลงกันไว้ จึงนัดพูดคุยตกลงปัญหา โดยมี พ.อ อนันต์ฐโรจน์ ผู้บังคับบัญชาเป็นคนกลาง นางอนงค์ อ้างได้ให้เงินทอนกับนายพิทยา ทั้งสองคนได้บ่ายเบี่ยงไปมาทำให้ จ.ส.อ.จักรพงษ์ ใช้อาวุธปืนยิงทั้ง 3 คน
 
เมื่อจบเหตุการณ์จึงเกิดคำถามขึ้นถึงระบบบังคับบัญชาภายในกองทัพระหว่าง ‘ผู้บังคับบัญชา-กำลังพล’ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นถูกมองว่าเป็น ‘ธุรกิจในค่ายทหาร’ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น
 
จนนำมาสู่การที่ พล.อ.อภิรัชต์ เซ็นคำสั่งย้ายทหารยศนายพัน โดยเฉพาะในพื้นที่ ทภ.2 เซ่นเหตุการณ์กราดยิงที่โคราช หลังได้รับเรื่องร้องเรียนการทุจริตมา อีกทั้งลงนามเซ็นต์คำสั่งย้ายระดับพันเอก โดย พล.อ.อภิรัชต์ ระบุว่า “เซ็นต่อหน้าศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ใครทำอะไรไว้ต้องได้รับผล และศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มีความศักดิ์สิทธิ์ โดยเป็นเรื่องเกี่ยวข้องในหลายส่วนที่กำลังพลร้องเรียนมา โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 หลังเกิดเหตุรุนแรง
 
เมื่อถึงคราวโผโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล กลางปี เม.ย. 2563 ทำ พล.อ.อภิรัชต์ ได้ปรับย้าย พล.ต.สุรชิน กาญจนจิตติ (ตท.21-จปร.32) ผู้บัญชาการช่วยรบที่ 2 ทภ.2 เข้ากรุเป็น ผู้ทรงคุณวุฒิ ทบ. เนื่องจากกำลังพลที่ก่อเหตุและญาติของคู่กรณีรับราชการในกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ในขณะที่ พล.ท.ธัญญา เกียรติสาร แม่ทัพภาคที่ 2 (ตท.21-จปร.32) เกษียณฯ ก.ย. 2564 ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม ตามที่สื่อเคยถาม ผบ.ทบ. ไว้ว่า จะปรับย้าย พล.ท.ธัญญา หรือไม่
 
ซึ่ง พล.อ.อภิรัชต์ ระบุว่า “ต้องให้ความเป็นธรรมเป็นกรณีไป ไม่ใช่เลือดเข้าตาก็จะสั่งย้ายหมด เจ้าหน้าที่ทุกคนก็มีความตื่นตัวในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว
 
ต่อมาคือเหตุการณ์ ‘จ่าจำปา’ จ.ส.อ.พีรศักดิ์ จำปา ทหารประจำหมวดกองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 5 กองพลทหารราบที่ 5 จ.นครศรีธรรมราช ถูกจำขัง 45 วัน ส่งไปฝึกที่ศูนย์ฝึกธำรงวินัย และสั่งงดบำเหน็จประจำปี 63 (ครึ่งปีหลัง) หลังมีการเผยแพร่คลิป ‘จ่าจำปา’ โต้เถียงกับผู้ว่าฯตรัง ระหว่างที่จ่าจำปายื่นเอกสารขอผ่านด่านโควิด ในการใช้เส้นทางไปดูแลแม่ที่ป่วยนอนอยู่ที่บ้าน ไม่ว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดจะเป็นอย่างไร
 
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือกระแสกดดันจากสังคมให้ทบทวนบทลงโทษ ‘จ่าจำปา’ และจุดสำคัญอยู่ที่การออกมาโพสต์โซเชียลฯของบรรดา นร.นายสิบ ที่มองว่าผู้บังคับบัญชาไม่ปกป้องและไม่ให้ความเป็นธรรมลูกน้อง ที่ขยายวงกว้างขึ้น อีกทั้งเพื่อนร่วมรุ่น นร.นายสิบ กับ ‘จ่าจำปา’ ก็ส่งความช่วยเหลือมาด้วย
 
