ช่วงนี้หลายบริษัทให้พนักงานทยอยกลับมาทำงานที่ออฟฟิศกันแล้ว วันนี้ JobThai Tips เลยอยากชวนเพื่อน ๆ คุยเกี่ยวกับ New Normal ของคนทำงาน ว่าในสถานการณ์ที่การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยังไม่คลี่คลาย 100% การทำงานที่ออฟฟิศจะเป็นอย่างไรกันบ้าง
New Normal คือการดำเนินชีวิตหรือความปกติแบบใหม่ในขณะที่ทั่วโลกเกิดสถานการณ์บังคับ อย่างสถานการณ์ COVID-19 การใส่หน้ากากอนามัยถือเป็นอีก New Normal ของคนไทย หรือการทำงานแบบ Work from Home เป็น New Normal ของหลาย ๆ องค์กรที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งอาจเกิดขึ้นชั่วคราวในขณะที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย โดยคนทำงานจะมี New Normal แบบไหนบ้าง เราก็ได้รวบรวม 5 เรื่องที่คนทำงานอาจต้องเตรียมตัวเมื่อ Back to Work มาฝาก
ปรับเปลี่ยนเวลาเข้า-ออกงาน
หลายบริษัทที่เริ่มให้พนักงานกลับเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศ อาจปรับเวลาการทำงานต่างไปจากเดิมเพื่อลดความเสี่ยงในการเดินทางช่วงเวลาเร่งด่วนและความแออัดของการโดยสารขนส่งสาธารณะ ซึ่งอาจส่งผลให้เราเข้างานสายและเลิกงานช้าลง หรือต้องไปทำงานเช้าขึ้นแต่กลับบ้านไว ซึ่งข้อดีก็คือเรามีเวลาส่วนตัวในตอนเช้าหรือตอนเย็นมากกว่าเดิม ลองใช้เวลานี้เพื่อเอาใจใส่กับตัวเองให้มากขึ้น อาจเป็นการใช้เวลาในการออกกำลังกาย หรือทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพกินเอง ซึ่งจะส่งผลดีในระยะยาวต่อตัวเราแน่ ๆ
รูปแบบและเวลาในการเดินทางที่ไม่เหมือนเดิม
การเว้นระยะห่างในการต่อแถว การลดจำนวนการโดยสารรถไฟฟ้า และการขึ้นลิฟต์ อาจทำให้คนทำงานที่โดยสารขนส่งสาธารณะต้องเผื่อเวลาในการเดินทางไปทำงานมากขึ้น เมื่อถึงวันแรกที่ต้องกลับไปทำงานออฟฟิศ อาจต้องลองตื่นเช้ากว่าปกติ เพื่อจะได้คำนวณระยะเวลาในการเดินทางถูก หากไปเร็วกว่าเวลาเข้างาน วันต่อมาอาจค่อย ๆ เปลี่ยนเวลาให้ช้าลงทีละนิดจนกว่าจะพอดีกับการเดินทางแบบ New Normal
เทคโนโลยีจะกลายมาเป็นอวัยวะที่ 33 อย่างเต็มตัว
เราคงได้เห็นหลายมหาวิทยาลัยมีปรับการทำงานและการเรียนการสอนมาเป็นแบบ Online ทำให้หลายคนต้องใช้เทคโนโลยีเป็นอวัยวะที่ 33 อย่างเต็มตัว รวมถึงการทำงานในช่วงที่ผ่านมา หลาย ๆ คนก็คงคุ้นเคยกับการ Conference Call กันไปแล้ว เมื่อกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ การทำงานและการใช้ชีวิตจะไม่ใช่แบบเดิมแน่นอน เพราะเราอาจจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีให้มากขึ้น ทั้งในการประชุมทีม และรูปแบบการทำงาน รับ-ส่งงาน ซึ่งบริษัทหรือคนทำงานคนไหนยังไม่พร้อมปรับตัวอยู่กับเทคโนโลยี ก็อาจเกิดความลำบากในการทำงานได้
