3ขั้นตอนสำคัญในการคัดหุ้น



ก่อนที่เราจะซื้อหุ้นสักตัวเราควรทำอะไรบ้าง? ข้ามขั้นตอนการเปิดบัญชี เติมเงินเข้าพอร์ต และอ่านหนังสือศึกษาหาความรู้ไป สมมุติว่าเราได้ทำขั้นตอนดังกล่าวหมดแล้วเราควรทำอย่างไรต่อก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อส่วนหนึ่งของกิจการนั้นเข้ามาในพอร์ตของเรา เราควรพิจารณาอะไรบ้าง วันนี้เราได้รวบรวม3ขั้นตอนการคัดกรองหุ้นก่อนซื้อมาฝากกันครับ
.
.
3ขั้นตอนคัดกรองหุ้นก่อนซื้อ
1.ประเมินและวิเคราะห์กิจการ > แพ้คัดออก
2.ตรวจสุขภาพงบการเงิน >แพ้คัดออก
3.ประเมินมูลค่า > รอหรือเข้าซื้อ
.
.
1.ประเมินและวิเคราะห์กิจการ
สำหรับขั้นตอนนี้นั้นจะเป็นการแสกนแบบระบบแพ้คัดออก นั่นคือกิจการที่ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ เราจะตัดทิ้งไปเลยโดยไม่นำมาประเมินต่อในขั้นตอนต่อไป(เสียเวลา555)
แล้วดูอย่างไรว่าใช่ไม่ใช่ ควรไปต่อไหม?
สำหรับเราข้อที่สำคัญที่สุดคือ กิจการนั้นต้องมีกำไร และเป็นกำไรสม่ำเสมอ มาไตรมาสเดียว หรือปีเดียวแล้วหายก็ไม่เอา โดยเราจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ขาดทุนแล้วหวังให้ได้กำไรในสักวัน หรือที่เรียกกันว่าหุ้นฟื้นตัว turn around
ต่อมาก็เช่น
-การพิจารณาในกลุ่มอุตสาหกรรมว่าบริษัทนั้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหรือไม่
-หลักการeconomic moat
-ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเป็นอย่างไร
-อัตราการเติบโตของกำไรหรืออัตราส่วนต่างๆเช่นROA ROE NPMเป็นอย่างไร สม่ำเสมอหรือไม่
-ผู้บริหารเป็นใคร มีธรรมาภิบาลหรือไม่
โดยเราจะสรุปในขั้นแรกว่าบริษัทนี้แข็งแกร่ง ควรค่าแก่การเข้าสู่การประเมินขั้นต่อไปหรือไม่
หากใช่>เข้าสู่ขั้นตอนที่2
หากไม่>หาตัวใหม่แล้วเริ่มกระบวนการวิเคราะห์ ประเมินอีกครั้งครับ
.
.
2.ตรวจสุขภาพงบการเงิน
หลังจากผ่านขั้นตอนแรกมาแล้ว บริษัทที่ผ่านเข้ารอบมาก็จะต้องนำมาตรวจสุขภาพการเงินอีกครั้งหนึ่งเพื่อตรวจเช็คในด้านต่างๆเช่น
-รายได้ กำไร นั้นโตจริงหรือไม่ มีคุณภาพหรือไม่
-การควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆเป็นอย่างไร
-หนี้สินที่มีเป็นหนี้ดีหรือไม่
-สถานะการเงิน สภาพคล่องของบริษัทเป็นอย่างไร
-สินค้าคงเหลือ วงจรเงินสด ระยะเวลาเก็บหนี้
- และที่สำคัญที่สุดคือมีจุดน่าสงสัยหรือไม่
ซึ่งข้อมูลต่างๆเหล่านี้ก็สามารถทำให้นักลงทุนเห็นภาพสุขภาพของบริษัทได้ชัดเจน เหมือนกับการx-rayร่างกายที่สามารถเห็นอวัยวะภายในว่ามีปัญหาใดหรือไม่ครับ
สำหรับขั้นตอนนี้นั้นก็เป็นระบบแพ้คัดออกเช่นกัน ถ้าหากพบว่ามีจุดน่าสงสัย หรือความสามารถในการทำกำไรของบริษัทนั้นมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ หรือกำไรโตแบบไร้คุณภาพ เราก็จะตัดทิ้งไปครับ
แต่หากแสกนแล้วพบว่าบริษัทนั้นแข็งแกร่งทั้งภายนอกและภายใน เราก็จะถือว่า ผ่าน! เราค้นพบเพชรในตมแล้ว และจะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย นั่นคือการประเมินมูลค่าครับ
.
