MSI เป็นแบรนด์ที่หลายๆคนน่าจะคุ้นเคยกันครับในสาย Gaming ที่ออกสินค้ามาค่อนข้างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นฝั่ง PC หรือ Laptops และในครั้งนี้ทาง MSI ได้ออก Gaming Notebook ในตระกูล Bravo ตัวล่าสุดออกมาแล้วโดยจะเป็นการใช้งาน ทีม AMD ทั้งเครื่องไม่ว่าจะเป็น CPU GPU ครับ และได้ใช้งาน 7nm ทั้ง 2 ตัวเลยเช่นกัน ในรุ่นนี้จะเป็นรุ่นที่เปิดตัวใช้งาน AMD ต่อจาก MSI ALPHA 15 ครับ แต่ถ้านับเรื่องของความใหม่แน่นอนว่าตัว BRAVO นั้นจะใหม่กว่าเช่นกัน และในเรื่องของจุดเด่นในรุ่น BRAVO 15 นั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องความบางเบาที่ทำได้ดีกว่ารุ่นอื่นๆเพราะในรุ่นนี้ น้ำหนักเพียง 1.96 เท่านั้น ส่วนทางด้านสเปกก็ใช้งานได้ดีเลยแหละในเรื่องของหน้าจอ 120Hz พร้อมกับ Ryzen 7 4800H และ RX5500M รวมถึงใช้งาน RAM 8 GB 3200MHz ด้วยเช่นกัน และในเรื่องของราคานั้นก็ทำได้ดีเมื่อเทียบกับสเปกและใช้งานต่างๆ ส่วนในการใช้งานจริงนั้นมาอ่านกันได้เลย
MSI BRAVO 15 เปิดตัวมาพร้อมกับ CPU Ryzen 7 4800H ความเร็ว 2.90 – 4.20GHz โดยเป็นแบบ 8 คอร์ 16 เธรด / การ์ดจอ AMD Radeon RX5500M (4GB GDDR6) ใช้งาน RAM 8 GB Bus 3200 MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512 GB แน่นอนว่า ในเรื่องของหน้าจอนั้นมาพร้อมกับขนาด 15.6″ IPS 120 Hz รองรับ Free sync ด้วยทำให้ภาพนั้นลื่นไหลขึ้น และในการเชื่อมต่อไร้สายนั้นใช้ Wi-Fi 6 AX + Bluetooth 5.1 ส่วนการระบายความร้อนนั้นยังคงมาพร้อมกับ Cooler boost 5 ส่วนในเรื่องชองเสียงนั้น ตัวนี้เด่นๆเลยในเรื่องของการรองรับ Hi-Res Audio ที่รองรับเสียงคุณภาพสูงได้ อีกทั้งยังมาพร้อม Nahimic audio ตัวช่วยในการปรับแต่งเสียง ในการเล่นเกมให้ในเรื่องของทิศทางและความชัดเจนมีมิติมากขึ้นกว่าเดิมพอสมควร
MSI BRAVO 15 นั้นมาพร้อมกับ 2 รุ่นสเปกที่แตกต่างกันในเรื่องของ CPU นั้นเองครับ
- Ryzen 5 4600H / Radeon RX5500M / RAM 8GB / SSD 512 GB / จอ 15.6″ IPS 120 Hz ราคา 29,990 บาท
- Ryzen 7 4800H / Radeon RX5500M / RAM 8GB / SSD 512 GB / จอ 15.6″ IPS 120 Hz ราคา 32,990 บาท
UNBOX
- ตัวเครื่อง MSI BRAVO 15
- ที่ชาร์จ ADAPTOR 180W
- คู่มือ ในการใช้งาน และ รายละเอียดรับประกัน
DESIGN
