[เมื่อผมโดน Lay-off] แชร์เรื่องราวและประสบการณ์การหางานในช่วงโควิด-19

       "คุณเคยรู้สึกแย่หรือรู้สึกท้อแท้กับโชคชะตาของตัวเองบ้างไหม?ผมเองก็เคยรู้สึกแบบนั้น ผมรู้ว่ามันเลวร้ายแค่ไหนกว่าจะผ่านมันมาได้
วันนี้ผมเลยอยากจะขอบอกเล่าเรื่องราวของผมให้ทุกๆท่านได้ลองอ่านกันเผื่อว่าจะมันจะทำให้รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น"
      สวัสดีครับผมเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆคนนึงปีนี้อายุก็เข้าหลักสามสายงานของผมคืองานขายและงานพัฒนาธุรกิจหลายคนอาจมองว่าเป็นงานที่ค่อนข้างสบายแต่ผมว่ามันไม่ง่ายเลยเพราะสายอาชีพนี้ต้องแบกรับภาระหน้าที่สำคัญแก่องค์นั่นก็คือการหาเงินเข้าบริษัทเพื่อให้ยังสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้และทุกภาคส่วนยังคงมีงานทำ แต่เมื่อยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าพวกผมก็จะโดนกดดันและเป็นปราการแรกที่ผู้บริหารต้องพิจารณาว่ามีศักยภาพเพียงพอที่จะประคองธุรกิจของบริษัทต่อไปได้หรือไม่

        เมื่อต้นปีที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสเปลี่ยนงานใหม่ที่ผมรู้สึกว่ามันท้าทายและมีหน้าที่รับผิดชอบที่มากขึ้นกว่างานเดิมนั่นคือการเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ณ ตอนนั้นผมหรือทุกๆคนเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 จะลุกลามบานปลายจนมีผลกระทบมากมายถึงขนาดนี้ 

       วันธรรมดาของต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ขณะที่กำลังประชุมอยู่ทางผู้บริหารแจ้งแก่ผมว่าทางบริษัทไม่สามารถจ้างผมได้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายอีกทั้งไม่มีรายได้เข้ามาเพราะลูกค้าต่างก็พากันชะลอการลงทุนและพยายามลดรายจ่ายให้ได้มากที่สุดภายใต้วิกฤติการณ์เช่นนี้ สาเหตุที่ทางผู้บริหารไม่ทำการจ้างผมต่อไปเนื่องจากผมยังอยู่ในช่วงทดลองงานและในขณะที่แจ้งเป็นช่วง 1 เดือนก่อนผ่านพ้นช่วงทดลองงานทำให้การเลิกจ้างผมทำได้ง่ายกว่าพนักงานที่ทำงานมานานและการไม่จ้างผมต่อไปก็เป็นการลดรายจ่ายของบริษัทที่ทำได้ง่ายที่สุด ซึ่งจุดนี้ถือว่าทางบริษัทได้ทำตามกฎหมายแรงงานอย่างถูกต้องคือให้ผมยังทำงานอยู่ที่บริษัทจนกระทั่งครบกำหนดช่วงทดลองงานและยังได้รับค่าจ้างในอัตราเต็ม 

        หลังจากที่ผมได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด ผมรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางหัว ผมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตของผมจะต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้เห็นหลายๆคนตกงานแล้วก็รู้สึกเห็นใจแต่เมื่อมาเกิดขึ้นกับตัวเองสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวเลยก็คือผมจะทำยังไงต่อไป  ตอนนั้นจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ผมไม่รู้เลยว่าควรจะรู้สึกยังไงดี แล้ววันนั้นผมไม่สามารถทำอะไรต่อได้เลย ไม่มีสติเอาแต่เงียบ ไม่พูดจาและคิดวนไปวนมาว่าทำไมต้องเป็นผม ทำไมๆ แต่คิดในอีกมุมนึงมันไม่ใช่ความผิดจากตัวผมเพราะผมไม่ได้มีความผิดใดๆและบริษัทก็ได้ออกหนังสือผ่านการทดลองงานให้ผมเรียบร้อย ซึ่งจุดนี้ผมเข้าใจสถานการณ์ของบริษัทและยินดีที่จะเดินออกมาเองเพราะคนที่ยังอยู่ต่อก็อาการหนักเช่นกันเพราะพวกเขาโดนลดเงินเดือน 50% แบบไม่มีกรอบระยเวลาที่ชัดเจน ผมคิดว่าการเดินหน้าออกมาหางานทำใหม่ กล้าเผชิญโลกความเป็นจริงจะทำให้ผมแกร่งขึ้น เพราะผมยังเชื่อมั่นว่าศักยภาพของผมยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่

