ครั้งแรกที่ได้เห็นรูปวิหารกลางน้ำแห่งนี้...เรารู้สึกอึ้งไปชั่วขณะ คิดในใจว่า OMG !!! นี่มันที่ไหนเนี่ย ทำไมมันสวยงามอลังการแปลกตาแบบนี้ ต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้... สืบค้นไปต่อก็ทำให้ทราบว่า... ที่แห่งนี้คือ วิหาร Le Mont-Saint-Michel สถานที่ซึ่งเป็นมรดกโลกที่ตั้งอยู่ในแคว้น Normandy ประเทศฝรั่งเศส
ทริปนี้เป็นส่วนหนึ่งของ trip Swiss – France ช่วงปลายเดือน ตุลาคม 2561 โดยเราเดินทางไป Le Mont-Saint-Michel จากปารีส โดยรถไฟ TGV ในวันที่ 31 ตุลาคม61 ค้างคืนที่ Le Mont-Saint-Michel 1 คืน แล้วจึงเดินทางกลับมาเที่ยวปารีสต่อค่ะ
แต่ก่อนจะเริ่มออกเดินทางไปเที่ยว Le Mont-Saint-Michel กัน ขออนุญาต Tie-in ขายของกันก่อน ขอฝากกระทู้รีวิวอื่นๆ ของเราไว้ด้วยค่ะ
Winter wonderland in Chamonix -Mont -Blanc , France
https://pantip.com/topic/39750347
Charming Annecy ...พาเที่ยวตลาดคริสต์มาส เดินชมทะเลสาบที่เมืองเวนิสแห่งเทือกเขาแอลป์
https://pantip.com/topic/39850974

วิธีการเดินทางไป Le Mont-Saint-Michel นั้น นอกจากการเช่ารถขับไป (ซึ่งเราคิดว่าวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่เร็วและสะดวกที่สุด) ยังสามารถเดินทางโดย TGV จากปารีส ไปลงที่เมือง Rennes หรือเมือง Dol ...ไม่ว่าจะลงเมืองไหน จะมีรถโค้ชต่อไปยัง Le Mont-Saint-Michel ได้ค่ะ
เราเลือกไปลงที่เมือง Rennes เนื่องจากทราบมาว่าเมืองนี้มีเขตย่านเมืองเก่าที่สวยงาม เผื่อจะได้เเวะเที่ยวตอนขากลับ ( แต่ปรากฎว่าไม่ได้แวะนะคะ เนื่องจากตอนขากลับเมื่อยขามากกกก)

TGV จะออกจากปารีสที่สถานี Montparnasse... ถึงเมือง Rennesใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง แนะนำว่าให้จองตั๋วล่วงหน้านานๆ นะคะจะได้ราคาที่ถูก เราจองล่วงหน้าประมาณสองเดือน ได้ตั๋ว second class ราคาไปกลับ 132 euro ต่อสองคน

เมื่อถึงเมือง Rennes แล้ว เราต่อรถโค้ชไปยัง Mont-Saint-Michel ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ ค่ารถไปกลับคนละ 30 euro เราไม่ได้จองตั๋วรถโค้ชไปล่วงหน้านะคะ ไปซื้อที่โน่นเลย สถานีรถโค้ชจะอยู่ติดกับสถานีรถไฟ Rennes เลยค่ะ
โดยสรุปแล้วการเดินทาง 1 เที่ยวจากปารีสจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ดังนั้นใครที่จะเดินทางแบบ One -Day Trip จากปารีส ควรจะต้องออกตั้งแต่เช้าตรู่นะคะ เราจึงขอแนะนำว่าหากมีเวลา ควรจะค้างคืนที่นี่สักคืน จะได้เที่ยวแบบไม่รีบร้อนมากและยังได้เห็นความงดงามของวิหารในช่วงเวลาต่างๆ ของวันอีกด้วยค่ะ
ทัวร์เราค่อนข้างออกตัวช้า... คือออกจาก ปารีสประมาณ 10 โมงเช้า เพราะเราต้องออกจากที่พักที่อยู่แถวสถานี Gare de Lyon... นำกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบไปฝากไว้ที่ Locker เช่าของสถานี Gare de Lyon... แล้วจึงเดินทางไปขึ้น TGV ที่สถานี Montparnasse... กว่าจะถึง Mont-Saint-Michel ก็ประมาณบ่ายสองนิดๆ
รถโค้ชจะจอดที่ป้ายนอกตัวเกาะ จากนั้นเราจะนั่งรถ Shuttle bus เข้าไปเช็คอินที่โรงแรมกันก่อน