ทางด้านงานออกแบบนั้นยังคงเอกลักษณ์ของค่ายนี้ได้ดีในเรื่องของรูปทรงงานออกแบบครับ ส่วนในรุ่นนี้จะเป็นรุ่น BRAVO ที่จะเปลี่ยนโลโก้อะไรให้แตกต่างกับรุ่นทั่วไปครับ จะเป็นโลโก้นกธันเดอร์เบิร์ด ที่เป็นสัญลักษณ์ที่แตกต่างกับรุ่นทั่วไปชัดเจนครับ แต่ในฝาหลังอันนี้จะไม่ได้สีแสงไฟอะไรครับแต่โลโก้นกจริงๆ มันจะเป็นสีเขียวแบบในตัว Wallpaper ครับ ทางด้านวัสดุนั้นเป็นโทนสีดำทั้งเครื่องตัดกับสีแดงตรงคีย์บอร์ด วัสดุเป็นโลหะปัดลายสวยงามในฝาหลังครับ ตัดกับโลโก้สีเงินได้ดี และลวดลายแบบนี้เราคุ้นเคยกันดีในหลายๆรุ่นก่อนหน้าของ MSI ครับ ส่วนอีกจุดเด่นคงไม่พ้นในเรื่องของน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา 1.96 kg. แม้จะเป็นสายเกมมิ่งในราคาไม่แพง และ ความหนากำลังดี
ดีไซน์ในภาพรวมนั้นค่อนข้างเรียบๆครับ โทนสีดำทั้งหมดดีไซน์ยังคงไม่ได้หนีจากรุ่นอื่นๆของตระกูลนี้เท่าไรนักงานประกอบวัสดุอะไรอยู่ในระดับที่น่าพอใจแม้จะไม่ได้รู้สึกแบบรุ่นพี่ตัวอื่นๆแต่ถ้ามองในเรทราคานี้กับคู่แข่งตัวอื่นๆก็ถือว่าใช้งานได้ค่อนข้างพอใจครับ ฝาหลังเรียบๆวัสดุสีดำ พร้อมกับข้างในก็ใช้งานวัสดุแบบเดียวกันและตีดด้วยคีย์บอร์ดสีแดงทั้งหมด ไม่สามารถเปลี่ยนสีอะไรได้นะครับ ส่วนขอบหน้าจอก็ทำได้บางขึ้นเยอะพอสมควรแต่ขอบบนนั้นยังอยู่เป็นเพื่อนที่สำหรับ กล้องหน้าพร้อมกับตัวไมค์ ครับและโลโก้ MSI ตรงข้างในเป็นสีดำเรียบๆครับไม่เด่นเท่าไร
ด้านในนั้นด้านบนส่วนคีย์บอร์ดนั้นไม่มีช่องระบายอากาศ หรือดูดอากาศเข้าอะไรครับเป็นพื้นที่เรียบๆพอสมควรและการระบายความร้อนจะออกไปข้างด้านหลังเครื่องเป็นหลักจะเห็นว่าโลโก้ MSI นั้นเป็นสีดำมองยากพอสมควรครับ และตรงแป้นพิมพ์ข้างในนั้นวัสดุเป็นการเล่นลวดลายปัดลายตรงแบบเดียวกับฝาหลังแต่เป็นพลาสติกแทนครับ ตรงส่วนของคีย์บอร์ดนั้นมีความเว้าอะไรเข้าไปเล็กน้อย พร้อมกับปุ่มเปิดปิดเครื่องที่ค่อนข้างแปลกตาเป็นวัสดุเดียวกับฝาทั้งหมดแต่สามารถกดลงไปได้ ไม่ใช่แบบปุ่มลอยขึ้นมาครับพร้อมกับมีไฟสถานะตรงปุ่มมาให้ด้วยครับ และมุมขวาล่างนั้นเป็นการบอกสเปก และชื่อรุ่นในภาพรวมเหมือนกับรุ่นอื่นๆของค่ายนี้ มีพื้นที่สำหรับวางมืออะไรนิดหน่อยแม้จะใช้งานหนักๆตรงนี้ก็ไม่ร้อนเท่าไรด้วยครับ ถือว่าในการจัดการความร้อนในการวางมือส่วนใช้งานนั้นทำได้ค่อนข้างดี
ขอบหน้าจอนั้นทำได้ค่อนข้างบางในส่วนของขอบข้างๆครับ แต่ในด้านบนนั้นมีความหนาอยู่พอประมาณเลยทีเดียวและตัวด้านบนนั้นจะเป็นกล้อง Webcam ความละเอียด HD พร้อมกับไมค์สำหรับอัดเสียงครับ อีกทั้งตัวรอบๆขอบจอนั้นไม่ได้มียางรองอะไรแต่จะเป็นขอบยกสูงขึ้นมารอบขอบจอครับ และจะเห็นว่าหน้าจอนั้นใช้งานแบบด้านทั้งหมดในการเล่นเกมจอด้านนั้นต้องบอกว่าให้ผลที่ค่อนข้างดีในการเล่นเกมและแสงรบกวนนั้นถือว่าน้อยมากด้วยเช่นกัน