       พอตั้งสติได้ผมเริ่มโทรหาคนที่ไว้ใจแล้วบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นซึ่งทุกคนก็ให้กำลังใจแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผมต้องให้กำลังใจตัวเองให้มากเพราะถ้าเราไม่มีกำลังใจให้กับตัวเองเราก็จะไม่สามารถทำอะไรต่อไปได้เลย

     ผมเก็บเรื่องนี้โดยยังไม่ตัดสินใจบอกครอบครัวเพราะผมคิดว่ายังไม่ควรบอกตอนนี้เนื่องจากทางบ้านก็จะเสียกำลังใจแล้วก็จะทำให้ผมวิตกกังวลมากขึ้นไปอีก ถ้าผมได้งานใหม่แล้วค่อยบอกก็น่าจะดีกว่า

        ภาระกิจแรกผมเริ่มอัพเดท resume ให้สมบูรณ์ที่สุดพร้อมกับอัพเดทประวัติการทำงานในเว็บไซต์หางานทุกเว็บที่ผมมีบัญชีอยู่ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วผมก็เริ่ม Search หาตำแหน่งงานที่ match กับประสบการณ์ของผมและก็ได้ยื่นใบสมัครออนไลน์ไปประมาณเกือบ 40 บริษัท ขณะเดียวกันผมก็ได้ติดต่อไปถึงเจ้านายคนเก่าเพราะก่อนที่ผมจะลาออกจากบริษัทเดิมแล้วมาทำบริษัทปัจจุบัน เขาได้พูดกับผมว่าถ้าอยากกลับมาทำงานก็กลับมาได้นะ แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่ผู้บริหารอีกต่อไปแล้วเพราะกลับไปที่บริษัทแม่แล้วส่งผู้บริหารคนใหม่มา อย่างไรก็ตามเขารับปากว่าจะช่วยพูดกับผู้บริหารคนใหม่ให้ผมได้มีโอกาสเข้าไปคุยอีกครั้งเผื่อว่ามีโอกาสได้กลับไปทำงานที่เดิม 

        พอผมได้โอกาสเข้าไปคุยกับผู้บริหารคนใหม่ก็ทราบว่าเขารู้จักผมมาก่อนหน้าที่จะมาเป็นผู้บริหารที่เมืองไทย แต่เขาก็กังวลว่าผมจะไม่สามารถร่วมงานกับคนที่ยังอยู่ได้เพราะก่อนหน้านั้นเขาได้สอบถามพวกพนักงานคนไทยว่าจะโอเคไหมถ้าผมจะกลับไปทำงานกับพวกเขาอีกครั้ง แน่นอนว่าคำตอบที่ได้แบ่งออกเป็น 2 ทางก็คือมีคนที่ OK กับการทำงานของผมและคนที่ไม่โอเค ส่วนตัวผมก็รู้มาก่อนหน้านะว่ามีคนไม่ชอบสไตล์การทำงานของผม เลยเป็นจุดที่เขาต้องคิดให้รอบคอบและอีกอย่างหนึ่งฐานเงินเดือนของผมได้พุ่งไปไกลแล้ว แต่ผู้บริหารคนนี้อยากจะให้ผมรับเงินเดือนในอัตราสุดท้ายก่อนลาออกจากบริษัท ส่วนตัวผมเองพอทราบดังนั้นก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่และที่ผมมาคุยกับเขาในครั้งนี้ก็เพื่อจะให้เป็นทางเลือกอันดับท้ายที่สุดถ้าผมไม่มีที่ไปจริงๆ

