งูพิษพร้อมเขี้ยวในอุจจาระมนุษย์
เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าการค้นพบสำคัญๆ ของนักโบราณคดี บางครั้งก็จะเกิดขึ้นในที่ที่ไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นการพบดาบโบราณในท่อน้ำทิ้ง หรือการพบสุสานโบราณในระหว่างการสร้างบ้าน
ล่าสุดนี้เองเหล่านักโบราณคดีมีการค้นพบที่สำคัญในที่แปลกอีกครั้ง เมื่อพวกเขาได้ทำการค้นพบซากงูแบบที่ยังมีเขี้ยวอยู่ด้วย ในฟอสซิลอุจจาระมนุษย์ ที่มีอายุมากกว่า 1,500 ปี
การค้นพบสุดแปลกนี้เกิดขึ้นที่แห่งโบราณคดีทางตะวันตกเฉียงใต้ของเท็กซัส สถานที่ซึ่งในอดีตเคยมีการค้นพบวัตถุโบราณอย่างรองเท้าแตะ และตะกร้าทอจากเส้นใยพืชจำนวนมาก ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางโบราณคดีของเท็กซัสมาอย่างยาวนาน
เหตุผลที่นักโบราณคดีตรวจสอบอุจจาระของมนุษย์โบราณนั้นมีเหตุผลหลักๆ อยู่ที่การเรียนรู้สุขภาพและอาหารการกินของคนในอดีต ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้จากการตรวจสอบสารต่างๆ ที่อยู่ในของเสียจากร่างกาย การตรวจสอบอุจจาระที่ว่ายังทำให้เราทราบด้วยว่าเจ้าของอุจจาระนี้เคยทานดอกไม้จากต้นยัคคาด้วย
อย่างไรก็ตามการที่นักโบราณพบซากงูในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายมาก เพราะแม้ว่าพวกเขาจะทราบว่าคนในสมัยนั้นกล้าพอที่จะกินสัตว์ฟันแทะอย่างหนูโดยที่ไม่ได้ปรุงหรือถลกหนังก็ตาม แต่งูนั้นเป็นสัตว์ที่มนุษย์ทราบกันว่าตั้งแต่โบราณว่ามีพิษ และพวกเราก็หลีกเลี่ยงที่จะกินงูมาค่อนข้างนานแล้ว
อ้างอิงจากเขี้ยวงูที่พบ นักโบราณคดีก็เชื่อว่างูที่โดนกินนั้นน่าจะเป็นงูพิษในตระกูลงูหางกระดิ่ง ซึ่งพบได้ง่ายในพื้นที่ แถมดูจากปริมาณและสภาพของเกล็ดที่ยังคงหรืออยู่แล้ว นักโบราณคดียังเชื่อว่างูดังกล่าวถูกกินทั้งตัว โดยที่ไม่ผ่านการปรุง หรือถอดเกล็ด ลักษณะการกินที่ทั้งแปลกและอันตรายนี้ตามปกติจะไม่เกิดขึ้นแม้คนในพื้นที่จะอดอยาก และแม้จะมีการกินงูเกิดขึ้นจริงๆ โดยมากแล้วคนในสมัยนั้นก็มักจะเลือกงูที่ไม่มีพิษ และปรุงก่อนที่จะกินด้วย
ดังนั้นทีมนักโบราณคดีจึงมองว่าการกินงูพิษดิบๆ ที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมของคนสมัยก่อนมากกว่า อย่างไรก็ตามเรื่องในจุดนี้เองยังคงเป็นเพียงแค่ทฤษฎีที่ไม่มีหลักฐานยืนยันของทีมนักโบราณคดีเท่านั้น
ที่มา nationalgeographic, allthatsinteresting และ smithsonianmag
Cr.