.
3.ประเมินมูลค่า
สำหรับการประเมินมูลค่านั้น อาจเป็นขั้นตอนที่นักลงทุนมือใหม่หลายๆคนลืมไป(เราก็เคย) โดยคิดเพียงว่าเมื่อเจอเพชรที่เราเฟ้นหาแล้ว ตรวจเช็คเรียบร้อยว่าแข็งแกร่งก็จะเกิดความอยากซื้อขึ้นมาแล้ว คันไม้คันมือ
คำถามคือหากเข้าซื้อโดยที่ไม่สนใจมูลค่าเลยจะเกิดอะไรขึ้น?
อาจเกิดได้ดังนี้ครับ
1.คุณโชคดี ราคาตอนนั้นต่ำกว่ามูลค่าอยู่แล้ว(มีไม่บ่อย)
2.ราคา=มูลค่าพอดี
3.ราคาสูงกว่ามูลค่า
แล้วเราควรซื้อเมื่อราคาเป็นเท่าไหร่ของมูลค่า?
อ้างอิงจากเบน เกรแฮมแนวคิดส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยหรือmargin of safety นั่นคือ“ใช้เงิน50เซนต์ซื้อของมูลค่า1ดอลลาร์” ถ้าหากทำได้แบบนี้นั้น เมื่อราคาตกลงมาอีก เราก็ไม่เสียหายหรือเกิดความเสียหายน้อยเนื่องจากเรามีส่วนเผื่อฯและหากราคาวิ่งขึ้นเท่ามูลค่าเราก็จะได้กำไร50%เป็นอย่างต่ำหรือหากราคาวิ่งขึ้นไปอีกกำไรที่เรามีโอกาสได้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกด้วย แต่หากซื้อที่ราคาเท่ากับมูลค่าแปลว่าเมื่อราคาตกลงต่ำกว่ามูลค่า(ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้) มันก็จะเหมือนเราได้ซื้อของที่ราคาสูงหรือราคาที่ไม่มีส่วนลด แล้วหากเราซื้อเราซื้อที่ราคาสูงกว่ามูลค่า ณ ขณะนั้นก็แปลว่าเราต้องรอ รอให้มูลค่าวิ่งทันราคา ซึ่งเราอาจไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ เนื่องจากราคาได้สะท้อนอนาคตออกมาแล้ว
อ้างอิงจากหลักการของวอเร็น บัฟเฟตต์และชาร์ลี มังเกอร์“ธุรกิจที่ดีในราคาสมเหตุสมผล”
การประเมินมูลค่านั้นทำให้เรารู้ว่าหุ้นตัวนั้นถูกหรือแพง หลักจากผ่านสองขั้นตอนแรกมาแล้ว เรามั่นใจได้ว่าเป็นธุรกิจที่ดี แต่ราคาล่ะ? สมเหตุสมผลหรือไม่ เราจึงต้องมีการประเมินมูลค่าครับ
หากเจอเพชรราคาถูก>ซื้อ
หากเจอเพชรราคาแพงหรือราคาไม่มีส่วนลด>ติดตาม รอวันที่ราคาถูกครับ

สุดท้ายนี้หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนมือใหม่ทุกท่านนะครับ และหวังว่าทุกคนจะเจอธุรกิจที่ดีในราคาสมเหตุสมผลนะครับ
และขอฝากเพจการเงิน การลงทุน แนะนำหนังสือด้วยนะครับ https://www.facebook.com/sharingiscaringreviewer/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่