สวัสดีค่ะ
เรามีเรื่องคาใจอยากถามความคิดเห็นคนอื่นว่า เราจะเลือกอะไร ระหว่างความฝัน กับ หน้าที่ลูก
เราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง พอมีพอกิน มีเก็บบ้าง แต่ก็ไม่มาก ตอนนี้เราเรียนจบปริญญาตรีมาแล้ว 2 ปี จริงๆหลังเรียนจบเราตั้งใจจะขอทุนเรียนต่อปริญญาโท ที่ต่างประเทศมาตลอด คิดมาตั้งแต่เข้าปี1ใหม่ๆว่าเราจะต้องไปต่างประเทศสักครั้ง เพราะเราเรียนด้านภาษามา อยากพูด อยากสื่อสารกับเจ้าของภาษาให้ดีกว่านี้ จึงคิดว่าเดี๋ยวทำงานสัก1ปีให้ได้ค่าตั๋ว และยื่นเรื่องขอทุนไปด้วยน่าจะดี เพราะถ้าได้ก็จะไปเลย จะได้มีค่าตั๋ว จิปาถะ ไม่ต้องเดือดร้อนใคร
แต่กลับกลายเป็นว่าเราต้องช่วยทางบ้านผ่อนหนี้รถเดือนละหมื่น ซึ่งต้องใช้เวลาถึง7ปี ถึงจะผ่อนหมด กว่าจะผ่อนรถหมด เราก็อายุ30แล้ว โอกาสที่จะได้ทุนก็น้อยลง เพราะส่วนใหญ่เขาจะให้ทุนกับคนที่ยังอายุน้อยมากกว่า เรื่องนี้เริ่มจากที่ตอนแรกทางพ่อแม่และพี่คุยกันเองว่าจะผ่อนด้วยกัน แต่เพราะพี่เราไปกู้เงินมาร่วมทำธุรกิจกับที่บ้านกับดาวท์รถ เงินเลยไม่พอส่งค่างวดแต่ละเดือน และธุรกิจที่ว่าร่วมกันทำก็เงินไม่ค่อยดี
ทั้งที่รถก็ไม่ใช่ชื่อของเราด้วยซ้ำ เป็นชื่อพี่ บางทีเราก็คิดว่า พี่เราออกรถมาเพื่อให้พ่อแม่ใช้ก็ดีแล้ว แต่อีกใจก็คิดว่าทำไมเราต้องมานั่งผ่อนของที่ไม่ใช่ของเราด้วย เราเคยคิดที่จะทำงานเสริมเพื่อที่จะมีเงินมาผ่อนรถให้หมดไวๆ เราจะได้ไปตามทางของตัวเองบ้าง แต่ก็คิดอีกว่าทำไมเราต้องเหนื่อยทำไมขนาดนั้น
เรื่องที่เราอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ เราเคยเกริ่นไปกับคนที่บ้านแล้ว แต่แม่กลับบอกว่า พี่อยากให้เราทำงานช่วยผ่อนรถก่อน แล้วค่อยว่ากัน ตอนนั้นในใจเราร้องไห้เลยค่ะ ทำไมคนที่บ้านดูเห็นใจพี่เรา ที่ไม่มีใครส่งค่ารถให้ แต่ทำไมไม่มีใครสนใจความฝันของเราเลย เรื่องผ่อนรถนี้มันไม่เกี่ยวกับเราตั้งแต่แรก ถามตัวเองอยู่ทุกวันว่าทำไม
เรื่องนี้เราไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ หรืออย่างไร บางคนอาจคิดว่าแค่เรื่องผ่อนรถ ก็แค่แป๊บเดียว เรียนต่อเมื่อไรก็คงได้ แต่สำหรับเรามันคือเรื่องใหญ่ที่ค้างคาใจมาตลอด
ระหว่างความฝันกับหน้าที่ลูกที่ดี ควรเลือกอะไร
เรามีเรื่องคาใจอยากถามความคิดเห็นคนอื่นว่า เราจะเลือกอะไร ระหว่างความฝัน กับ หน้าที่ลูก
เราเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง พอมีพอกิน มีเก็บบ้าง แต่ก็ไม่มาก ตอนนี้เราเรียนจบปริญญาตรีมาแล้ว 2 ปี จริงๆหลังเรียนจบเราตั้งใจจะขอทุนเรียนต่อปริญญาโท ที่ต่างประเทศมาตลอด คิดมาตั้งแต่เข้าปี1ใหม่ๆว่าเราจะต้องไปต่างประเทศสักครั้ง เพราะเราเรียนด้านภาษามา อยากพูด อยากสื่อสารกับเจ้าของภาษาให้ดีกว่านี้ จึงคิดว่าเดี๋ยวทำงานสัก1ปีให้ได้ค่าตั๋ว และยื่นเรื่องขอทุนไปด้วยน่าจะดี เพราะถ้าได้ก็จะไปเลย จะได้มีค่าตั๋ว จิปาถะ ไม่ต้องเดือดร้อนใคร
แต่กลับกลายเป็นว่าเราต้องช่วยทางบ้านผ่อนหนี้รถเดือนละหมื่น ซึ่งต้องใช้เวลาถึง7ปี ถึงจะผ่อนหมด กว่าจะผ่อนรถหมด เราก็อายุ30แล้ว โอกาสที่จะได้ทุนก็น้อยลง เพราะส่วนใหญ่เขาจะให้ทุนกับคนที่ยังอายุน้อยมากกว่า เรื่องนี้เริ่มจากที่ตอนแรกทางพ่อแม่และพี่คุยกันเองว่าจะผ่อนด้วยกัน แต่เพราะพี่เราไปกู้เงินมาร่วมทำธุรกิจกับที่บ้านกับดาวท์รถ เงินเลยไม่พอส่งค่างวดแต่ละเดือน และธุรกิจที่ว่าร่วมกันทำก็เงินไม่ค่อยดี
ทั้งที่รถก็ไม่ใช่ชื่อของเราด้วยซ้ำ เป็นชื่อพี่ บางทีเราก็คิดว่า พี่เราออกรถมาเพื่อให้พ่อแม่ใช้ก็ดีแล้ว แต่อีกใจก็คิดว่าทำไมเราต้องมานั่งผ่อนของที่ไม่ใช่ของเราด้วย เราเคยคิดที่จะทำงานเสริมเพื่อที่จะมีเงินมาผ่อนรถให้หมดไวๆ เราจะได้ไปตามทางของตัวเองบ้าง แต่ก็คิดอีกว่าทำไมเราต้องเหนื่อยทำไมขนาดนั้น
เรื่องที่เราอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ เราเคยเกริ่นไปกับคนที่บ้านแล้ว แต่แม่กลับบอกว่า พี่อยากให้เราทำงานช่วยผ่อนรถก่อน แล้วค่อยว่ากัน ตอนนั้นในใจเราร้องไห้เลยค่ะ ทำไมคนที่บ้านดูเห็นใจพี่เรา ที่ไม่มีใครส่งค่ารถให้ แต่ทำไมไม่มีใครสนใจความฝันของเราเลย เรื่องผ่อนรถนี้มันไม่เกี่ยวกับเราตั้งแต่แรก ถามตัวเองอยู่ทุกวันว่าทำไม
เรื่องนี้เราไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ หรืออย่างไร บางคนอาจคิดว่าแค่เรื่องผ่อนรถ ก็แค่แป๊บเดียว เรียนต่อเมื่อไรก็คงได้ แต่สำหรับเรามันคือเรื่องใหญ่ที่ค้างคาใจมาตลอด