https://www.catdumb.com/rattlesnake-in-coprolite-378/ By เหมียวศรัทธา
ไขกระดูกของสัตว์
มีรายงานวิจัยในวารสารความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จากนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ ในอิสราเอลและนักวิชาการจากสเปน เปิดเผยหลักฐานเกี่ยวกับเมนูอาหารของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อประมาณ 400,000 ปีที่แล้ว ซึ่งก็คือไขกระดูกของสัตว์ และบ่งชี้ว่ามนุษย์โบราณมีการเก็บรักษาและชะลอการบริโภคอาหารไว้ยาวนาน
หลักฐานเหล่านี้พบในถ้ำ Qesem ใกล้กรุงเทลอาวีฟ ผลการวิจัยเผยว่าประชากรยุคหินตอนต้นนั้นมีกรรมวิธีรักษากระดูกสัตว์ได้นานถึง 9 สัปดาห์ก่อนที่จะกินไขกระดูกภายในถ้ำ Qesem ซึ่งไขกระดูกจากสัตว์ถือเป็นแหล่งโภชนาการและเป็นประเภทของอาหารที่สำคัญในยุคก่อนประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสังคมเศรษฐกิจของมนุษย์ที่เคยอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้ โดยเฉพาะการปรับตัวของมนุษย์ยุคหิน
นอกจากนี้ ทีมวิจัยเผยว่าส่วนของกระดูกนั้นถูกนำไปเป็นภาชนะที่เก็บรักษาไขกระดูกไว้นาน จนกว่าจะถึงเวลาที่จะถอดผิวแห้งแตกของกระดูกเพื่อกินไขกระดูก แสดงให้เห็นว่าเมื่อ 420,000-200,000 ปีก่อน มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่อยู่ในถ้ำ Qesem มีความซับซ้อนและฉลาดในการรักษาอาหารของตนภายใต้เงื่อนไขเฉพาะและเมื่อถึงเวลาก็จะนำออกมาบริโภค นอกจากนี้ยังพบหลักฐานการใช้ไฟเป็นประจำเพื่อปรุงอาหารย่างเนื้อสัตว์ด้วย.
Cr. Dr. Ruth Blasco/AFTAU
Cr.
https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1682820
ผึ้งและน้ำผึ้ง
คนโบราณรู้จักลิ้มรสน้ำผึ้งนานนับหมื่นปีแล้ว มีภาพวาดของยุคเมโซลิกธิก (Mesolithic) บนผนังถ้ำที่ Alto mira ในประเทศสเปนซึ่งอายุประมาณ 9,000 ปี รูปวาดนั้นแสดงให้เห็นคนยุคหินกำลังปีนขึ้นไปตีรังผึ้งที่อยู่ในโพรงตามธรรมชาติและเก็บน้ำผึ้งใส่หม้อดินไว้กินกัน แสดงให้เห็นว่า น้ำผึ้งเป็นอาหารที่มีความหวานจากธรรมชาติชนิดแรกที่คนโบราณรู้จักเก็บน้ำมาใช้ ก่อนที่จะรู้จักน้ำตาลจากพืชซึ่งใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
กษัตริย์ Menes แห่งเมืองอบิโดส (Abydos) แห่งอียิปต์ ทรงโปรดให้ผึ้งเป็นสัตว์สัญลักษณ์แห่งอาณาจักรของพระองค์ เพราะผึ้งช่วยผสมเกสรดอกไม้ ทำให้ผู้คนในแผ่นดินของพระองค์มีผลไม้บริโภคอย่างอุดมสมบูรณ์
และคนอียิปต์ก็รู้อีกว่านอกจากน้ำผึ้งจะมีคุณค่าทางอาหารแล้ว มันยังสามารถรักษาโรคบางชนิด และเป็นเครื่องสำอางได้ด้วย กษัตริย์โรมันในสมัยโบราณทรงโปรดปรานการดองศีรษะของศัตรูในน้ำผึ้ง เพราะน้ำผึ้งสามารถป้องกันของสดไม่ให้เน่าเปื่อยได้เป็นเวลานาน ประวัติศาสตร์ยังได้บันทึกอีกว่า ชาวอียิปต์เป็นชนชาติแรกที่รู้จักนำผึ้งมาเลี้ยง และจีนเป็นเอเชียชาติแรกที่รู้จักเลี้ยงผึ้ง
นอกจากให้น้ำผึ้งที่เป็นอาหารแล้ว ยังให้ไขผึ้งหรือขี้ผึ้งที่ใช้ทำเทียนสำหรับจุดบูชาเทพเจ้าและให้แสงสว่างอีกด้วย ประโยชน์อันมหาศาลที่ได้จากผึ้งคือความอุดมสมบรูณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหาร อันเป็นผลงานของผึ้งที่ช่วยผสมเกสรให้พืชนานาชนิดมีลูกผลดก และขยายพืชพันธุ์ออกไปได้มากมาย
Cr.