ผู้ที่มาพักค้างคืนที่ Mont-Saint-Michel มีทางเลือกสำหรับโรงแรมที่พักได้สองแบบ คือ พักในเกาะเลย กับพักนอกเกาะค่ะ...
การพักโรงแรมในเกาะมีข้อดีคือ ได้บรรยากาศความเป็นเมืองเก่า ตอนกลางวันค่อนข้างคึกคัก เดินเที่ยวในเกาะได้เลยไม่ต้องนั่งรถบัสไปๆมาๆ แต่โรงแรมส่วนมากจะมีขนาดเล็ก และบางที่อาจต้องเดินจากทางเข้าไปไกลสักหน่อย ซึ่งทางเดินค่อนข้างลาดชัน อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ที่มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ
ส่วนการเลือกพักนอกเกาะนั้นก็มีข้อดีคือ โรงแรมส่วนมากมีขนาดใหญ่ หากเลือกทำเลดีๆ ก็จะได้เห็นวิวเกาะและวิหาร Mont-Saint-Michel ที่สวยงาม ในช่วงกลางคืนด้วย แต่ก็ต้องแลกกับการเดินทางไปๆมาๆระหว่างเกาะกับโรงแรมและบรรยากาศอาจไม่ได้คึกคักมากนัก
โรงแรมที่เราพักในครั้งนี้เป็นโรงแรมนอกตัวเกาะ ชื่อ Hotel De La Digue ( ที่มีลูกศรสีแดงชี้อยู่ค่ะ)

เครดิต
https://www.ot-montsaintmichel.com/en/acces/acceder-au-mont.htm
เราเลือกที่นี่เนื่องจากอยู่ใกล้ Walkway bridge มากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นทำเลที่ดีงามมาก เพราะเราสามารถมองเห็น Le Mont-Saint-Michel ได้ชัดเจนจากที่โรงแรม ( จากห้องอาหารและส่วน Outdoor) โดยไม่มีสิ่งใดบดบังเลย
เราลืมถ่ายรูปโรงแรมมา

จึงขออนุญาตนำภาพจาก Booking.com มาให้เพื่อนๆดูนะคะ

ภาพจาก Booking.com

ภาพจาก Booking.com

ภาพจาก Booking.com
ภาพจาก Booking.com
จะเห็นได้ว่าสามารถมองเห็นวิหารได้จากห้องอาหารเลยค่ะ ดีงามจริงๆ

ใครจะมาพักโรงแรมนอกเกาะเราขอแนะนำให้เลือกแบบที่ รวมค่าอาหารเช้าและเย็นไว้ด้วยเลยนะคะ เพราะนอกเกาะจะหาร้านอาหารทานค่อนข้างยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเย็นหรือค่ำเมื่อร้านอาหารในเกาะเริ่มปิด
สำหรับโรงแรมนี้เราจองจาก Booking.com ราคาประมาณ 7000 บาทต่อคืน ซึ่งก็ถือว่าราคาสูงอยู่ แต่เมื่อพิจารณาจากความสะดวกสบายและขนาดห้องที่ใหญ่กว่ามาตรฐาน ประกอบกับรวมค่าอาหารเช้าและเย็นไว้แแล้วถือได้ว่าค่อนข้างคุ้มค่าทีเดียว
หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว เราจึงออกจากโรงแรมไปเที่ยวบนเกาะกันค่ะ
การเดินทางเข้าไปยังตัวเกาะ สามารถทำได้สี่วิธีด้วยกัน คือ
เครดิต
https://www.ot-montsaintmichel.com/en/acces/acceder-au-mont.htm
1) Shuttle bus ซึ่งจะใช้เวลาทั้งสาย 12 นาที ต้นทางจะอยู่ใกล้ๆ tourism office ซึ่งเราสามารถกดกริ่งลงตามป้ายระหว่างทางได้