ฝาหลังในรุ่นนี้มาพร้อมกับลวดลายใหม่และจะเห็นว่าเป็นรุ่นที่เปิดช่องระบายค่อนข้างเยอะมากๆจนเราสามารถเห็น heat pipe ได้เลยครับทั้งส่วนของตรงกลางเครื่อง และ ขอบซ้ายขวาขอบเครื่องด้านบนครับ และยังเปิดช่องในนุมซ้ายล่างของเครื่องสำหรับการระบายเพิ่มเติมด้วย และด้วยพัดลมตัวนี้ระบายได้ 3 ทิศทางครับจริงๆในเรื่องของการระบายความร้อนถือว่าไม่น่าเป็นห่วงทั้งตัวช่องระบาย พัดลม และ Heat Pipe และในการระบายของ Cooler Boost 5 ที่พัฒนามาต่อเนื่องนั้นเอง ส่วนช่องข้างหลังยิงออก 1 ฝั่งท้ายเครื่องเหมือนกับรุ่นอื่นๆครับ
ในส่วนของการอัพเกรดนั้นเมื่อเปิดฝาหลังออกมาเราจะเห็นว่า Heat Pipe ค่อนข้างเยอะพอสมควรเลยครับ จัดเต็มๆมา 6 เส้นพร้อมกับพัดลมคู่ และ RAM ให้มา 8 GB 3200 MHz และมีช่องว่าง 1 ช่องสำหรับการอัพเกรดครับ ส่วนในการอัพเกรดนั้นจะเห็นว่าตัว SSD M.2 Nvme ที่มาพร้อมกับ 512GB แต่ก็มีอีกช่องให้มาสำหรับการอัพเกรด อีก 1 แถวได้เลยสำหรับเพิ่มความจุถือว่ารองรับการใช้งานได้สบายและอัพเกรดได้ แต่น่าเสียดายไม่มีที่สำหรับ HDD หรือ SSD SATA อะไรพวกนั้นยังไม่รองรับการอัพเกรดนั้นเอง แต่ภาพรวมถือว่างานข้างในดูดีขึ้นและอิสระในการอัพพอสมควรครับ และการระบายความร้อนในการเป่าออกทั้ง 3 ทิศทางนั้นถือว่าเป็นจุดที่ทำได้ดีพอสมควรครับ
SPEC
- CPU AMD RYZEN 7 4800H
- GPU AMD RADEON RX5500M 4GB DDR6
- หน้าจอ 15.6″ FHD (1920×1080), 120 Hz, IPS-Level
- RAM 8 GB DDR4 3200 MHz + รองรับอัพเกรดได้อีก 1 Slot
- SSD M.2 SSD slot (NVMe PCIe Gen3) 512 GB รองรับอัพเกรดได้อีก 1 Slot
- กล้องหน้า HD type (30fps@720p)
- Backlight Keyboard ไฟสีแดง
- Gb LAN 802.11 ax Wi-Fi 6 + Bluetooth v5.1
2x 2W Speaker
- 1x RJ45 1x (4K @ 30Hz) HDMI 2x Type-C USB3.2 Gen1 2x Type-A USB3.2 Gen1
- 180W adapter
- 1.96 kg
PERFORMANCE
ในรุ่นนี้ถือว่าทำได้ดีครับใช้งาน AMD Ryzen 4000 Series มากับเจ้า AMD Ryzen 7 4800H ขนาด 7nm 2.9-4.2 GHz 8 Core/16 Thread L3 Cache 12MB และในส่วนการ์ดจอ นั้นก็ใช้ทีมแดงเช่นกันคือตัว RX5500M มาพร้อมกับ 4 GB GDDR6 และทางด้าน Ram ให้มา 8 GB DDR4 bus 3200 2 ช่องใส่มาให้ 1 ช่องคือ 8 GB รองรับได้ 32 GB สูงสุดนั้นเองครับ ส่วน SSD 512 GB PCIe® Gen3 SSD M.2 ให้มาเรียบร้อยและ มีช่องว่างโล่งๆ 1 ช่องสำหรับใส่เพิ่มได้เลย และมาพร้อมกับ Windows 10 เรียบร้อยพร้อมใช้งานเลยครับ