https://www.oocities.org/watisfarm/kvapanmakongbee.htm
ล่าสลอธยักษ์เป็นอาหาร
จากรายงานผลการศึกษา ฟอลซิลของสลอธยักษ์ ที่ถูกค้นพบภายในถ้ำใต้น้ำแห่งหนึ่งในประเทศเม็กซิโก ทำให้เราได้ทราบว่า โลกใบนี้เคยมีสัตว์ดึกดำบรรพ์อย่าง สลอธยักษ์ (Giant Ground Sloth) อยู่จริง โดยพวกมันมีชีวิตอยู่เมื่อ 35 ล้านปีก่อน ในแถบอเมริกาใต้ ก่อนที่จะอพยพขึ้นมาอเมริกาเหนือเมื่อ 8 ล้านปีก่อน และได้สูญพันธุ์ไปเมื่อ 11,700 ปีก่อน จากสภาพอากาศของโลกในช่วงปลายยุคน้ำแข็ง ข้อมูลนี้ได้เผยแพร่ไว้ในวารสาร Science Advances เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2018
สลอธยักษ์ คือสัตว์กินพืชเลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกา พวกมันไม่ได้อาศัยอยู่บนต้นไม้เหมือนสลอธในปัจจุบัน เนื่องจากพวกมันมีขนาดตัวที่ใหญ่เกินไป เมื่อยืนสองขาจะสูงถึง 3 เมตร เมื่อโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ตัวละ 1 ตัน ในน้ำหนักมหาศาลนี้มีมวลกล้ามเนื้อประกอบอยู่เพียง 25% เท่านั้น นอกนั้นจะเป็นไขมันทั้งหมด
มันยังคงเป็นสัตว์ที่ขี้เกียจไม่ต่างจากสลอธในยุคปัจจุบัน ทำให้พวกมันถูกมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ล่าไปเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นสัตว์ไขมันเยอะ
สลอธยักษ์หนึ่งตัว สามารถให้พลังงานได้มากถึง 612,000 แคลอรี่ ขนของมันยังสามารถนำไปทำเป็นเสื้อผ้าใช้สวมใส่แก้หนาวได้ด้วย
ในอดีต สลอธยักษ์ เคยมีมากถึง 500 สายพันธุ์ (ปัจจุบันเหลือเพียง 6 สายพันธุ์และเป็นสายพันธุ์ขนาดเล็กเท่านั้น) แต่สายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า Megatherium (เมกะเธเรียม) นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันมีความสูงกว่า 6 เมตร แต่ยังไม่เคยมีใครพบเห็นฟอสซิลของมันจริงๆ จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า มีสายพันธุ์เมกะเธเรียมอยู่จริง
ที่มา
https://www.livescience.com/56762-giant-ground-sloth.html
Cr.
