การแยกตัวของก้อนภูเขาน้ำแข็ง

 A-68 



นักวิทยาศาสตร์ได้จับตาการเคลื่อนไหวของธารน้ำแข็งยักษ์แถบทวีปแอนตาร์กติกามาช้านาน นับตั้งแต่ธารน้ำแข็งลาร์เซนเอ (Larsen A) ทลายหายไปเมื่อ พ.ศ.2538 จนมาถึงธารน้ำแข็งลาร์เซนบี (Larsen B) ก็ละลายหายไป เมื่อ พ.ศ.2545 ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสวอนซีและคณะสำรวจทวีปแอนตาร์กติกาของสหราชอาณาจักร เผยว่าภูเขาน้ำแข็งหนักถึง 1,000,000 ล้านกิโลกรัม มีพื้นที่ราวๆ 5,800 ตารางกิโลเมตรขนาดใกล้เคียงกับรัฐเดลาแวร์ ในสหรัฐอเมริกา หรือเกาะบาหลี ในอินโดนีเซีย นั้นค่อยๆแยกตัวหลุดออกจากธารน้ำแข็งลาร์เซนซี (Larsen C) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยภูเขาน้ำแข็งที่หลุดออกมานี้มีชื่อว่า A68 

เอ 68 แยกตัวออกจากหิ้งน้ำแข็งลาร์เซน ซี (Larsen C Ice Shelf) ในเดือน ก.ค. 2017 ศ. ลักแมน จากมหาวิทยาลัยสวอนซี ได้ติดตามการเดินทางของมันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยใช้ดาวเทียมเซนทิเนล-1 (Sentinel-1) ของยุโรป  ดาวเทียมลักษณะนี้มีอยู่ 2 ดวง และพวกมันจะเคลื่อนตัวตามภูเขาน้ำแข็งทุก ๆ 2-3
แม้ว่า เอ68 จะเกาะกันอยู่เป็นก้อนภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ แต่ก็มีบางส่วนที่หลุดแยกออกไปบ้าง มีก้อนหนึ่งที่แยกตัวออกจากปลายด้านหนึ่งไม่นานหลังจากที่ภูเขาน้ำแข็งก้อนนี้ถือกำเนิดขึ้น มันมีขนาดใหญ่ถึงขนาดที่ได้รับการตั้งชื่อว่า เอ68บี (A68b)  ก้อนน้ำแข็งก้อนนี้มีขนาดประมาณ 13x5 กิโลเมตร และลอยอยู่ห่างออกไปทางเหนือราว 110 กิโลเมตร ตามแนวคาบสมุทร

ภูเขาน้ำแข็งส่วนใหญ่จากทะเลเวดเดิลในทวีปแอนตาร์กติกา จะถูกพัดพาเข้าไปสู่กระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ (Antarctic Circumpolar Current) ซึ่งจะพัดพาภูเขาน้ำแข็งเหล่านี้ รวมถึง เอ68เอ และ เอ68บี ออกสู่ทางใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติก ตามเส้นทางที่รู้จักกันในชื่อว่า "ตรอกภูเขาน้ำแข็ง" (iceberg alley) 
อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นของนักวิทยาศาสตร์แต่ละกลุ่มก็มีความแตกต่าง บางกลุ่มเชื่อว่าการแยกตัวออกของภูเขาน้ำแข็ง A68 จะทำให้ธารน้ำแข็งลาร์เซนซีอาจจะเสถียรน้อยลงและมีความเป็นไปได้ว่าจะหายไปเหมือนกับธารน้ำแข็งลาร์เซนเอและลาร์เซนบี



แต่นักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มก็เห็นว่าอาจจะต้องใช้เวลานานหลายสิบปีเลยทีเดียวกว่าที่ธารน้ำแข็งลาร์เซนซีจะล่มสลาย ภูเขาน้ำแข็ง เอ68 ก้อนนี้อาจจะไปติดอยู่ที่เซาท์จอร์เจีย และอาจละลายหายไปใน "สุสานภูเขาน้ำแข็ง" (iceberg graveyard) ของจอร์เจีย (BAS/P.BUCKTROUT)
Cr.https://www.bbc.com/thai/international-48965970
Cr.https://www.thairath.co.th/news/foreign/1008734
Cr.https://www.takieng.com/stories/5100




B-15



(ขอบของภูเขาน้ำแข็ง บี-15เอ ในทะเลรอสส์ทวีปแอนตาร์กติกา, 29 มกราคม 2545)

ภูเขาน้ำแข็ง บี-15 เป็นภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่มีการบันทึกได้โดยภาพถ่ายจาดดาวเทียม   มีความยาวขนาด 295 ก.ม.กว้าง 37 ก.ม. และมีพื้นที่ขนาด 11,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าประเทศจาเมกา