ภาพ shuttle bus จาก
http://www.bienvenueaumontsaintmichel.com/en
2) เดินข้าม Walkway bridge (ซึ่งเค้าว่าใช้เวลาประมาณ 35 นาที )

สะพานโค้งๆที่เชื่อมต่อจากถนนหลักที่ทอดข้ามผ่านท้องน้ำ ( ซึ่งแห้งขอดในรูปนี้ ) คือ Walkway bridge ค่ะ

มีคนเดินหลายคนอยู่นะคะ แต่ว่าวันนี้เราขอบายค่ะเนื่องจากอากาศหนาวและลมแรง
3) ไปอย่างไฮโซโดยใช้รถม้า อันนี้น่าสนใจมาก ได้อารมณ์เหมือนเป็นขุนนางยุคกลาง แต่เสียดายเราไม่ได้ใช้บริการค่ะเนื่องจากว่าต้องไปขึ้นและลงที่ต้นทาง ไม่จอดรับผู้โดยสารระหว่างทางและไม่จอดหน้าโรงแรมเรา เราเลยไม่ทราบว่าราคาค่าบริการเที่ยวละเท่าไหร่ค่ะ

4) รถบัสจากสถานีรถไฟ Pontorson ( สำหรับผู้ที่ไม่ได้เดินทางมาด้วย TGV จะลงที่สถานีนี้ )
ตลอดระยะเวลาที่พักที่นี่เราใช้บริการแต่ Shuttle Bus อย่างเดียวเนื่องจาก Bus Stop อยู่หน้าโรงแรมเราเลย และที่สำคัญคือ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ จะนั่งกี่เที่ยวก็ได้รถจะวิ่งตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนถึงเที่ยงคืน แต่บางครั้งอาจต้องอดทนรอบัสหน่อย โดยคนขับรถบัสจะเข้มงวดมาก ไม่อนุญาตให้ขึ้นหรือลงนอกป้ายโดยเด็ดขาด
เนื่องจากวันนี้เรามาถึงค่อนข้างช้า เราเลยตัดสินใจว่าวันนี้เราจะยังไม่ขึ้นไปยังตัววิหาร แต่จะเดินเล่นแถวๆ ร้านค้า หาอะไรทานกันที่ร้านอาหารข้างล่างก่อน ประกอบกับต้องรีบกลับโรงแรมเนื่องจากสามีเราบังเอิญงานเข้ากะทันหัน ต้องกลับมาทำงานและประชุมทางไกลข้ามโลกที่โรงแรมซะงั้น ...คนอัลไล ขยันจริงจริ้งงงงงง 555

และเนื่องจากเรานัดทางโรงแรมว่าจะทานอาหารเย็นตอนทุ่มครึ่ง เราจึงหาอะไรรองท้องกันก่อน
ที่ Mont-Saint-Michel นี้มีอาหารที่ขึ้นชื่ออย่างมากอยู่อย่างนึงคือ ไข่เจียว ค่ะ อ๊ะๆ ช้าก่อนค่า นี่มิใช่ไข่เจียวธรรมดานะคะ แต่มันคือ Puff Omelette ซึ่งเราจะขอเรียกว่าไข่เจียวฟูละกัน

และร้านที่เรากำลังจะเข้าไปทานนี้ ถือว่าเป็นร้านต้นตำรับเลยเราจึงเลือกเข้าร้านนี้อย่างไม่รีรอค่ะ