https://www.flagfrog.com/mega-sloth/ โดย ManoshFiz
แรดถูกล่าและกินโดยมนุษย์
เมื่อเร็วๆ นี้ทีมนักโบราณคดีชาวฟิลิปปินส์และนานาชาติได้ขุดค้นพบซากฟอสซิลแรด ร่วมกับหลักฐานอื่นๆ ที่มีอายุเก่าแก่ถึง 709,000 ปี โดยพบที่จังหวัดกาลิงกา ในหุบเขาคากายัน (Cagayan) บนเกาะลูซอน
ในปี 2014 ทีมนักโบราณคดีนานาชาตินี้มีหัวหน้าโครงการคือ ดร.โธมัส อินกิกโก นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ผลการขุดค้นนี้พบหลักฐานหลายชนิดที่สำคัญคือ ชิ้นส่วนกระดูกแรดและของกะโหลกเกือบสมบูรณ์ทั้งหัว แรดที่พบนี้เป็นสายพันธุ์ Rhinoceros Philippinensis หรือแรดสายพันธุ์ฟิลิปปินส์โบราณ ซึ่งสูญพันธุ์ไปนานแล้ว
นอกจากฟอสซิลแรดแล้ว ยังพบชิ้นส่วนของช้างโบราณ สเตโกดอน (Stegodon sp.) ชิ้นส่วนของกวางสีน้ำตาลสายพันธุ์ฟิลิปปินส์ เต่าน้ำจืด และสัตว์เลื้อยคลาน (คล้ายตัว

) ซึ่งพวกมันได้สูญพันธุ์ไปจากพื้นที่นี้นานแล้วเช่นกันภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงสภาพของภูมิอากาศโลกจากยุคน้ำแข็งสู่ยุคอบอุ่น
ผลจากการวิเคราะห์พบว่า กระดูกแรดหลายชิ้นมีร่องรอยว่าพวกมันถูกล่า และกินโดยมนุษย์ (Butchery/Cut Marks) ซึ่งนักโบราณคดีแยกร่องรอยที่เกิดขึ้นว่าเกิดจากธรรมชาติหรือมนุษย์นั้นโดยสังเกตจากลักษณะของรูปแบบร่องรอย กล่าวคือ ลักษณะของรอยจากมนุษย์จะเป็นรอยตัดลึกลงบนกระดูกและเป็นแนวยาวมีทิศทางไปในทางเดียวกัน บางรอยแสดงการสับเจาะลงไปบนกระดูกอย่างรุนแรง เพื่อเจาะให้กระดูกแตก
ลักษณะดังกล่าวนี้ต่างจากรอยที่เกิดจากธรรมชาติที่มักจะตื้น ไม่มีรอยลึกคม และไม่มีจุดที่แสดงถึงการจงใจสับลงไป สาเหตุที่มนุษย์พยายามทุบสับให้กระดูกแรดแตกนี้ก็เพื่อที่จะกินไขกระดูกด้านใน ซึ่งอุดมไปด้วยไขมัน โปรตีน และสารอาหารต่างๆ และมนุษย์ที่ล่าแรดนี้จัดเป็นกลุ่ม ‘โฮมินิน’ (Homo hominin) สายพันธุ์ของมนุษย์ยุคต้นที่มีวิวัฒนาการมาก่อนหน้าสายพันธุ์มนุษย์ปัจจุบัน
บทความโดย พิพัฒน์ กระแจะจันทร์
Cr.
https://thestandard.co/rhino-fossil-rewrites-the-earliest-human-history-of-the-philippines/
เมนูหรูโรมันโบราณ
ปัจจุบันยังมีนักโบราณคดี และนักวิชาการหลากหลายแขนงศึกษาเรื่องราวความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับเมืองโบราณจากหลักฐานที่ยังพบใหม่อย่างต่อเนื่อง หลักฐานต่างๆ ส่วนหนึ่งถูกรวบรวมนำมาศึกษา บางส่วนก็มักถูกนำมาจัดแสดงกัน ล่าสุด มีการจัดแสดงหลักฐานซึ่งเกี่ยวข้องกับเมืองปอมเปอีในนิทรรศการหัวข้อ Last Supper in Pompeii จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ Ashmolean ในออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ
เมนูหนึ่งที่ถูกจำลองขึ้นในห้องจัดนิทรรศการเป็นห้องสำหรับรับประทานอาหารเย็น หรือที่เรียกว่า “triclinium” ซึ่งชาวโรมันที่มีฐานะดีจะเอนหลังนั่งล้อมกันเข้ามาเพื่อทานอาหาร มื้ออาหารอาจเริ่มต้นด้วยไข่, มะกอก, เพสตรี (Pastry) หรือขนมอบ และบางครั้งก็มีหนูยัดไส้ ซึ่งอาหารที่กลุ่มคนที่มีฐานะในโรมันโบราณนิยมกัน โดยผ่าเครื่องในแล้วยัดไส้ด้วยหมูสับจากนั้นก็นำไปอบ หนู (dormouse) ที่จะนำมาประกอบอาหารเชื่อว่าถูกขุนให้อ้วนก่อนในเหยือกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษให้มันวิ่งเล่นข้างในได้ก่อนที่มันจะถูกนำมาประกอบอาหาร
ยังมีซอสจากปลาซึ่งเรียกว่า “Garum” เป็นซอสที่ถูกราดไปในอาหารแทบจะทุกอย่าง ซอสนี้กระทำโดยหมักอวัยวะของปลาที่ไม่ได้กินแล้วอย่างเช่น หัว หาง ครีบ เครื่องใน เหงือก รวมกันในภาชนะขนาดใหญ่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก็เทน้ำจากการหมักมากิน Garum นี้เป็นที่แพร่หลายไปทั่วจักรวรรดิโรมัน นิทรรศการเกี่ยวกับอาหารในโรมันโบราณนี้มีขึ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2020
อ้างอิง:
Nayeri, Farah. “Stuffed Dormouse and Fish Gut Sauce: The Flavors of Pompeii”. New York Times. Online. Published 7 AUG 2019. Access 8 AUG 2019. <
https://www.nytimes.com/2019/08/07/arts/design/rome-food-last-supper-in-pompeii.html>
Cr.