บี-15 นั้นแยกตัวออกมาจากหิ้งน้ำแข็งรอสส์ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2543 ต่อมาในปีพ.ศ. 2546  ภูเขาน้ำแข็ง บี-15 ได้เริ่มแตกออกเป็นขนาดเล็กโดยก้อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า บี-15เอ ซึ่งมีขนาด 6,400 ตารางกิโลเมตร  นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการที่แผ่นน้ำแข็งขนาดมหึมาแตกออกนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรตามธรรมชาติในระยะยาวซึ่งเกิดขึ้นทุก ๆ 50-100ปี
จากนั้น บี-15เอ ก็ลอยออกไปจากเกาะรอสส์มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือไปทางทะเลรอสส์ และในเดือนตุลาคมปี 2548 บี-15เอ ก็ได้แตกออกเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดเล็กลงอีก

การเดินทางของภูเขาน้ำแข็ง บี-15 มีนาคม 2549



ที่มา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Cr.https://th.wikipedia.org/wiki/ภูเขาน้ำแข็ง_บี-15




D-28



 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ 1,636 ตารางกิโลเมตร แตกออกมาจากพืดน้ำแข็งเอเมอรี ในทวีปแอนตาร์กติกา หรือขั้วโลกใต้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี ที่มีภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่แบบนี้ถือกำเนิดขึ้นในพืดน้ำแข็งเอเมอรี แล้วแตกตัวออกมา

D28 ถูกค้นพบโดยภาพถ่ายจากดาวเทียมที่เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว  โดยภาพเมื่อวันที่ 20 กันยายน D28 ยังคงติดอยู่กับผืนธารน้ำแข็งหลัก แต่มันเริ่มแยกตัวออก เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2019 ซึ่งการแยกตัวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อบริเวณรอบๆ จุดที่มันแตกออกไป และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของแผ่นธารน้ำแข็ง

อย่างไรก็ตาม กศาสตรจารย์เฮเลน ฟริกเกอร์ นักวิทยาธารน้ำแข็ง จากสถาบันสมุทรศาสตร์สคริปป์ อธิบายว่า มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เปรียบได้กับการหลุดของฟันน้ำนมในเด็กที่ต้องหลุดออกไป ในขณะที่แผ่นธารน้ำแข็งหลักที่เปรียบเสมือนกรามยังคงอยู่ และเหตุการณ์ในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นประมาณทุกๆ 60 หรือ 70 ปี มันไม่ได้ส่งผลอันตรายใด อันตรายเพียงอย่างเดียวจากเหตุการณ์นี้คืออาจมีการตีความนอกบริบท

สภาวะโลกร้อนในชั้นบรรยากาศจากก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล มีส่วนทำให้เกิดการละลายของธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งทั่วโลก รวมถึงในทวีปแอนตาร์กติกา ในระหวางช่วงปี 2012 และ 2016 ส่งผลทำให้น้ำแข็งแอนตาร์กติกาหายไปกว่า 219,000,000,000 ตัน แต่การสูญเสียส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแอนตาร์กติกาตะวันตก ในขณะที่เหตุการณ์ D28 นั้น เกิดขึ้นในภาคตะวันออกของทวีปแอนตาร์กติกา

หากธารน้ำแข็งมีการเก็บน้ำแข็งไว้มากเกินไปโดยไม่มีหลุดแยกออกไป จะทำให้มันไม่สามารถคงสภาพไว้ได้ และอาจส่งผลทำให้เกิดการยุบตัวของธารน้ำแข็งขึ้นได้ ในกรณีของ D28 นั้น หลังจากหลุดแยกจากธารน้ำแข็งหลัก ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าส่งผลให้ชั้นน้ำแข็งหลักเกิดความไม่เสถียร และสำหรับความกังวัลใจเรื่องการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลนั้น มันไม่ได้ส่งผลเนื่องจากตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา มีน้ำแข็งที่หลุดออกไปอยู่ตลอดเวลา และมันไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อระบบน้ำทะเล เอเดียน ลัคแมน ประธานแผนกภูมิศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Swansea ในเวลส์ กล่าว

Source: A Huge Iceberg Split From Antarctica. (They Just Grew Apart.)
www.nytimes.com/2019/10/01/climate/antarctica-iceberg-d28.html
Cr.https://www.greennetworkthailand.com/น้ำแข็งแอนตาร์กติกา-d28/
Cr.ภาพ https://www.abc.net.au/news/2019-10-01/before-and-after-iceberg-1/11563254?nw=0