La Mère Poulard ปัจจุบันดำเนินธุรกิจทั้งเป็นร้านอาหารและโรงแรม ดูเผินๆแล้วก็ เหมือนเป็นร้านอาหารทั่วไป แต่ในความจริงแล้วผู้คนในท้องถิ่นนี้ถือว่าร้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ ของ Mont-Saint-Michel และแคว้น Normandy ทีเดียวค่ะ
ตามประวัติเล่าว่า... Édouard Corroyer สถาปนิกคนสำคัญของฝรั่งเศสผู้หลงใหลในการชิมอาหารชั้นเลิศ เขานิยมพาบุคคลที่มีชื่อเสียงมาที่บ้านและต้อนรับด้วยอาหารอันเลิศรส ครั้งหนึ่งเขามารับหน้าที่บูรณะปฏิสังขรวิหาร Mont-Saint-Michel และได้รู้จักกับ Annette Poulard หญิงสาวผู้มีพรสวรรค์ในการทำอาหารที่หมู่บ้านยุคกลางแห่งนี้ เธอได้ทำงานร่วมกับ Édouard Corroyer เป็นเวลาหลายปี จน Édouard Corroyer ซาบซึ้งในน้ำใจไมตรี และความสามารถของเธอ จึงได้จัดงานแต่งงานให้เธอกับคนรักของเธอที่ปารีส หลังจากนั้น เธอกลับมา take over โรงแรมในเมืองนี้ และได้ก่อตั้งโรงแรมและร้านอาหาร La Mère Poulard ขึ้น ณ หมู่บ้านยุคกลางแห่งนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 เป็นต้นมา ( Mère หมายถึง Female Leader เป็นคำนำหน้านามที่บุคคลอื่นยกย่องเธอเนื่องจากความสามารถในการทำอาหาร) และแน่นอนอาหารจานเด็ดที่สุด ที่นำชื่อเสียงมาให้เธอและเมืองนี้ นั่นก็คือ คือ Puff Omelette นั่นเอง ...

Annette Poulard
เรียกได้ว่า เธอเป็นเจ้าแม่ Puff Omelette ต้นตำรับแห่งแคว้นเลยทีเดียว
(ข้อมูลจาก
https://lamerepoulard.com/en/home2/ )

พอเข้าไปในร้าน สิ่งแรกที่เห็นคือ ภาพของคุณป้า Annette Poulard กับคนใหญ่คนโต แขกบ้านแขกเมืองมากมายเต็มฝาผนังร้าน รู้สึกขลังๆดีค่ะ

เราสั่ง salad มาเป็น Starter ค่ะ

ตามด้วยจานนี้ เป็นเห็ดผัดเนย

และแน่นอน ดาราของเรา ไข่ฟู

รสชาติของไข่ฟู นั้น คล้ายกับ Omelette ทั่วไปค่ะ แตกต่างกันที่เนื้อสัมผัส มันจะมีความนุ่มชุ่มฉ่ำ มีไข่เยิ้มๆด้านใน ด้านนอกจะมีกลิ่นหอมก้นกระทะหน่อยๆ ถ้าถามว่าอร่อยมั้ย ??
เราคงขอตอบว่ามันอร่อยที่รสชาติของประวัติศาตร์จร้าาาาาาาา 5555555555
ค่าเสียหายมื้อนี้ก็ตามนี้เลยค่ะ 68 euro อาหร่อย...จนน้ำตาจิไหล

หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นกันค่ะแวะร้านขายของที่ระลึก ได้เสียเงินให้สบายใจแล้วก็กลับโรงแรมกัน เพื่อให้คุณสามีเราได้ทำงานก่อนรับประทานอาหารค่ำ
[CR] Le Mont-Saint-Michel ... มหัศจรรย์แห่งความศรัทธา
ทริปนี้เป็นส่วนหนึ่งของ trip Swiss – France ช่วงปลายเดือน ตุลาคม 2561 โดยเราเดินทางไป Le Mont-Saint-Michel จากปารีส โดยรถไฟ TGV ในวันที่ 31 ตุลาคม61 ค้างคืนที่ Le Mont-Saint-Michel 1 คืน แล้วจึงเดินทางกลับมาเที่ยวปารีสต่อค่ะ
แต่ก่อนจะเริ่มออกเดินทางไปเที่ยว Le Mont-Saint-Michel กัน ขออนุญาต Tie-in ขายของกันก่อน ขอฝากกระทู้รีวิวอื่นๆ ของเราไว้ด้วยค่ะ
Winter wonderland in Chamonix -Mont -Blanc , France https://pantip.com/topic/39750347
Charming Annecy ...พาเที่ยวตลาดคริสต์มาส เดินชมทะเลสาบที่เมืองเวนิสแห่งเทือกเขาแอลป์ https://pantip.com/topic/39850974
วิธีการเดินทางไป Le Mont-Saint-Michel นั้น นอกจากการเช่ารถขับไป (ซึ่งเราคิดว่าวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่เร็วและสะดวกที่สุด) ยังสามารถเดินทางโดย TGV จากปารีส ไปลงที่เมือง Rennes หรือเมือง Dol ...ไม่ว่าจะลงเมืองไหน จะมีรถโค้ชต่อไปยัง Le Mont-Saint-Michel ได้ค่ะ
เราเลือกไปลงที่เมือง Rennes เนื่องจากทราบมาว่าเมืองนี้มีเขตย่านเมืองเก่าที่สวยงาม เผื่อจะได้เเวะเที่ยวตอนขากลับ ( แต่ปรากฎว่าไม่ได้แวะนะคะ เนื่องจากตอนขากลับเมื่อยขามากกกก)
TGV จะออกจากปารีสที่สถานี Montparnasse... ถึงเมือง Rennesใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง แนะนำว่าให้จองตั๋วล่วงหน้านานๆ นะคะจะได้ราคาที่ถูก เราจองล่วงหน้าประมาณสองเดือน ได้ตั๋ว second class ราคาไปกลับ 132 euro ต่อสองคน
โดยสรุปแล้วการเดินทาง 1 เที่ยวจากปารีสจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ดังนั้นใครที่จะเดินทางแบบ One -Day Trip จากปารีส ควรจะต้องออกตั้งแต่เช้าตรู่นะคะ เราจึงขอแนะนำว่าหากมีเวลา ควรจะค้างคืนที่นี่สักคืน จะได้เที่ยวแบบไม่รีบร้อนมากและยังได้เห็นความงดงามของวิหารในช่วงเวลาต่างๆ ของวันอีกด้วยค่ะ
ทัวร์เราค่อนข้างออกตัวช้า... คือออกจาก ปารีสประมาณ 10 โมงเช้า เพราะเราต้องออกจากที่พักที่อยู่แถวสถานี Gare de Lyon... นำกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบไปฝากไว้ที่ Locker เช่าของสถานี Gare de Lyon... แล้วจึงเดินทางไปขึ้น TGV ที่สถานี Montparnasse... กว่าจะถึง Mont-Saint-Michel ก็ประมาณบ่ายสองนิดๆ
รถโค้ชจะจอดที่ป้ายนอกตัวเกาะ จากนั้นเราจะนั่งรถ Shuttle bus เข้าไปเช็คอินที่โรงแรมกันก่อน