PCMARK
นั้นทำคะแนนไปได้ค่อนข้างสูงมากๆแน่นอนว่าตัว Ryzen 7 4800H นั้นทำออกมารอบรับพวกนี้อยู่แล้วครับทำ ไปได้ 5341 คะแนน จริงๆพวกระดับราคานี้การใช้งานทั่วไปทำงานคงไม่ต้องกังวลตอบโจทย์ทำงาน ทั่วไปแทบจะทุกรูปแบบครับ ไม่ต้องห่วงเลยแหละ ตั้งแต่ Word ไปยังตัดต่อ เรนเดอร์ 3 มิติ งานเขียนงานวาดแปลนบ้านทุกอย่าง และ รองรับได้สบายด้วยความแรงทั้งหมดถือว่าชิลๆและดีกว่าตัว i7 9750H อยู่ด้วยในคะแนนส่วนนี้ครับ ส่วนในการทดสอบนั้นเป็นอุณหภูมิปกติ เช่นเดิมไม่ได้เปิดแอร์ แต่ถ้าเปิดแอร์นั้นจะได้คะแนนประมาณ 5,400 คะแนนครับ
3DMARK
นั้น ทำคะแนนเรียกได้ว่าสูงในการทดสอบทั้ง 4 แบบนะครับ ตัว FIRESTRIKE EXTREAM ที่เน้นไปเจาะกลุ่มคอมพิวเตอร์ระดับท็อป เกมมิ่ง ทำคะแนนได้ 5857 ถือว่าดี ทดสอบตัวเทพสุด FIRESTRIKE ULTRA 3216 คะแนนในแบบที่โหดๆขึ้นมานั้นเอง ต้องบอกว่าผ่านการทดสอบใช้งานระดับสูงๆของ 3D Mark สบายๆ ส่วนในเรื่องความร้อน แอดมินทดสอบต่อเนื่อง 4 แบบ และในส่วนของ TIME SPY ทำได้ 4428 และ EXTREAM 2101 ครับ แต่เรื่องความร้อนนั้นถือว่าจัดการได้ดีนะ ความร้อน CPU 82 GPU 76
CINEBENCH R20 R15 / SSD
R15 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูง เลยแหละ R15 นั้นทำได้ 1738 cb/ 94.23 FPS ประมวลผลหนักๆได้แบบสบายมากๆและดีกว่าพวกรุ่นก่อนหน้านี้แบบชัดเจนครับผมส่วนเรื่องความร้อนนั้นตามที่แจ้งไป ทดสอบในอุณหภูมิห้อง ไม่มีเปิดแอร์ นะครับผม R20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผลตัวโหดกว่า R15 คะแนนก็อยู่ในระดับสูงเช่นกันครับดีกว่ารุ่นก่อนเยอะมาก และทำได้ดีกว่าตัว i7 9750H ด้วยนะ ในตัว R20 นั้นที่ประมวลผลหนักหน่วงกว่าเดิม ทำคะแนน 4002 CB เลยครับ ดีกว่าพวกรุ่นปกติเยอะเลย และ เช่นเดิมทดสอบในสภาพอากาศปกติไม่มีแอร์ครับ ทำได้ดีทั้ง Single และปกติ ส่วนตัว SSD นั้นทำการอ่านเขียนไป 1624 MB/s และ 916 MB/s ถือว่าค่อนข้างน้อยพอสมควรจริงๆถ้าใส่ตัวเทพเข้ามาน่าจะทำประสิทธิภาพได้ดีกว่านี้ แต่ตัวนี้ก็สามารถใส่ได้เพิ่มอีก 1 แถวนะครับในการอัพครับ ความเร็วประสิทธิภาพอยู่ในระดับเดียวกับคู่แข่งตัวอื่นๆเลย
[SR] รีวิว MSI BRAVO 15 จัดเต็มทีมแดง Ryzen R7 4800H + RX5500M จอ 120Hz น้ำหนักเบา !