ความถี่ในการทำความสะอาดของใช้มากขึ้น
นอกจากการทำความสะอาดปกติของแม่บ้านและทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวของตัวเองแล้ว ของใช้สำนักงานส่วนกลางอย่าง ปริ๊นเตอร์ หรือเครื่องถ่ายเอกสาร เมื่อใช้เสร็จแล้วก็ควรทำความสะอาดอุปกรณ์เหล่านี้ ให้ผู้ใช้คนถัดไปทุกครั้งเพื่อความสบายใจและความสะอาดในการจับสิ่งของเหล่านั้นด้วย ทำให้สเปรย์แอลกอฮอล์และทิชชูเปียกอาจจะกลายมาเป็นสิ่งของอีกสองอย่างที่ควรมีติดตัวไว้สำหรับการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศแบบ New Normal
ระยะห่างในการใช้ชีวิตปกติ
เราจะมีความห่างเหิน (ทางกายภาพ) กับเพื่อนร่วมงานมากขึ้น หากออฟฟิศใหญ่โต๊ะทำงานก็อาจจะอยู่ห่างกันมากกว่าเดิม หากออฟฟิศเล็กก็อาจจะมีอะไรมากั้นกลางระหว่างเราและเพื่อนร่วมงานไว้ กระทั่งการกินข้าวก็ควรนั่งห่างกัน ไม่แชร์จาน และการสังสรรค์หลังเลิกงานก็ยังไม่ควรทำด้วยเช่นกัน ทำให้การกลับไปกินบ้านใครบ้านมันก็อาจจะกลายเป็น New Normal สำหรับคนทำงานสายปาร์ตี้ก็ได้
การใช้ชีวิตแบบ New Normal นี้บางอย่างอาจจะเกิดกับเราเพียงชั่วคราว อะไรที่เราพอทำได้เพื่อความปลอดภัยก็ควรทำ ในช่วงแรก ๆ อาจเกิดความยากลำบากในการปรับตัวทำอะไรที่เรายังไม่ค่อยชิน แต่ถ้าลองเอาข้อดีมาดู อย่างการงดใช้เงินสดและหันมาใช้จ่ายผ่าน Mobile Banking แทนก็จะช่วยลดปัญหาการกดเงินสดมาไม่พอ เวลาเข้างานที่ช้าลงก็ทำให้เราได้ทำกิจกรรมเพื่อดูแลตัวเองตอนเช้าเยอะขึ้น การไม่สังสรรค์ต่อหลังเลิกงานก็ทำให้เรามีเงินเก็บเยอะขึ้น หรือแม้แต่หลายองค์กรที่ลองให้พนักงานทำงานแบบ Work from Home แล้วการทำงานกลับมีประสิทธิภาพมากขึ้น องค์กรต่าง ๆ ก็อาจจะลองปรับชั่วโมงการทำงานหรือสถานที่ทำงานตลอดไปเลยก็ได้
5 สิ่งที่อาจจะเป็น New Normal ของคนทำงาน
New Normal คือการดำเนินชีวิตหรือความปกติแบบใหม่ในขณะที่ทั่วโลกเกิดสถานการณ์บังคับ อย่างสถานการณ์ COVID-19 การใส่หน้ากากอนามัยถือเป็นอีก New Normal ของคนไทย หรือการทำงานแบบ Work from Home เป็น New Normal ของหลาย ๆ องค์กรที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งอาจเกิดขึ้นชั่วคราวในขณะที่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย โดยคนทำงานจะมี New Normal แบบไหนบ้าง เราก็ได้รวบรวม 5 เรื่องที่คนทำงานอาจต้องเตรียมตัวเมื่อ Back to Work มาฝาก