https://www.silpa-mag.com/culture/article_36874
Cr.ภาพ twitter.com/h
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
อาหารของมนุษย์ในสมัยโบราณ
เป็นเรื่องที่เราทราบกันว่าการค้นพบสำคัญๆ ของนักโบราณคดี บางครั้งก็จะเกิดขึ้นในที่ที่ไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นการพบดาบโบราณในท่อน้ำทิ้ง หรือการพบสุสานโบราณในระหว่างการสร้างบ้าน
ล่าสุดนี้เองเหล่านักโบราณคดีมีการค้นพบที่สำคัญในที่แปลกอีกครั้ง เมื่อพวกเขาได้ทำการค้นพบซากงูแบบที่ยังมีเขี้ยวอยู่ด้วย ในฟอสซิลอุจจาระมนุษย์ ที่มีอายุมากกว่า 1,500 ปี
การค้นพบสุดแปลกนี้เกิดขึ้นที่แห่งโบราณคดีทางตะวันตกเฉียงใต้ของเท็กซัส สถานที่ซึ่งในอดีตเคยมีการค้นพบวัตถุโบราณอย่างรองเท้าแตะ และตะกร้าทอจากเส้นใยพืชจำนวนมาก ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางโบราณคดีของเท็กซัสมาอย่างยาวนาน
เหตุผลที่นักโบราณคดีตรวจสอบอุจจาระของมนุษย์โบราณนั้นมีเหตุผลหลักๆ อยู่ที่การเรียนรู้สุขภาพและอาหารการกินของคนในอดีต ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้จากการตรวจสอบสารต่างๆ ที่อยู่ในของเสียจากร่างกาย การตรวจสอบอุจจาระที่ว่ายังทำให้เราทราบด้วยว่าเจ้าของอุจจาระนี้เคยทานดอกไม้จากต้นยัคคาด้วย
อย่างไรก็ตามการที่นักโบราณพบซากงูในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายมาก เพราะแม้ว่าพวกเขาจะทราบว่าคนในสมัยนั้นกล้าพอที่จะกินสัตว์ฟันแทะอย่างหนูโดยที่ไม่ได้ปรุงหรือถลกหนังก็ตาม แต่งูนั้นเป็นสัตว์ที่มนุษย์ทราบกันว่าตั้งแต่โบราณว่ามีพิษ และพวกเราก็หลีกเลี่ยงที่จะกินงูมาค่อนข้างนานแล้ว
อ้างอิงจากเขี้ยวงูที่พบ นักโบราณคดีก็เชื่อว่างูที่โดนกินนั้นน่าจะเป็นงูพิษในตระกูลงูหางกระดิ่ง ซึ่งพบได้ง่ายในพื้นที่ แถมดูจากปริมาณและสภาพของเกล็ดที่ยังคงหรืออยู่แล้ว นักโบราณคดียังเชื่อว่างูดังกล่าวถูกกินทั้งตัว โดยที่ไม่ผ่านการปรุง หรือถอดเกล็ด ลักษณะการกินที่ทั้งแปลกและอันตรายนี้ตามปกติจะไม่เกิดขึ้นแม้คนในพื้นที่จะอดอยาก และแม้จะมีการกินงูเกิดขึ้นจริงๆ โดยมากแล้วคนในสมัยนั้นก็มักจะเลือกงูที่ไม่มีพิษ และปรุงก่อนที่จะกินด้วย
ดังนั้นทีมนักโบราณคดีจึงมองว่าการกินงูพิษดิบๆ ที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมของคนสมัยก่อนมากกว่า อย่างไรก็ตามเรื่องในจุดนี้เองยังคงเป็นเพียงแค่ทฤษฎีที่ไม่มีหลักฐานยืนยันของทีมนักโบราณคดีเท่านั้น
ที่มา nationalgeographic, allthatsinteresting และ smithsonianmag