MSI เป็นแบรนด์ที่หลายๆคนน่าจะคุ้นเคยกันครับในสาย Gaming ที่ออกสินค้ามาค่อนข้างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นฝั่ง PC หรือ Laptops และในครั้งนี้ทาง MSI ได้ออก Gaming Notebook ในตระกูล Bravo ตัวล่าสุดออกมาแล้วโดยจะเป็นการใช้งาน ทีม AMD ทั้งเครื่องไม่ว่าจะเป็น CPU GPU ครับ และได้ใช้งาน 7nm ทั้ง 2 ตัวเลยเช่นกัน ในรุ่นนี้จะเป็นรุ่นที่เปิดตัวใช้งาน AMD ต่อจาก MSI ALPHA 15 ครับ แต่ถ้านับเรื่องของความใหม่แน่นอนว่าตัว BRAVO นั้นจะใหม่กว่าเช่นกัน และในเรื่องของจุดเด่นในรุ่น BRAVO 15 นั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องความบางเบาที่ทำได้ดีกว่ารุ่นอื่นๆเพราะในรุ่นนี้ น้ำหนักเพียง 1.96 เท่านั้น ส่วนทางด้านสเปกก็ใช้งานได้ดีเลยแหละในเรื่องของหน้าจอ 120Hz พร้อมกับ Ryzen 7 4800H และ RX5500M รวมถึงใช้งาน RAM 8 GB 3200MHz ด้วยเช่นกัน และในเรื่องของราคานั้นก็ทำได้ดีเมื่อเทียบกับสเปกและใช้งานต่างๆ ส่วนในการใช้งานจริงนั้นมาอ่านกันได้เลย
MSI BRAVO 15 เปิดตัวมาพร้อมกับ CPU Ryzen 7 4800H ความเร็ว 2.90 – 4.20GHz โดยเป็นแบบ 8 คอร์ 16 เธรด / การ์ดจอ AMD Radeon RX5500M (4GB GDDR6) ใช้งาน RAM 8 GB Bus 3200 MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512 GB แน่นอนว่า ในเรื่องของหน้าจอนั้นมาพร้อมกับขนาด 15.6″ IPS 120 Hz รองรับ Free sync ด้วยทำให้ภาพนั้นลื่นไหลขึ้น และในการเชื่อมต่อไร้สายนั้นใช้ Wi-Fi 6 AX + Bluetooth 5.1 ส่วนการระบายความร้อนนั้นยังคงมาพร้อมกับ Cooler boost 5 ส่วนในเรื่องชองเสียงนั้น ตัวนี้เด่นๆเลยในเรื่องของการรองรับ Hi-Res Audio ที่รองรับเสียงคุณภาพสูงได้ อีกทั้งยังมาพร้อม Nahimic audio ตัวช่วยในการปรับแต่งเสียง ในการเล่นเกมให้ในเรื่องของทิศทางและความชัดเจนมีมิติมากขึ้นกว่าเดิมพอสมควร
MSI BRAVO 15 นั้นมาพร้อมกับ 2 รุ่นสเปกที่แตกต่างกันในเรื่องของ CPU นั้นเองครับ
- Ryzen 5 4600H / Radeon RX5500M / RAM 8GB / SSD 512 GB / จอ 15.6″ IPS 120 Hz ราคา 29,990 บาท
- Ryzen 7 4800H / Radeon RX5500M / RAM 8GB / SSD 512 GB / จอ 15.6″ IPS 120 Hz ราคา 32,990 บาท
UNBOX
- ตัวเครื่อง MSI BRAVO 15
- ที่ชาร์จ ADAPTOR 180W
- คู่มือ ในการใช้งาน และ รายละเอียดรับประกัน
DESIGN