 B -31



นาซาเผยภาพภูเขาน้ำแข็งที่มีนาดใหญ่กว่าเกาะแมนฮัตตัน 8 เท่า แยกตัวออกจากธารน้ำแข็ง ในทวีปแอนตาร์กติกาและกำลังลอยออกสู่ทะเล
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์นาซาได้ติดตามภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ ที่แยกตัวออกจากธารน้ำแข็ง Pine Island Glacier ในทวีปแอนตาร์กติกา ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยภูเขาน้ำแข็งลูกนี้มีชื่อว่า B31 มีขนาด 33 กิโลเมตร คูณ 19 กิโลเมตร ใหญ่กว่าเกาะแมนฮัตตันของสหรัฐฯ 8 เท่า และอาจจะหนาถึง 500 เมตร
นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาธารน้ำแข็ง PIG ตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากธารน้ำแข็งแห่งนี้กำลังบางลงอย่างรวดเร็ว และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ส่วนภูเขาน้ำแข็ง B31 นี้ ยังคงถูกจับจ้องดูว่า มีความสำคัญทางวิทยาศาสตร์มากน้อยแค่ไหน ขณะเดียวกันก็ถูกติดตามเพื่อระวังอันตรายที่อาจเกิดกับเรือด้วย
 
ภาพถ่ายนาซ่าเผยว่า ภูเขาน้ำแข็ง B31 ได้แยกตัวจากธารน้ำแข็ง และออกมาทางทะเล Amundsen ทางตะวันตกของแอนตาร์กติกา โดยทะเลแถบดังกล่าวถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งเป็นส่วนใหญ่ แต่คาดว่ากระแสน้ำจะพัดภูเขาน้ำแข็งออกสู่มหาสมุทรใต้ จากการติดตามของศูนย์น้ำแข็งแห่งชาติสหรัฐฯ พบว่าภูเขาน้ำแข็ง B31 ยังคงมีรูปทรงแทบไม่เปลี่ยนแปลง
Cr.https://variety.thaiza.com/นาซาเผยภาพภูเขาน้ำแข็งยักษ์แยกตัวจากธารน้ำแข็งในแอนตาร์กติกา/289257/?view=full




อุโมงค์ลับทำร้ายภูเขาน้ำแข็งขั้วโลก



นักวิทยาศาสตร์ค้นหาและค้นพบว่าสาเหตุของการเกิดน้ำแข็งขั้วโลกละลายนั้น ไม่ได้มาจากปัจจัยของการเกิดสภาวะโลกร้อนเพียงประการเดียว แต่ยังมีปัจจัยทางธรรมชาติที่ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายได้อีกทาง
 
นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบว่าภูเขาน้ำแข็งแข็งทอทเทนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแอนตาร์ติกาตะวันออก (ขั้วโลกใต้) ที่มีความกว้างถึง 30 กิโลเมตร ยาว 120 กิโลเมตร (ราวกรุงเทพถึงมวกเหล็ก) นั้นมีช่องทางลับที่ซ่อนอยู่ และเป็นสาเหตุที่ทำให้กระแสน่ำอุ่นจากภายนอกไหลผ่านเข้าไปข้างในภูเขาน้ำแข็งมหึมาก้อนนี้ ก่อให้เกิดการละลายอย่างรวดเร็วเกินคาด  ช่องทางลับที่ว่านั้นมีความกว้างถึง 5 กิโลเมตร และลอดผ่านภูเขาน้ำแข็งก้อนนี้ไปทั่ว แถมยังเจาะช่องทางเป็นอุโมงค์ให้กระแสน้ำอุ่นไหลผ่านได้อีกหลายทาง
 
ผู้ที่ทำการศึกษาพฤติกรรมของภูเขาน้ำแข็ง อย่างนายเจสัน โรเบิร์ตส์ นักภูเขาน้ำแข็งวิทยา แห่งสำนักงานแอนตาร์กติกแห่งออสเตรเลีย อธิบายว่า ที่น่าแปลกใจคือ ภูเขาน้ำแข็งยักษ์แห่งนี้ละลายเร็วที่สุดในเขตแอนตาร์ติกาตะวันออก และเป็นระดับการละลายที่มากกว่าอัตราการละลายเฉลี่ยจากผลกระทบของภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ซึ่งเมื่อศึกษาลึกลงไปก็พบสาเหตุที่แท้จริงว่ามาจากอุโมงค์ใต้ก้อนน้ำแข็งนี่เอง
 
นอกจากนั้นยังพบด้วยว่าตัวการที่ทำลายก้อนน้ำแข็งก้อนนี้ คือ น้ำทะเลที่อยู่โดยรอบทอทแทม กลาเซียร์นั้น อุ่นกว่าน้ำทะเลในบริเวณอื่นถึง 1.5 องศาเซลเซียส นั่นหมายความว่าส่วนต่างอุณหภูมิที่เกิดขึ้นนั้น สามารถละลายน้ำแข็งออกไปได้เป็นจำนวนมหาศาล  พูดง่ายๆ ก็คือ เราไม่สามารถทำให้ก้อนน้ำแข็งขั้วโลกที่ละลายแล้ว ก่อตัวเป็นก้อนน้ำแข็งได้อีกครั้ง และหากก้อนน้ำแข็งเริ่มละลายอย่างรวดเร็วในศตวรรษนี้ ลูกหลานของเราในอีกหลายศตวรรษหน้าก็จะได้รับความเดือดร้อนนั่นเอง
Cr.ภาพ ngthai.com
Cr.https://www.komchadluek.net/news/foreign/203268


(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่