ทำให้ ทภ.4 ต้องกู้สถานการณ์ โดย พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 (ตท.20 - จปร.31) เพื่อนร่วมรุ่น พล.อ.อภิรัชต์ มีคำสั่งลดโทษ จ.ส.อ.พีรศักดิ์ จากจำขัง 45 วัน เหลือจำขัง 7 วัน ช่วง 17-23 เม.ย. 2563 โดยได้พิจารณาถึงเหตุผลและความจำเป็นในการดูแลมารดาซึ่งป่วยหนักต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ และ จ.ส.อ.พีรศักดิ์ ได้สำนึกผิดว่ากระทำผิดวินัยทหารจริง ประกอบกับที่ผ่านมาเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเทเสียสละ ส่งผลดีต่อทางราชการ และไม่เคยกระทำผิดวินัยร้ายแรงมาก่อน
 
ทั้งนี้ พล.ต.ศานติ ศกุนตนาค ผบ.พล.ร.5 (ตท.26-จปร.37) ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่รับตัว จ.ส.อ.พีรศักดิ์ กลับไปดูแลมารดา พร้อมทั้งจัดทีมแพทย์ พัน.สร.5 นายทหาร นายสิบพยาบาล ดำเนินการตรวจสุขภาพและให้คำแนะนำในการดูแลผู้ป่วย จึงทำให้กระแสกดดันต่างๆ ลดลง
 
มาถึงกรณีล่าสุด ‘หมู่อาร์ม’ ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี อดีตเสมียนงบประมาณแผนกโครงการและงบประมาณกองแผน โครงการศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์ กรมสรรพาวุธ ทบ. ซึ่งหมูอาร์มเองไม่ใช่ นักเรียนนายสิบ แต่มาสมัครสอบเป็นทหารที่กรมสรรพาวุธ ทบ. ในแผนกเสมียนฯ เมื่อ 9 ปีก่อน ด้วยวุฒิ ม.3 ซึ่งเป็นทหารชั้นประทวนมาแต่ต้น
 
จนมาในปีนี้ ‘หมู่อาร์ม’ ออกมาร้องเรียนว่าถูกผู้บังคับบัญชา ข่มขู่ คุกคามเอาชีวิต หลังเปิดเผยปัญหาทุจริตเบี้ยเลี้ยงภายใน กรมสรรพาวุธ ทบ. หลังร้องเรียนตามขั้นตอนใน ทบ. ไม่ได้ผล จึงทำให้หมู่อาร์มเดินเข้าสู้เส้นทางการเมืองผ่านขั้วตรงข้ามกองทัพ เปิดหน้าชนกับกองทัพทันที และเข้าสู่กระบวนการของสภาผ่าน กมธ.กฎหมายฯ ที่ได้เชิญ พล.อ.อภิรัชต์ ไปชี้แจง แต่ได้ส่ง เจ้ากรมสรรพาวุธ ทบ. ไปชี้แจงแทน
 
เรื่องนี้ ทบ. ไม่ได้นิ่งนอนใจ ออกมาแถลงชี้แจงกลับ โดย พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. ระบุว่า ส.อ.ณรงค์ชัย ได้ใช้ช่องทางผ่านสายตรง ผบ.ทบ. ร้องขอความเป็นธรรม ในเรื่องการถูกลงโทษโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้ใช้ระบบการร้องเรียนตามสายการบังคับบัญชา โดยมีลำดับเหตุการณ์ คือ 

ก.ย. 2562 เกิดกรณีพิพาทระหว่างผู้ร้องกับผู้บังคับบัญชา จากนั้น ต.ค.2562 หน่วยต้นสังกัดตั้งกรรมการสอบ ผลสอบระบุกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พิจารณาโทษจำขัง ระหว่าง 18 – 24 มี.ค. 2563
12 มี.ค. 2563 ส.อ.ณรงค์ชัย ร้องเรียนผ่านสายตรง ผบ.ทบ. เรื่องการถูกลงโทษโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้ระงับการสั่งขัง จากกรณีการผิดวินัยเมื่อ ก.ย. 2562
13 มี.ค. 2563 ส.อ.ณรงค์ชัย โทรมาสายตรง ผบ.ทบ. ขอยกเลิกการร้องเรียน เมื่อ 12 มี.ค. 2563 (เนื่องจากศูนย์รับเรื่องร้องเรียนมีการประสานงานให้เจ้าตัวเห็นถึงความจริงใจของ ทบ. ที่เรื่องร้องเรียนได้รับการช่วยเหลือ ทบ. ได้มีการตรวจสอบและให้หน่วยพิจารณาทบทวน ซึ่งต้นสังกัดยังคงผลการลงโทษตามเดิม เนื่องจากเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.วินัยทหาร )
18 มี.ค. 2563 หนีราชการ จากนั้น 19 มี.ค. 2563 ร้องเรียนผ่านสายตรง ผบ.ทบ. เรื่องการถูกลงโทษโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม และ14 เม.ย. 2563 ร้องเรียนผ่านสายตรง ผบ.ทบ. เรื่องการถูกลงโทษโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม และเข้าร้องต่อคณะกรรมธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตสภาผู้แทนฯ เมื่อ 27 เม.ย. 2563
 