Cr.https://www.catdumb.com/rattlesnake-in-coprolite-378/ By เหมียวศรัทธา
หลักฐานเหล่านี้พบในถ้ำ Qesem ใกล้กรุงเทลอาวีฟ ผลการวิจัยเผยว่าประชากรยุคหินตอนต้นนั้นมีกรรมวิธีรักษากระดูกสัตว์ได้นานถึง 9 สัปดาห์ก่อนที่จะกินไขกระดูกภายในถ้ำ Qesem ซึ่งไขกระดูกจากสัตว์ถือเป็นแหล่งโภชนาการและเป็นประเภทของอาหารที่สำคัญในยุคก่อนประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสังคมเศรษฐกิจของมนุษย์ที่เคยอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้ โดยเฉพาะการปรับตัวของมนุษย์ยุคหิน
นอกจากนี้ ทีมวิจัยเผยว่าส่วนของกระดูกนั้นถูกนำไปเป็นภาชนะที่เก็บรักษาไขกระดูกไว้นาน จนกว่าจะถึงเวลาที่จะถอดผิวแห้งแตกของกระดูกเพื่อกินไขกระดูก แสดงให้เห็นว่าเมื่อ 420,000-200,000 ปีก่อน มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่อยู่ในถ้ำ Qesem มีความซับซ้อนและฉลาดในการรักษาอาหารของตนภายใต้เงื่อนไขเฉพาะและเมื่อถึงเวลาก็จะนำออกมาบริโภค นอกจากนี้ยังพบหลักฐานการใช้ไฟเป็นประจำเพื่อปรุงอาหารย่างเนื้อสัตว์ด้วย.
Cr. Dr. Ruth Blasco/AFTAU
Cr.https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1682820
กษัตริย์ Menes แห่งเมืองอบิโดส (Abydos) แห่งอียิปต์ ทรงโปรดให้ผึ้งเป็นสัตว์สัญลักษณ์แห่งอาณาจักรของพระองค์ เพราะผึ้งช่วยผสมเกสรดอกไม้ ทำให้ผู้คนในแผ่นดินของพระองค์มีผลไม้บริโภคอย่างอุดมสมบูรณ์
และคนอียิปต์ก็รู้อีกว่านอกจากน้ำผึ้งจะมีคุณค่าทางอาหารแล้ว มันยังสามารถรักษาโรคบางชนิด และเป็นเครื่องสำอางได้ด้วย กษัตริย์โรมันในสมัยโบราณทรงโปรดปรานการดองศีรษะของศัตรูในน้ำผึ้ง เพราะน้ำผึ้งสามารถป้องกันของสดไม่ให้เน่าเปื่อยได้เป็นเวลานาน ประวัติศาสตร์ยังได้บันทึกอีกว่า ชาวอียิปต์เป็นชนชาติแรกที่รู้จักนำผึ้งมาเลี้ยง และจีนเป็นเอเชียชาติแรกที่รู้จักเลี้ยงผึ้ง
นอกจากให้น้ำผึ้งที่เป็นอาหารแล้ว ยังให้ไขผึ้งหรือขี้ผึ้งที่ใช้ทำเทียนสำหรับจุดบูชาเทพเจ้าและให้แสงสว่างอีกด้วย ประโยชน์อันมหาศาลที่ได้จากผึ้งคือความอุดมสมบรูณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหาร อันเป็นผลงานของผึ้งที่ช่วยผสมเกสรให้พืชนานาชนิดมีลูกผลดก และขยายพืชพันธุ์ออกไปได้มากมาย
Cr.https://www.oocities.org/watisfarm/kvapanmakongbee.htm
สลอธยักษ์ คือสัตว์กินพืชเลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกา พวกมันไม่ได้อาศัยอยู่บนต้นไม้เหมือนสลอธในปัจจุบัน เนื่องจากพวกมันมีขนาดตัวที่ใหญ่เกินไป เมื่อยืนสองขาจะสูงถึง 3 เมตร เมื่อโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ตัวละ 1 ตัน ในน้ำหนักมหาศาลนี้มีมวลกล้ามเนื้อประกอบอยู่เพียง 25% เท่านั้น นอกนั้นจะเป็นไขมันทั้งหมด