การพักโรงแรมในเกาะมีข้อดีคือ ได้บรรยากาศความเป็นเมืองเก่า ตอนกลางวันค่อนข้างคึกคัก เดินเที่ยวในเกาะได้เลยไม่ต้องนั่งรถบัสไปๆมาๆ แต่โรงแรมส่วนมากจะมีขนาดเล็ก และบางที่อาจต้องเดินจากทางเข้าไปไกลสักหน่อย ซึ่งทางเดินค่อนข้างลาดชัน อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ที่มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ
ส่วนการเลือกพักนอกเกาะนั้นก็มีข้อดีคือ โรงแรมส่วนมากมีขนาดใหญ่ หากเลือกทำเลดีๆ ก็จะได้เห็นวิวเกาะและวิหาร Mont-Saint-Michel ที่สวยงาม ในช่วงกลางคืนด้วย แต่ก็ต้องแลกกับการเดินทางไปๆมาๆระหว่างเกาะกับโรงแรมและบรรยากาศอาจไม่ได้คึกคักมากนัก
โรงแรมที่เราพักในครั้งนี้เป็นโรงแรมนอกตัวเกาะ ชื่อ Hotel De La Digue ( ที่มีลูกศรสีแดงชี้อยู่ค่ะ)
เราเลือกที่นี่เนื่องจากอยู่ใกล้ Walkway bridge มากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นทำเลที่ดีงามมาก เพราะเราสามารถมองเห็น Le Mont-Saint-Michel ได้ชัดเจนจากที่โรงแรม ( จากห้องอาหารและส่วน Outdoor) โดยไม่มีสิ่งใดบดบังเลย
เราลืมถ่ายรูปโรงแรมมา
ภาพจาก Booking.com
จะเห็นได้ว่าสามารถมองเห็นวิหารได้จากห้องอาหารเลยค่ะ ดีงามจริงๆ
ใครจะมาพักโรงแรมนอกเกาะเราขอแนะนำให้เลือกแบบที่ รวมค่าอาหารเช้าและเย็นไว้ด้วยเลยนะคะ เพราะนอกเกาะจะหาร้านอาหารทานค่อนข้างยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเย็นหรือค่ำเมื่อร้านอาหารในเกาะเริ่มปิด
สำหรับโรงแรมนี้เราจองจาก Booking.com ราคาประมาณ 7000 บาทต่อคืน ซึ่งก็ถือว่าราคาสูงอยู่ แต่เมื่อพิจารณาจากความสะดวกสบายและขนาดห้องที่ใหญ่กว่ามาตรฐาน ประกอบกับรวมค่าอาหารเช้าและเย็นไว้แแล้วถือได้ว่าค่อนข้างคุ้มค่าทีเดียว
หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว เราจึงออกจากโรงแรมไปเที่ยวบนเกาะกันค่ะ
การเดินทางเข้าไปยังตัวเกาะ สามารถทำได้สี่วิธีด้วยกัน คือ
เครดิตhttps://www.ot-montsaintmichel.com/en/acces/acceder-au-mont.htm
1) Shuttle bus ซึ่งจะใช้เวลาทั้งสาย 12 นาที ต้นทางจะอยู่ใกล้ๆ tourism office ซึ่งเราสามารถกดกริ่งลงตามป้ายระหว่างทางได้
2) เดินข้าม Walkway bridge (ซึ่งเค้าว่าใช้เวลาประมาณ 35 นาที )
3) ไปอย่างไฮโซโดยใช้รถม้า อันนี้น่าสนใจมาก ได้อารมณ์เหมือนเป็นขุนนางยุคกลาง แต่เสียดายเราไม่ได้ใช้บริการค่ะเนื่องจากว่าต้องไปขึ้นและลงที่ต้นทาง ไม่จอดรับผู้โดยสารระหว่างทางและไม่จอดหน้าโรงแรมเรา เราเลยไม่ทราบว่าราคาค่าบริการเที่ยวละเท่าไหร่ค่ะ
4) รถบัสจากสถานีรถไฟ Pontorson ( สำหรับผู้ที่ไม่ได้เดินทางมาด้วย TGV จะลงที่สถานีนี้ )