       ย้อนกลับไปตอนที่ผมร่อนเรซูเม่ไปเกือบ 40 บริษัท ก็มีบริษัทน้อยใหญ่แล้วก็พวก Head Hunter โทรเข้ามาแนะนำงานแล้วเสนอโปรไฟล์ของผมให้แก่บริษัทนั้นๆ ด้วยความที่ Job Title ล่าสุดผมทำงานในระดับเมเนจเม้นท์ ก็ไม่ค่อยมีตำแหน่งงานที่เป็นระดับ operation ติดต่อเข้ามามากนัก ก็จะมีแต่ตำแหน่งที่เป็นระดับ Management ติดต่อเข้ามาส่วนใหญ่ ซึ่งก็มีติดต่อเข้ามาประมาณ 5-6 บริษัท แต่เรียกผมไปสัมภาษณ์จริงๆมีอยู่ 3 บริษัท ดังที่ผมจะเล่าต่อไปนี้

        บริษัทแรกทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกเคมีภัณฑ์ทั้งในและนอกประเทศ โดยเป็นบริษัทขนาดกลางๆ ไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็มีกำไรทุกปีซึ่งผมดูจากงบดุลและงบกำไรขาดทุนของบริษัทในเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจมาเบื้องต้น ส่วนตัวผมคิดว่าค่อนข้างมีความมั่นคงถ้าหากมีโอกาสได้ไปทำงานในบริษัทนี้ พอถึงวันสัมภาษณ์ก็มีให้กรอกใบสมัครพร้อมกับการทำแบบทดสอบต่างๆหลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงการสัมภาษณ์กับ HR manager เพื่อแนะนำตัวกับประสบการณ์ในเบื้องต้น ถัดไปก็เป็นการสัมภาษณ์โดยผู้บริหารระดับสูง การพูดคุยผ่านไปได้ด้วยดีแต่กระบวนการสัมภาษณ์ยังไม่เสร็จโดยทางบริษัทต้องการให้ผมเขียน Business plan เพื่อให้บริษัทดูเป็นแนวทางในการเริ่มดำเนินธุรกิจใหม่และต้องนำเสนอทางผู้บริหารในการสัมภาษณ์ครั้งต่อไปด้วยซึ่งตอนนั้นเขาถามว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ผมก็ตอบไปแบบไม่มีความรู้ว่า 2 อาทิตย์

      พอเสร็จจากสัมภาษณ์รอบที่ 1 ผมก็ได้โทรไปสอบถามกับคนรู้จักว่าการที่บริษัทให้ผมเขียน Business plan มันมีนัยยะหรือความหมายแฝงอะไรบ้างซึ่งส่วนใหญ่ก็ตอบไปในแนวทางเดียวกันว่าบริษัทจะดูแนวคิดเราถ้ามันเวิร์คก็สามารถใช้ไอเดียของผมไปต่อยอดธุรกิจเขาได้โดยที่เขาอาจจะไม่จ้าง ซึ่งต้องระวังให้ดี แต่ถ้ามองในอีกมุมหากว่า Business plan ของผมเป็นที่น่าสนใจทางบริษัทก็อาจจะรับผมไปเป็นหัวหน้าทีมให้แก่ธุรกิจใหม่นั้นๆ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความพยายามและความกดดันเพราะต้องแบกความคาดหวังของบริษัทไว้ด้วย ผมเลยชั่งใจอยู่ว่าจะทำให้ดีที่สุดหรือว่าจะทำแบบไอเดียคร่าวๆไปนำเสนอในอีก 2 อาทิตย์กันแน่