มันยังคงเป็นสัตว์ที่ขี้เกียจไม่ต่างจากสลอธในยุคปัจจุบัน ทำให้พวกมันถูกมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ล่าไปเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นสัตว์ไขมันเยอะ
สลอธยักษ์หนึ่งตัว สามารถให้พลังงานได้มากถึง 612,000 แคลอรี่ ขนของมันยังสามารถนำไปทำเป็นเสื้อผ้าใช้สวมใส่แก้หนาวได้ด้วย
ในอดีต สลอธยักษ์ เคยมีมากถึง 500 สายพันธุ์ (ปัจจุบันเหลือเพียง 6 สายพันธุ์และเป็นสายพันธุ์ขนาดเล็กเท่านั้น) แต่สายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า Megatherium (เมกะเธเรียม) นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันมีความสูงกว่า 6 เมตร แต่ยังไม่เคยมีใครพบเห็นฟอสซิลของมันจริงๆ จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า มีสายพันธุ์เมกะเธเรียมอยู่จริง
ที่มา https://www.livescience.com/56762-giant-ground-sloth.html
Cr.https://www.flagfrog.com/mega-sloth/ โดย ManoshFiz
แรดถูกล่าและกินโดยมนุษย์
เมื่อเร็วๆ นี้ทีมนักโบราณคดีชาวฟิลิปปินส์และนานาชาติได้ขุดค้นพบซากฟอสซิลแรด ร่วมกับหลักฐานอื่นๆ ที่มีอายุเก่าแก่ถึง 709,000 ปี โดยพบที่จังหวัดกาลิงกา ในหุบเขาคากายัน (Cagayan) บนเกาะลูซอน
ในปี 2014 ทีมนักโบราณคดีนานาชาตินี้มีหัวหน้าโครงการคือ ดร.โธมัส อินกิกโก นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ผลการขุดค้นนี้พบหลักฐานหลายชนิดที่สำคัญคือ ชิ้นส่วนกระดูกแรดและของกะโหลกเกือบสมบูรณ์ทั้งหัว แรดที่พบนี้เป็นสายพันธุ์ Rhinoceros Philippinensis หรือแรดสายพันธุ์ฟิลิปปินส์โบราณ ซึ่งสูญพันธุ์ไปนานแล้ว
นอกจากฟอสซิลแรดแล้ว ยังพบชิ้นส่วนของช้างโบราณ สเตโกดอน (Stegodon sp.) ชิ้นส่วนของกวางสีน้ำตาลสายพันธุ์ฟิลิปปินส์ เต่าน้ำจืด และสัตว์เลื้อยคลาน (คล้ายตัว
ผลจากการวิเคราะห์พบว่า กระดูกแรดหลายชิ้นมีร่องรอยว่าพวกมันถูกล่า และกินโดยมนุษย์ (Butchery/Cut Marks) ซึ่งนักโบราณคดีแยกร่องรอยที่เกิดขึ้นว่าเกิดจากธรรมชาติหรือมนุษย์นั้นโดยสังเกตจากลักษณะของรูปแบบร่องรอย กล่าวคือ ลักษณะของรอยจากมนุษย์จะเป็นรอยตัดลึกลงบนกระดูกและเป็นแนวยาวมีทิศทางไปในทางเดียวกัน บางรอยแสดงการสับเจาะลงไปบนกระดูกอย่างรุนแรง เพื่อเจาะให้กระดูกแตก