หลายบริษัทที่เริ่มให้พนักงานกลับเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศ อาจปรับเวลาการทำงานต่างไปจากเดิมเพื่อลดความเสี่ยงในการเดินทางช่วงเวลาเร่งด่วนและความแออัดของการโดยสารขนส่งสาธารณะ ซึ่งอาจส่งผลให้เราเข้างานสายและเลิกงานช้าลง หรือต้องไปทำงานเช้าขึ้นแต่กลับบ้านไว ซึ่งข้อดีก็คือเรามีเวลาส่วนตัวในตอนเช้าหรือตอนเย็นมากกว่าเดิม ลองใช้เวลานี้เพื่อเอาใจใส่กับตัวเองให้มากขึ้น อาจเป็นการใช้เวลาในการออกกำลังกาย หรือทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพกินเอง ซึ่งจะส่งผลดีในระยะยาวต่อตัวเราแน่ ๆ
การเว้นระยะห่างในการต่อแถว การลดจำนวนการโดยสารรถไฟฟ้า และการขึ้นลิฟต์ อาจทำให้คนทำงานที่โดยสารขนส่งสาธารณะต้องเผื่อเวลาในการเดินทางไปทำงานมากขึ้น เมื่อถึงวันแรกที่ต้องกลับไปทำงานออฟฟิศ อาจต้องลองตื่นเช้ากว่าปกติ เพื่อจะได้คำนวณระยะเวลาในการเดินทางถูก หากไปเร็วกว่าเวลาเข้างาน วันต่อมาอาจค่อย ๆ เปลี่ยนเวลาให้ช้าลงทีละนิดจนกว่าจะพอดีกับการเดินทางแบบ New Normal
เราคงได้เห็นหลายมหาวิทยาลัยมีปรับการทำงานและการเรียนการสอนมาเป็นแบบ Online ทำให้หลายคนต้องใช้เทคโนโลยีเป็นอวัยวะที่ 33 อย่างเต็มตัว รวมถึงการทำงานในช่วงที่ผ่านมา หลาย ๆ คนก็คงคุ้นเคยกับการ Conference Call กันไปแล้ว เมื่อกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ การทำงานและการใช้ชีวิตจะไม่ใช่แบบเดิมแน่นอน เพราะเราอาจจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีให้มากขึ้น ทั้งในการประชุมทีม และรูปแบบการทำงาน รับ-ส่งงาน ซึ่งบริษัทหรือคนทำงานคนไหนยังไม่พร้อมปรับตัวอยู่กับเทคโนโลยี ก็อาจเกิดความลำบากในการทำงานได้
นอกจากการทำความสะอาดปกติของแม่บ้านและทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวของตัวเองแล้ว ของใช้สำนักงานส่วนกลางอย่าง ปริ๊นเตอร์ หรือเครื่องถ่ายเอกสาร เมื่อใช้เสร็จแล้วก็ควรทำความสะอาดอุปกรณ์เหล่านี้ ให้ผู้ใช้คนถัดไปทุกครั้งเพื่อความสบายใจและความสะอาดในการจับสิ่งของเหล่านั้นด้วย ทำให้สเปรย์แอลกอฮอล์และทิชชูเปียกอาจจะกลายมาเป็นสิ่งของอีกสองอย่างที่ควรมีติดตัวไว้สำหรับการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศแบบ New Normal
เราจะมีความห่างเหิน (ทางกายภาพ) กับเพื่อนร่วมงานมากขึ้น หากออฟฟิศใหญ่โต๊ะทำงานก็อาจจะอยู่ห่างกันมากกว่าเดิม หากออฟฟิศเล็กก็อาจจะมีอะไรมากั้นกลางระหว่างเราและเพื่อนร่วมงานไว้ กระทั่งการกินข้าวก็ควรนั่งห่างกัน ไม่แชร์จาน และการสังสรรค์หลังเลิกงานก็ยังไม่ควรทำด้วยเช่นกัน ทำให้การกลับไปกินบ้านใครบ้านมันก็อาจจะกลายเป็น New Normal สำหรับคนทำงานสายปาร์ตี้ก็ได้