ตลอดระยะเวลาที่พักที่นี่เราใช้บริการแต่ Shuttle Bus อย่างเดียวเนื่องจาก Bus Stop อยู่หน้าโรงแรมเราเลย และที่สำคัญคือ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ จะนั่งกี่เที่ยวก็ได้รถจะวิ่งตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนถึงเที่ยงคืน แต่บางครั้งอาจต้องอดทนรอบัสหน่อย โดยคนขับรถบัสจะเข้มงวดมาก ไม่อนุญาตให้ขึ้นหรือลงนอกป้ายโดยเด็ดขาด
เนื่องจากวันนี้เรามาถึงค่อนข้างช้า เราเลยตัดสินใจว่าวันนี้เราจะยังไม่ขึ้นไปยังตัววิหาร แต่จะเดินเล่นแถวๆ ร้านค้า หาอะไรทานกันที่ร้านอาหารข้างล่างก่อน ประกอบกับต้องรีบกลับโรงแรมเนื่องจากสามีเราบังเอิญงานเข้ากะทันหัน ต้องกลับมาทำงานและประชุมทางไกลข้ามโลกที่โรงแรมซะงั้น ...คนอัลไล ขยันจริงจริ้งงงงงง 555
ที่ Mont-Saint-Michel นี้มีอาหารที่ขึ้นชื่ออย่างมากอยู่อย่างนึงคือ ไข่เจียว ค่ะ อ๊ะๆ ช้าก่อนค่า นี่มิใช่ไข่เจียวธรรมดานะคะ แต่มันคือ Puff Omelette ซึ่งเราจะขอเรียกว่าไข่เจียวฟูละกัน
ตามประวัติเล่าว่า... Édouard Corroyer สถาปนิกคนสำคัญของฝรั่งเศสผู้หลงใหลในการชิมอาหารชั้นเลิศ เขานิยมพาบุคคลที่มีชื่อเสียงมาที่บ้านและต้อนรับด้วยอาหารอันเลิศรส ครั้งหนึ่งเขามารับหน้าที่บูรณะปฏิสังขรวิหาร Mont-Saint-Michel และได้รู้จักกับ Annette Poulard หญิงสาวผู้มีพรสวรรค์ในการทำอาหารที่หมู่บ้านยุคกลางแห่งนี้ เธอได้ทำงานร่วมกับ Édouard Corroyer เป็นเวลาหลายปี จน Édouard Corroyer ซาบซึ้งในน้ำใจไมตรี และความสามารถของเธอ จึงได้จัดงานแต่งงานให้เธอกับคนรักของเธอที่ปารีส หลังจากนั้น เธอกลับมา take over โรงแรมในเมืองนี้ และได้ก่อตั้งโรงแรมและร้านอาหาร La Mère Poulard ขึ้น ณ หมู่บ้านยุคกลางแห่งนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 เป็นต้นมา ( Mère หมายถึง Female Leader เป็นคำนำหน้านามที่บุคคลอื่นยกย่องเธอเนื่องจากความสามารถในการทำอาหาร) และแน่นอนอาหารจานเด็ดที่สุด ที่นำชื่อเสียงมาให้เธอและเมืองนี้ นั่นก็คือ คือ Puff Omelette นั่นเอง ...
เรียกได้ว่า เธอเป็นเจ้าแม่ Puff Omelette ต้นตำรับแห่งแคว้นเลยทีเดียว
(ข้อมูลจาก https://lamerepoulard.com/en/home2/ )
พอเข้าไปในร้าน สิ่งแรกที่เห็นคือ ภาพของคุณป้า Annette Poulard กับคนใหญ่คนโต แขกบ้านแขกเมืองมากมายเต็มฝาผนังร้าน รู้สึกขลังๆดีค่ะ
เราสั่ง salad มาเป็น Starter ค่ะ
รสชาติของไข่ฟู นั้น คล้ายกับ Omelette ทั่วไปค่ะ แตกต่างกันที่เนื้อสัมผัส มันจะมีความนุ่มชุ่มฉ่ำ มีไข่เยิ้มๆด้านใน ด้านนอกจะมีกลิ่นหอมก้นกระทะหน่อยๆ ถ้าถามว่าอร่อยมั้ย ??
เราคงขอตอบว่ามันอร่อยที่รสชาติของประวัติศาตร์จร้าาาาาาาา 5555555555
ค่าเสียหายมื้อนี้ก็ตามนี้เลยค่ะ 68 euro อาหร่อย...จนน้ำตาจิไหล
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้