       บริษัทที่ 2 ทำธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประยุกต์ เป็นบริษัทคนไทยมีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตัวเองซึ่งไม่ได้ใหญ่มาก โดยทาง HR manager ต้องการรับในตำแหน่ง Sales and Marketing Manager  เลยสนใจในประสบการณ์ทำงานของผมแล้วก็เรียกให้ไปสัมภาษณ์แบบกะทันหัน ในขณะที่สัมภาษณ์นั้นผมรู้สึกว่ามันไม่เชิงเป็นการสัมภาษณ์แต่มันเหมือนเป็นการพูดคุยในประสบการณ์ของผม โดยให้ผมเล่าอธิบายสิ่งที่ผมทำและเรียนรู้มามากกว่า มีการพูดคุยและแชร์เรื่องทั่วไปเกี่ยวกับสถานการณ์ของเศรษฐกิจในขณะนี้ จากนั้นทางเจ้าของบริษัทเองก็ถามคำถามปลายเปิดกับผมซึ่งผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะตอบยากมากๆ เพราะผมไม่รู้ว่าในความต้องการคำตอบนั้นของเขาต้องการคนแบบไหนไปร่วมงานด้วย ผมเลยตอบไปตามหลักการและเหตุผลที่ควรจะเป็นโดยอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวและสิ่งรอบตัวที่ได้เห็นผ่านตามาบ้าง หลังจากเสร็จการสัมภาษณ์ผมรู้สึกว่าผมแพ้ให้กับการสัมภาษณ์กับบริษัทนี้ซึ่งก็เหมือนผมรู้ตัวว่าตรงไหนผมทำได้ไม่ดี ตอบได้ไม่ดี จึงไม่ได้คาดหวังกับบริษัทนี้สักเท่าไหร่

      มาถึงบริษัทที่ 3  บริษัทนี้เป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่มีการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายซึ่งมีกำไรต่อปีสูงมากจากการที่ผมเข้าไปดูงบดุลและงบกำไรขาดทุนของบริษัทมาซึ่งผมคิดว่าค่อนข้างมีความมั่นคงสูงมากๆ ในส่วนของตำแหน่งและความรับผิดชอบของผมนั้นก็จะอยู่ในภาคธุรกิจพลังงานไฟฟ้าและต้องติดต่อกับหน่วยงานของรัฐบาลและเอกชนรายใหญ่ๆทั้งในประเทศและแถบอาเซี่ยน

      ก่อนสัมภาษณ์ประมาณ 3 วันผมได้เตรียมตัวโดยการเข้าไปชมเว็บไซต์และศึกษาเกี่ยวกับงานที่ผมจะต้องรับผิดชอบผ่าน Job descriptions  และพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นของคนที่บริษัทต้องการแล้วดูว่าเรามีคุณสมบัติไหนบ้างที่ตรงกับความต้องการของบริษัท นอกจากนี้ผมเปิดดูคลิปวิดีโอใน YouTube เกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนการสัมภาษณ์งานซึ่งมีคลิปที่แนะนำทริคดีๆมากมาย

     การสัมภาษณ์กับบริษัทนี้ไม่เหมือนกับ 2 บริษัทก่อนหน้าคือต้องสัมภาษณ์ผ่าน Microsoft Teams ซึ่งผู้สัมภาษณ์เป็นชาวต่างชาติ 3 คน กับ HR manager คนไทย 1 คนและตลอดการสัมภาษณ์ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร พอถึงวันที่สัมภาษณ์คือวันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในระหว่างที่สัมภาษณ์นั้นผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมทำได้ดี ซึ่งผมตอบคำถามชัดและตรงประเด็นอีกทั้งผมก็แอบมั่นใจว่าผมมีคุณสมบัติเพียงพอพี่จะสามารถทำงานในตำแหน่งนี้ได้แน่นอน