ทั้งนี้ พ.อ.วินธัย ย้ำว่า ส.อ.ณรงค์ชัย ถูกดำเนินคดีเพราะขาดราชการ ไม่ใช่จากการร้องเรียน หลัง ส.อ.ณรงค์ชัย มีข้อพิพาทกับผู้บังคับบัญชาเรื่องความประพฤติและกระทำผิดวินัยโดยไม่รักษาระเบียบการเคารพระหว่างผู้ใหญ่ผู้น้อย ใช้กิริยาวาจาไม่สมควรต่อผู้บังคับบัญชา ตาม พ.ร.บ.วินัยทหาร ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือน ก.ย.62 โดยทางหน่วยต้นสังกัดได้มีการดำเนินการตามระเบียบ ด้วยการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและมีมติพิจารณาโทษกำหนดจำขัง 7 วัน ตั้งแต่ 18-24 มี.ค. 2563 แต่มีการหลบเลี่ยงนำไปสู่การ หนีราชการ ตั้งแต่18 มี.ค.63 –ปัจจุบัน
 
ทว่าสิ่งที่ ‘หมู่อาร์ม’ ออกมาแฉก็มีมูลเกิดขึ้นจริง 
 
โดย พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้อำนวยการสำนักงานกรมพระธรรมนูญทหารบก กล่าวว่า เรื่องที่ส่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเบิกเงินเบี้ยเลี้ยงเดินทาง การจัดอบรมยาเสพติด แต่ไม่ได้ดำเนินการจริงตามโครงการ ส่วนเม็ดเงินที่หายไปจะไปอยู่ที่ใครนั้น เป็นเรื่องรายละเอียดในสำนวนที่ส่งไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีความเกี่ยวพันกับนายทหารชั้นยศนายพล 3 คน และมีผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมด้วย โดยแบ่งเป็นการเบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทาง 4 ครั้ง รวมวงเงินกว่า 1 แสนบาท และโครงการอบรมยาเสพติด 2 ครั้ง รวมกว่า 1 แสนบาท 
 
ข้อมูลที่ ส.อ.ณรงค์ชัย นำมาร้องเป็นเอกสารที่นำมาจากหน่วย ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้นำมาตรวจสอบและเข้าไปหาพยาน หลักฐาน สอบรายละเอียดเป๊ะทุกหน้า พร้อมทั้งเชิญ ส.อ.ณรงค์ชัย มาสอบสวนเพิ่มเติมด้วย สำหรับบทลงโทษหากผลการพิจารณาของ ป.ป.ช.พบว่าผิดจริงนั้นต้องอยู่ที่ ป.ป.ช.พิจารณา ซึ่งถ้าเป็นจริงก็เป็นคดีอาญา และ ก็จะมีความผิดทางวินัยด้วย” พล.ต.บุรินทร์ กล่าว

ซึ่ง ‘หมู่อาร์ม’ ก็เดินหน้าท้าชนกับ ทบ. โดยติดต่อไปยัง ‘โบว์’ณัฏฐา มหัทธนา
 
จากนั้น ‘วีระ สมความคิด’ ก็เสนอตัวมาช่วยเหลือ โดยมีพรรคก้าวไกลที่แอ็กทีฟในการติดตามเรื่อง ส.อ.ณรงค์ชัย ผ่าน กมธ.กฎหมายฯ ในกระบวนการทางสภา ซึ่ง ‘หมู่อาร์ม’ ก็มีแนวคิดปฏิรูป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่