ทางด้านงานออกแบบนั้นยังคงเอกลักษณ์ของค่ายนี้ได้ดีในเรื่องของรูปทรงงานออกแบบครับ ส่วนในรุ่นนี้จะเป็นรุ่น BRAVO ที่จะเปลี่ยนโลโก้อะไรให้แตกต่างกับรุ่นทั่วไปครับ จะเป็นโลโก้นกธันเดอร์เบิร์ด ที่เป็นสัญลักษณ์ที่แตกต่างกับรุ่นทั่วไปชัดเจนครับ แต่ในฝาหลังอันนี้จะไม่ได้สีแสงไฟอะไรครับแต่โลโก้นกจริงๆ มันจะเป็นสีเขียวแบบในตัว Wallpaper ครับ ทางด้านวัสดุนั้นเป็นโทนสีดำทั้งเครื่องตัดกับสีแดงตรงคีย์บอร์ด วัสดุเป็นโลหะปัดลายสวยงามในฝาหลังครับ ตัดกับโลโก้สีเงินได้ดี และลวดลายแบบนี้เราคุ้นเคยกันดีในหลายๆรุ่นก่อนหน้าของ MSI ครับ ส่วนอีกจุดเด่นคงไม่พ้นในเรื่องของน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา 1.96 kg. แม้จะเป็นสายเกมมิ่งในราคาไม่แพง และ ความหนากำลังดี
ดีไซน์ในภาพรวมนั้นค่อนข้างเรียบๆครับ โทนสีดำทั้งหมดดีไซน์ยังคงไม่ได้หนีจากรุ่นอื่นๆของตระกูลนี้เท่าไรนักงานประกอบวัสดุอะไรอยู่ในระดับที่น่าพอใจแม้จะไม่ได้รู้สึกแบบรุ่นพี่ตัวอื่นๆแต่ถ้ามองในเรทราคานี้กับคู่แข่งตัวอื่นๆก็ถือว่าใช้งานได้ค่อนข้างพอใจครับ ฝาหลังเรียบๆวัสดุสีดำ พร้อมกับข้างในก็ใช้งานวัสดุแบบเดียวกันและตีดด้วยคีย์บอร์ดสีแดงทั้งหมด ไม่สามารถเปลี่ยนสีอะไรได้นะครับ ส่วนขอบหน้าจอก็ทำได้บางขึ้นเยอะพอสมควรแต่ขอบบนนั้นยังอยู่เป็นเพื่อนที่สำหรับ กล้องหน้าพร้อมกับตัวไมค์ ครับและโลโก้ MSI ตรงข้างในเป็นสีดำเรียบๆครับไม่เด่นเท่าไร
ด้านในนั้นด้านบนส่วนคีย์บอร์ดนั้นไม่มีช่องระบายอากาศ หรือดูดอากาศเข้าอะไรครับเป็นพื้นที่เรียบๆพอสมควรและการระบายความร้อนจะออกไปข้างด้านหลังเครื่องเป็นหลักจะเห็นว่าโลโก้ MSI นั้นเป็นสีดำมองยากพอสมควรครับ และตรงแป้นพิมพ์ข้างในนั้นวัสดุเป็นการเล่นลวดลายปัดลายตรงแบบเดียวกับฝาหลังแต่เป็นพลาสติกแทนครับ ตรงส่วนของคีย์บอร์ดนั้นมีความเว้าอะไรเข้าไปเล็กน้อย พร้อมกับปุ่มเปิดปิดเครื่องที่ค่อนข้างแปลกตาเป็นวัสดุเดียวกับฝาทั้งหมดแต่สามารถกดลงไปได้ ไม่ใช่แบบปุ่มลอยขึ้นมาครับพร้อมกับมีไฟสถานะตรงปุ่มมาให้ด้วยครับ และมุมขวาล่างนั้นเป็นการบอกสเปก และชื่อรุ่นในภาพรวมเหมือนกับรุ่นอื่นๆของค่ายนี้ มีพื้นที่สำหรับวางมืออะไรนิดหน่อยแม้จะใช้งานหนักๆตรงนี้ก็ไม่ร้อนเท่าไรด้วยครับ ถือว่าในการจัดการความร้อนในการวางมือส่วนใช้งานนั้นทำได้ค่อนข้างดี
ขอบหน้าจอนั้นทำได้ค่อนข้างบางในส่วนของขอบข้างๆครับ แต่ในด้านบนนั้นมีความหนาอยู่พอประมาณเลยทีเดียวและตัวด้านบนนั้นจะเป็นกล้อง Webcam ความละเอียด HD พร้อมกับไมค์สำหรับอัดเสียงครับ อีกทั้งตัวรอบๆขอบจอนั้นไม่ได้มียางรองอะไรแต่จะเป็นขอบยกสูงขึ้นมารอบขอบจอครับ และจะเห็นว่าหน้าจอนั้นใช้งานแบบด้านทั้งหมดในการเล่นเกมจอด้านนั้นต้องบอกว่าให้ผลที่ค่อนข้างดีในการเล่นเกมและแสงรบกวนนั้นถือว่าน้อยมากด้วยเช่นกัน