       และแล้วสิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดก็สัมฤทธิ์ผลเมื่อวันอังคารที่ 2  มิถุนายนที่ผ่านมา ทาง HR manager ของบริษัทที่ 3 ก็ติดต่อโทรเข้ามาโดยบอกว่าทางผู้บริหารสนใจที่จะให้ผมเข้าไปทำงานในตำแหน่งที่เพิ่งสัมภาษณ์ไปเมื่อวันศุกร์ จากนั้นก็ได้อธิบายสวัสดิการคร่าวๆ และมีการคุยกันเรื่องค่าจ้างในเบื้องต้น ซึ่งตอนแรกบริษัทยินดีที่จะจ่ายค่าจ้างเท่ากับบริษัทปัจจุบันเพราะเขาเห็นว่าเพิ่งทำงานได้ไม่กี่เดือน ซึ่งส่วนตัวแล้วผมไม่ได้ติดปัญหาในตรงนี้แต่ผมคิดว่ามันจะดีกว่าไหมถ้าผมสามารถต่อรองให้เพิ่มขึ้นได้อีกสักนิดหน่อยก็ยังดี ผมก็เลยถามว่าทางบริษัทว่ามีสวัสดิการที่จอดรถให้ไหม แล้วก็ได้ทราบว่าไม่มีสวัสดิการตรงนี้ โดยทางอาคารมีที่จอดรถให้ซึ่งต้องเสียค่าใช้บริการ 3K บาทต่อเดือนแค่นั้น แล้วผมก็ได้ต่อรองต่อไปว่าขอให้ทางบริษัทช่วยพิจารณาค่าจอดรถให้ผมหน่อยเพราะผมยังไม่ต้องการเดินทางโดยใช้ขนส่งสาธารณะตอนนี้เพราะผมรู้สึกว่ายังไม่ปลอดภัยจากโควิด-19 เท่าที่ควร จากนั้น HR manager ก็เสนอว่าเพิ่มให้ 5K บาทจากฐานเงินเดือนเดิมแล้วเขาจะไปลองคุยกับผู้บริหารดูและจะให้คำตอบในภายหลัง 

       หลังจากที่วางสายสนทนากับ HR manager ผมก็ดีใจแต่ก็ยังมีความไม่มั่นใจนิดหน่อยว่าตกลงแล้วเราได้งานใหม่แล้วจริงๆเหรอ ความรู้สึกดีใจปนกังวลมันอยู่กับผมไปชั่วข้ามวันเลยเพราะวันที่ 3 มิถุนายนเป็นวันหยุดคงไม่มีบริษัทไหนทำงาน ในค่ำคืนของวันที่ 3 มิถุนายนก่อนจะนอนผมหวังและภาวนาว่าวันที่ 4 มิถุนายนขอให้ได้รับข่าวดีซึ่งมันก็เป็นความจริงโดย HR manager โทรมาช่วงประมาณ 11 โมงของวันนี้ว่ากำลังดำเนินการในเรื่องของการร่างสัญญาจ้างงานโดยค่าจ้างเป็นก็ไปตามที่ตกลงกันไว้คือได้เพิ่มขึ้นจากที่ทำงานปัจจุบันอยู่ 5K บาทและวันเริ่มงานคือวันที่ 1 กรกฎาคมนี้

   ก่อนวางสาย HR Manager ก็ถามย้ำกับผมว่ามีไปสัมภาษณ์ที่อื่นๆอีกไหมเพราะเขาจะได้คอนเฟิร์มกับทางผู้บริหารแบบจริงจังๆ ส่วนเรื่องสัญญาจ้างงานทางบริษัทจะเรียกผมไปเซ็นอาทิตย์หน้าแล้วครับ เย้ๆ

  "ไม่ว่าจะเป็นเพราะความโชคดีหรือความพยายามของผมก็ตามผมเชื่อแล้วว่าในทุกๆวิกฤติยังมีโอกาสเกิดขึ้นเสมอ หากเรารู้จักไขว่คว้าและรู้จักตัวเองดีมากพอโดยพยายามปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ผ่านเข้ามา สักวันนึงเราจะเห็นผลลัพธ์ที่มหัศจรรย์จากความมุ่งมั่นนั้นๆ"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่