ลักษณะดังกล่าวนี้ต่างจากรอยที่เกิดจากธรรมชาติที่มักจะตื้น ไม่มีรอยลึกคม และไม่มีจุดที่แสดงถึงการจงใจสับลงไป สาเหตุที่มนุษย์พยายามทุบสับให้กระดูกแรดแตกนี้ก็เพื่อที่จะกินไขกระดูกด้านใน ซึ่งอุดมไปด้วยไขมัน โปรตีน และสารอาหารต่างๆ และมนุษย์ที่ล่าแรดนี้จัดเป็นกลุ่ม ‘โฮมินิน’ (Homo hominin) สายพันธุ์ของมนุษย์ยุคต้นที่มีวิวัฒนาการมาก่อนหน้าสายพันธุ์มนุษย์ปัจจุบัน
บทความโดย พิพัฒน์ กระแจะจันทร์
Cr.https://thestandard.co/rhino-fossil-rewrites-the-earliest-human-history-of-the-philippines/
เมนูหรูโรมันโบราณ
ปัจจุบันยังมีนักโบราณคดี และนักวิชาการหลากหลายแขนงศึกษาเรื่องราวความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับเมืองโบราณจากหลักฐานที่ยังพบใหม่อย่างต่อเนื่อง หลักฐานต่างๆ ส่วนหนึ่งถูกรวบรวมนำมาศึกษา บางส่วนก็มักถูกนำมาจัดแสดงกัน ล่าสุด มีการจัดแสดงหลักฐานซึ่งเกี่ยวข้องกับเมืองปอมเปอีในนิทรรศการหัวข้อ Last Supper in Pompeii จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ Ashmolean ในออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ
เมนูหนึ่งที่ถูกจำลองขึ้นในห้องจัดนิทรรศการเป็นห้องสำหรับรับประทานอาหารเย็น หรือที่เรียกว่า “triclinium” ซึ่งชาวโรมันที่มีฐานะดีจะเอนหลังนั่งล้อมกันเข้ามาเพื่อทานอาหาร มื้ออาหารอาจเริ่มต้นด้วยไข่, มะกอก, เพสตรี (Pastry) หรือขนมอบ และบางครั้งก็มีหนูยัดไส้ ซึ่งอาหารที่กลุ่มคนที่มีฐานะในโรมันโบราณนิยมกัน โดยผ่าเครื่องในแล้วยัดไส้ด้วยหมูสับจากนั้นก็นำไปอบ หนู (dormouse) ที่จะนำมาประกอบอาหารเชื่อว่าถูกขุนให้อ้วนก่อนในเหยือกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษให้มันวิ่งเล่นข้างในได้ก่อนที่มันจะถูกนำมาประกอบอาหาร
ยังมีซอสจากปลาซึ่งเรียกว่า “Garum” เป็นซอสที่ถูกราดไปในอาหารแทบจะทุกอย่าง ซอสนี้กระทำโดยหมักอวัยวะของปลาที่ไม่ได้กินแล้วอย่างเช่น หัว หาง ครีบ เครื่องใน เหงือก รวมกันในภาชนะขนาดใหญ่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก็เทน้ำจากการหมักมากิน Garum นี้เป็นที่แพร่หลายไปทั่วจักรวรรดิโรมัน นิทรรศการเกี่ยวกับอาหารในโรมันโบราณนี้มีขึ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2020
อ้างอิง:
Nayeri, Farah. “Stuffed Dormouse and Fish Gut Sauce: The Flavors of Pompeii”. New York Times. Online. Published 7 AUG 2019. Access 8 AUG 2019. <https://www.nytimes.com/2019/08/07/arts/design/rome-food-last-supper-in-pompeii.html>
Cr. https://www.silpa-mag.com/culture/article_36874
Cr.ภาพ twitter.com/h
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)