ฝาหลังในรุ่นนี้มาพร้อมกับลวดลายใหม่และจะเห็นว่าเป็นรุ่นที่เปิดช่องระบายค่อนข้างเยอะมากๆจนเราสามารถเห็น heat pipe ได้เลยครับทั้งส่วนของตรงกลางเครื่อง และ ขอบซ้ายขวาขอบเครื่องด้านบนครับ และยังเปิดช่องในนุมซ้ายล่างของเครื่องสำหรับการระบายเพิ่มเติมด้วย และด้วยพัดลมตัวนี้ระบายได้ 3 ทิศทางครับจริงๆในเรื่องของการระบายความร้อนถือว่าไม่น่าเป็นห่วงทั้งตัวช่องระบาย พัดลม และ Heat Pipe และในการระบายของ Cooler Boost 5 ที่พัฒนามาต่อเนื่องนั้นเอง ส่วนช่องข้างหลังยิงออก 1 ฝั่งท้ายเครื่องเหมือนกับรุ่นอื่นๆครับ
ในส่วนของการอัพเกรดนั้นเมื่อเปิดฝาหลังออกมาเราจะเห็นว่า Heat Pipe ค่อนข้างเยอะพอสมควรเลยครับ จัดเต็มๆมา 6 เส้นพร้อมกับพัดลมคู่ และ RAM ให้มา 8 GB 3200 MHz และมีช่องว่าง 1 ช่องสำหรับการอัพเกรดครับ ส่วนในการอัพเกรดนั้นจะเห็นว่าตัว SSD M.2 Nvme ที่มาพร้อมกับ 512GB แต่ก็มีอีกช่องให้มาสำหรับการอัพเกรด อีก 1 แถวได้เลยสำหรับเพิ่มความจุถือว่ารองรับการใช้งานได้สบายและอัพเกรดได้ แต่น่าเสียดายไม่มีที่สำหรับ HDD หรือ SSD SATA อะไรพวกนั้นยังไม่รองรับการอัพเกรดนั้นเอง แต่ภาพรวมถือว่างานข้างในดูดีขึ้นและอิสระในการอัพพอสมควรครับ และการระบายความร้อนในการเป่าออกทั้ง 3 ทิศทางนั้นถือว่าเป็นจุดที่ทำได้ดีพอสมควรครับ
SPEC
- CPU AMD RYZEN 7 4800H
- GPU AMD RADEON RX5500M 4GB DDR6
- หน้าจอ 15.6″ FHD (1920×1080), 120 Hz, IPS-Level
- RAM 8 GB DDR4 3200 MHz + รองรับอัพเกรดได้อีก 1 Slot
- SSD M.2 SSD slot (NVMe PCIe Gen3) 512 GB รองรับอัพเกรดได้อีก 1 Slot
- กล้องหน้า HD type (30fps@720p)
- Backlight Keyboard ไฟสีแดง
- Gb LAN 802.11 ax Wi-Fi 6 + Bluetooth v5.1
2x 2W Speaker
- 1x RJ45 1x (4K @ 30Hz) HDMI 2x Type-C USB3.2 Gen1 2x Type-A USB3.2 Gen1
- 180W adapter
- 1.96 kg
PERFORMANCE
ในรุ่นนี้ถือว่าทำได้ดีครับใช้งาน AMD Ryzen 4000 Series มากับเจ้า AMD Ryzen 7 4800H ขนาด 7nm 2.9-4.2 GHz 8 Core/16 Thread L3 Cache 12MB และในส่วนการ์ดจอ นั้นก็ใช้ทีมแดงเช่นกันคือตัว RX5500M มาพร้อมกับ 4 GB GDDR6 และทางด้าน Ram ให้มา 8 GB DDR4 bus 3200 2 ช่องใส่มาให้ 1 ช่องคือ 8 GB รองรับได้ 32 GB สูงสุดนั้นเองครับ ส่วน SSD 512 GB PCIe® Gen3 SSD M.2 ให้มาเรียบร้อยและ มีช่องว่างโล่งๆ 1 ช่องสำหรับใส่เพิ่มได้เลย และมาพร้อมกับ Windows 10 เรียบร้อยพร้อมใช้งานเลยครับ
PCMARK
นั้นทำคะแนนไปได้ค่อนข้างสูงมากๆแน่นอนว่าตัว Ryzen 7 4800H นั้นทำออกมารอบรับพวกนี้อยู่แล้วครับทำ ไปได้ 5341 คะแนน จริงๆพวกระดับราคานี้การใช้งานทั่วไปทำงานคงไม่ต้องกังวลตอบโจทย์ทำงาน ทั่วไปแทบจะทุกรูปแบบครับ ไม่ต้องห่วงเลยแหละ ตั้งแต่ Word ไปยังตัดต่อ เรนเดอร์ 3 มิติ งานเขียนงานวาดแปลนบ้านทุกอย่าง และ รองรับได้สบายด้วยความแรงทั้งหมดถือว่าชิลๆและดีกว่าตัว i7 9750H อยู่ด้วยในคะแนนส่วนนี้ครับ ส่วนในการทดสอบนั้นเป็นอุณหภูมิปกติ เช่นเดิมไม่ได้เปิดแอร์ แต่ถ้าเปิดแอร์นั้นจะได้คะแนนประมาณ 5,400 คะแนนครับ
3DMARK
นั้น ทำคะแนนเรียกได้ว่าสูงในการทดสอบทั้ง 4 แบบนะครับ ตัว FIRESTRIKE EXTREAM ที่เน้นไปเจาะกลุ่มคอมพิวเตอร์ระดับท็อป เกมมิ่ง ทำคะแนนได้ 5857 ถือว่าดี ทดสอบตัวเทพสุด FIRESTRIKE ULTRA 3216 คะแนนในแบบที่โหดๆขึ้นมานั้นเอง ต้องบอกว่าผ่านการทดสอบใช้งานระดับสูงๆของ 3D Mark สบายๆ ส่วนในเรื่องความร้อน แอดมินทดสอบต่อเนื่อง 4 แบบ และในส่วนของ TIME SPY ทำได้ 4428 และ EXTREAM 2101 ครับ แต่เรื่องความร้อนนั้นถือว่าจัดการได้ดีนะ ความร้อน CPU 82 GPU 76
CINEBENCH R20 R15 / SSD
R15 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูง เลยแหละ R15 นั้นทำได้ 1738 cb/ 94.23 FPS ประมวลผลหนักๆได้แบบสบายมากๆและดีกว่าพวกรุ่นก่อนหน้านี้แบบชัดเจนครับผมส่วนเรื่องความร้อนนั้นตามที่แจ้งไป ทดสอบในอุณหภูมิห้อง ไม่มีเปิดแอร์ นะครับผม R20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผลตัวโหดกว่า R15 คะแนนก็อยู่ในระดับสูงเช่นกันครับดีกว่ารุ่นก่อนเยอะมาก และทำได้ดีกว่าตัว i7 9750H ด้วยนะ ในตัว R20 นั้นที่ประมวลผลหนักหน่วงกว่าเดิม ทำคะแนน 4002 CB เลยครับ ดีกว่าพวกรุ่นปกติเยอะเลย และ เช่นเดิมทดสอบในสภาพอากาศปกติไม่มีแอร์ครับ ทำได้ดีทั้ง Single และปกติ ส่วนตัว SSD นั้นทำการอ่านเขียนไป 1624 MB/s และ 916 MB/s ถือว่าค่อนข้างน้อยพอสมควรจริงๆถ้าใส่ตัวเทพเข้ามาน่าจะทำประสิทธิภาพได้ดีกว่านี้ แต่ตัวนี้ก็สามารถใส่ได้เพิ่มอีก 1 แถวนะครับในการอัพครับ ความเร็วประสิทธิภาพอยู่ในระดับเดียวกับคู่แข่งตัวอื่นๆเลย
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้